LG ลงทุนโรงงานในเวียดนาม 750 ล้านเหรียญสหรัฐ

บริษัท LG Display ผู้ผลิตจอแสดงผลรายใหญ่ของเกาหลีใต้ ประกาศเดินหน้าลงทุนเพิ่มอีก 750 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับโรงงานในเวียดนาม และเล็งขยายแผนการผลิตแผง OLED ต่อไป ทั้งนี้ เมืองไฮฟองได้อนุมัติแผนการลงทุนของบริษัทแอลจี ดิสเพลย์ สำหรับโรงงานที่ตั้งอยู่ในภาคเหนือของเวียดนาม  โดยค่าใช้จ่ายของการลงทุนในโครงการเมืองท่าของเวียดนาม อยู่ที่ 3.25 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตลอดจนบริษัทดังกล่าวเล็งถึงการขยายแผนการผลิตเพิ่มมากขึ้นในแผง OLED ในเดือนหน้าอย่างเร็วที่สุด และคาดว่าจะจ้างแรงงานอีกกว่า 5,000 คน นอกจากนี้ LG Display เป็นผู้ผลิตแผง OLED รายใหญ่ที่สุดของโลก ตั้งโรงงานผลิตโมดูล OLED ในเวียดนามเมื่อปี 2559

ที่มา : https://vietnamtimes.org.vn/lg-display-to-invest-another-us-750mil-for-its-vietnamese-plant-say-reports-28222.html

กัมพูชาร่วมกับสหราชอาณาจักรหารือด้านการลงทุนที่ยั่งยืน

กัมพูชาและสหราชอาณาจักร ได้จัดให้มีการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนที่ยั่งยืนภายในกัมพูชา โดยเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหราชอาณาจักรและทูตการค้าของนายกรัฐมนตรีอังกฤษประจำกัมพูชา สปป.ลาว และเวียดนาม ร่วมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าประชุมผ่านทางวีดีโอคอนเฟอร์เร้น ซึ่งในการประชุมดังกล่าวได้พูดถึงการลงทุนที่มีศักยภาพของกัมพูชาในทุกภาคส่วน โดยเน้นว่ารัฐบาลกัมพูชาได้ร่างกฎหมายและกฎระเบียบเกี่ยวกับการลงทุนใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกและดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของกัมพูชาในปี 2021 และสถานการณ์หลังวิกฤต COVID-19 จากข้อมูลของ CDC ในปี 2020 กัมพูชาได้รับอนุญาตโครงการลงทุน 238 โครงการ ด้วยเงินทุนรวม 8.2 พันล้านดอลลาร์ลดลงร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งในเดือนมกราคมปี 2021 เพียงเดือนเดียวมีการอนุมัติโครงการลงทุนกว่า 20 โครงการมูลค่าลงทุนรวม 621 ล้านดอลลาร์

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50813485/cambodia-uk-discuss-sustainable-investment-opportunity-in-cambodia/

สุริยะ หนุนสตาร์ทอัพขับเครื่องเศรษฐกิจไทย

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยได้จัดทำโครงการเชื่อมโยงตลาดสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่สร้างธุรกิจโดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน สามารถใช้ทรัพยากรของประเทศในการผลิตสินค้าและบริการ มุ่งเน้นการสร้าง มูลค่าเพิ่ม การจ้างงานในท้องถิ่น และการกระจายรายได้สู่ภูมิภาค เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เศรษฐกิจฐานรากภานในประเทศต่อไป เพื่อเพิ่มขีด ความสามารถในการดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยพัฒนาทักษะการดำเนินธุรกิจ ส่งเสริมการ ใช้ประโยชน์จากงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด เชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมสนับสนุนต่าง ๆ ให้เป็นกลไกที่ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม รวมถึงสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการตลาดอย่างเหมาะสม ให้สามารถขยายฐานกิจการทั้งในและ ต่างