บริษัทญี่ปุ่น 15 ราย ย้ายสายการผลิตจากจีนไปยังเวียดนาม

“เวียดนามคาดว่าจะดึงดูดการลงทุนจากบริษัทญี่ปุ่น 15 แห่งที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อย้ายฐานการผลิตออกจากจีนและทำให้ห่วงโซ่อุปทานเกิดความหลากหลาย” กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) เปิดเผยรายชื่อบริษัท 87 แห่งที่ได้รับเงินทุน 70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดำเนินโครงการ ตามรายงานของสำนักข่าว Nikkei Asian Review ทั้งนี้ มีบริษัท 30 แห่งที่ย้ายฐานการผลิตไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว รวมทั้งเวียดนามและสปป.ลาว ขณะที่ อีก 57 แห่งมึจุดหมายอยู่ที่ญี่ปุ่น โดยเป้าหมายของการย้ายสายการผลิตดังกล่าว เพื่อที่จะลดการพึ่งพาการผลิตของญี่ปุ่นในจีน ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ นอกจากนี้ เวียดนามยังเป็นจุดมุ่งหมายของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) หลังจากเวียดนามควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) และไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในระดับชุมชนนานกว่า 3 เดือน

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/15-japanese-firms-to-move-china-production-lines-to-vietnam-416280.vov

ญี่ปุ่นสนับสนุนเงิน 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของสปป.ลาว

รัฐบาลญี่ปุ่นให้เงินช่วยเหลือ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (317 ล้านเยน) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในสปป.ลาวอย่างยั่งยืนโดยเงินจะถูกนำไปใช้ภายใต้ “The Project for Human Resource Development Scholarship” ได้มีพิธีลงนามในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ณ กระทรวงการต่างประเทศในเวียงจันทน์ ภายในงาน Mr. Takewaka เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำสปป.ลาวกล่าวว่า “รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตัดสินใจให้ความช่วยเหลือในการดำเนินโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และจะมอบทุนการศึกษา 22 ทุนแก่เจ้าหน้าที่รัฐบาลสปป.ลาวเพื่อศึกษาที่มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นโดยจะมีเจ้าหน้าที่มากกว่า 370 คนที่จะทุนการศึกษาในระดับปริญญาโทรวมถึงปริญญาเอกเมื่อโครงการเริ่มต้นขึ้น” ภาคการศึกษาเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญในด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจของสปป.ลาวและญี่ปุ่น เป็นไปตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โครงการดังกล่าวจะเป็นส่วนสำคัญต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคมซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Japan_137.php

บริษัทจากญี่ปุ่นวางแผนร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน

ญี่ปุ่นประกาศถึงการกระชับกฎเกณฑ์สำหรับการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนจากถ่านหินในต่างประเทศในด้านสิ่งแวดล้อม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่ารัฐบาลได้ตัดสินใจที่จะกระชับกฎการสนับสนุนการลงทุนบนโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งรัฐบาลในปัจจุบันให้เงินทุนแก่ บริษัท ญี่ปุ่นหากโครงการเข้าคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ โดยการลงทุนของญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้วคิดเป็นจำนวนกว่า 4.8 พันล้านดอลลาร์ สำหรับการลงทุนบนโรงไฟฟ้าถ่านหินในต่างประเทศ โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย เวียดนามและบังคลาเทศ ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินเป็นเสาหลักของการส่งออกโครงสร้างพื้นฐานสำหรับญี่ปุ่น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50743959/japan-to-limit-financing-of-overseas-coal-power-plants/

ไฟเขียวต่างชาติลงทุนไทย มิ.ย.63 จำนวน 22 ราย

อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยว่า เดือนมิ.ย.2563 คณะกรรมการฯ ได้อนุญาตให้คนต่างชาติ 22 ราย ประกอบธุรกิจในประเทศไทยภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจากประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน มีการนำเงินเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจ 1,587 ล้านบาท ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานคนไทย 3,575 คน และมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุน โดยการถ่ายทอดเทคโนโลยี ส่วนใหญ่เป็นองค์ความรู้ในแขนงที่คนไทยยังไม่มีความชำนาญหรือมีความเชี่ยวชาญในระดับที่ไม่สูงมากนัก เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำงานในที่อับอากาศและการถ่ายเทสารเคมีในหอกลั่นสูงที่มีความกดอากาศตามมาตรฐานยุโรป องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของเครื่องกำเนิดไอน้ำที่ใช้หลักการแลกเปลี่ยนความร้อน (HRSG system) องค์ความรู้เกี่ยวกับโปรแกรมเพื่อออกแบบและพัฒนาคุณภาพชิ้นส่วนยานยนต์ และโปรแกรมเพื่อการตรวจและทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ และองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงของสินทรัพย์ เป็นต้น สำหรับธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาต ได้แก่ 1.ธุรกิจบริการโดยเป็นคู่สัญญากับเอกชน จำนวน 4 ราย โดยเป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น และจีน มีเงินลงทุนจำนวน 542 ล้านบาท 2.ธุรกิจบริการให้แก่บริษัทในเครือ/ในกลุ่ม จำนวน 6 ราย โดยเป็นนักลงทุนจากประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเนเธอร์แลนด์ มีเงินลงทุนจำนวน 632 ล้านบาท 3.ธุรกิจนายหน้า ค้าปลีก ค้าส่ง จำนวน 7 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น ฟินแลนด์ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์  มีเงินลงทุนจำนวน 181 ล้านบาท  4.ธุรกิจบริการให้แก่ลูกค้า จำนวน 5 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากประเทศสวิส ซามัว อังกฤษ สิงคโปร์ และหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน มีเงินลงทุนจำนวน 232 ล้านบาท ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/888887?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=economic

เวียดนามเผยเนื้อหมูที่นำเข้าจากญี่ปุ่นขายได้ดี แม้ว่าราคาจะอยู่ในระดับสูงก็ตาม

ผลิตภัณฑ์เนื้อหมูที่นำเข้าจากญี่ปุ่นกำลังได้รับความนิยมในตลาดเวียดนาม ถึงแม้ว่าราคาสูง 4-5 เท่าเมื่อเทียบกับสินค้าในท้องถิ่น โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เกิดการระบาดของเชื้อไข้หวัดหมูแอฟริกัน (ASF) ส่งผลต่ออุปทานเนื้อหมูในท้องถิ่น ซึ่งตลาดและซูปเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งในเวียดนาม มีราคาเนื้อหมูอยู่ที่ 150,000-320,000 ด่งต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า ทั้งนี้ เวีดยนามนำเข้าเนื้อหมูจากต่างประเทศ มากกว่า 70,000 ตัน ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งผลิตภัณฑ์หมูที่นำเข้าจากต่างประเทศส่วนใหญ่มีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับทางเลือกในท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์หมูของญี่ปุ่นมีราคาสูง 4-5 เท่ากว่าตลาดในประเทศ นอกจากนี้ พ่อค้าเนื้อหมูชาวญี่ปุ่นรายหนึ่ง กล่าวว่าผลิตภัณฑ์ของเขาขายดีมากกว่าหมูไอเบริโกของสเปน จำนวนยอดคำสั่งซื้อออนไลน์เกือบ 100 กิโลกรัมต่อวัน ลูกค้าส่วนใหญ่มาจากเมืองโฮจิมินห์

ที่มา : https://vnexplorer.net/japanese-imported-pork-sells-well-despite-high-prices-a202059181.html

เวียดนาม-ญี่ปุ่น ขยายความร่วมมือทางการค้าทวิภาคี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่น หารือแนวทางในการสร้างความเชื่อมั่นและสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างสองประเทศ รวมถึงการค้าชายแดนและข้อตกลงการค้าเสรี “CPTPP” หลังจากสิ้นสุดของโรคระบาด เศรษฐกิจหันมาฟื้นตัวในภูมิภาคและทั่วโลก ซึ่งรัฐมนตรีทั้งสองท่านต่างแสดงความกังวลต่อลัทธิกระทำฝ่ายเดียวและเน้นถึงความสำคัญของการส่งเสริมการค้าข้ามพรมแดนในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวและหลังจากสิ้นสุดการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทั้งนี้ ข้อตกลงการค้าเสรี CPTPP จะช่วยให้เศรษฐกิจโลกและกลุ่มสมาชิกมีการพัฒนามากขึ้น ขยายห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาคและระดับโลก ขณะที่ ส่งเสริมการใช้อีคอมเมิรซ์และเศรษฐกิจดิจิทัลในการผลิต อย่างไรก็ตาม การอภิปรายดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายแสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อขยายการค้าทวีภาคีมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแค่ข้อตกลง CPTPP แต่ยังมีข้อตกลงอื่นๆอีก เช่น หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และข้อตกลง ASEAN-Japan เป็นต้น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-japan-seek-to-expand-bilateral-trade-ties/177873.vnp

ลิ้นจี่เวียดนามที่ส่งออกไปยังญี่ปุ่น “ขายหมด”

ผู้อำนวยการสำนักงานเกษตรและพัฒนาชนบทในจังหวัดบั๊กซาง กล่าวว่าลิ้นจี่สดที่ส่งออกไปยังญี่ปุ่นนั้น คาดว่าจะขายได้ดี ซึ่งในวันที่ 21 มิ.ย. ทางจังหวัดดังกล่าว ส่งออกลิ้นจี่สดไปยังญี่ปุ่นผ่านการขนส่งทางอากาศ ด้วยปริมาณ 3 ตัน และเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ได้ส่งออกลิ้นจี่สดเพิ่มอีก 6 ตัน ผ่านทางทะเล ส่งผลให้ปริมาณขายลิ้นจี่ในญี่ปุ่น อยู่ที่ราว 10 ตัน โดยจะเริ่มวางขายในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ “ราคาลิ้นจี่ที่ขายในตลาดต่างประเทศ ปรับตัวสูงถึง 40,000 ด่งต่อกิโลกรัม ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าเมื่อเทียบกับราคาในประเทศ อย่างไรก็ตาม หากได้การวางแผนที่ดี จะสามารถส่งออกไปยังญี่ปุ่นหลายร้อยตัน”

ที่มา : http://en.dangcongsan.vn/economics/vietnamese-lychee-sold-out-in-japan-555343.html

ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น หารือความร่วมมือทางเศรษฐกิจและหลักประกันสุขภาพ

รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจสังกัดกระทรวงการต่างประเทศนาย King Phokeo Phommahaxay นำคณะผู้แทนสปป.ลาวเข้าร่วมประชุมผ่านวิดีโอลิงค์ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศแม่น้ำโขง – ญี่ปุ่นครั้งที่ 13 ในวันที่ 10 มิถุนายนผ่านมาในที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับร่างแถลงการณ์ความร่วมมือแม่น้ำโขง – ญี่ปุ่น เพื่อให้เกิดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งขึ้น ความร่วมมือดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนระดับภูมิภาคระหว่างญี่ปุ่น – กลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคแม่น้ำโขงรวมถึงการปรับปรุงวิถีชีวิตของผู้คนในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้มีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การจะบรรลุเป้าหมายได้นั้นทุกภาคส่วนต้องมีการร่วมมือซึ่งกันและกัน ผลของการร่วมมือจะนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจรวมถึงวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Mekong_113.php

ญี่ปุ่นให้เงินมากกว่า 123 พันล้านกีบสำหรับการตอบสนองต่อ Covid-19

รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนกว่า 123 พันล้านคิป (1.5 พันล้านเยน) สำหรับการซื้อเครื่องมือแพทย์เพื่อสนับสนุนในการรับมือกับการระบาดของโควิด -19 เงินทุน 1.5 พันล้านเยน (US $ 13.7 ล้าน) จะถูกนำไปใช้ในการจัดหาอุปกรณ์ให้กับรัฐบาลสปป.ลาว การลงนามในครั้งนี้ญี่ปุ่นมีจุดมุ่งหมายในการสนับสนุนสปป.ลาวในความพยายามอย่างต่อเนื่องในการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแนวคิด“ ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ซึ่งอุปกรณ์การแพทย์ที่ให้ไว้ภายใต้โครงการนี้คาดว่าจะนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพทั่วสปป.ลาวโดยเฉพาะในชุมชนท้องถิ่นที่ระบบการดูแลสุขภาพยังไม่มีประสิทธิภาพ การแพร่กระจายทั่วโลกของ Covid-19 ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจและผู้คนของทุกประเทศรวมถึงสปป.ลาวและญี่ปุ่น ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความพยายามร่วมกันเพื่อลดผลกระทบของโรคร้ายแรงนี้ทั้งในด้านเศรษฐกิจและระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Japan_108.php

บริษัทจากญี่ปุ่นสองแห่งมองหาโอกาสทางการเกษตรในกัมพูชา

NIPPON Express และ Xamato Green แสดงถึงความสนใจหลังจากได้เห็นการลงทุนที่มีศักยภาพในภาคเกษตรกรรมของกัมพูชา โดยแผนดังกล่าวถูกเปิดเผยในระหว่างการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนำโดยประธาน บริษัท และผู้อำนวยการทั่วไปของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งกล่าวว่าบริษัทกำลังดำเนินโครงการลงทุนเกี่ยวกับผักและผลไม้ในประเทศกัมพูชา โดยเสริมว่าบริษัทกำลังวางแผนที่จะดำเนินการและบรรจุภัณฑ์เพื่อการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สนับสนุนการลงทุนโครงการอย่างมั่นคง โดยกล่าวว่าโครงการการลงทุนนี้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ดึงดูดการลงทุนดังกล่าวในภาคเกษตรกรรม ซึ่งให้คำมั่นว่าจะเร่งงานในบันทึกความเข้าใจเพื่อลงนามในไม่ช้าเพื่อให้บริษัทสามารถเริ่มดำเนินโครงการได้โดยเร็ว โดยเสริมว่าโครงการลงทุนนี้จะช่วยลดการนำเข้าผักและผลไม้จากตลาดต่างประเทศได้อย่างแน่นอน ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปเพื่อการส่งออกและสร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50726611/two-japanese-firms-eye-agricultural-opportunities/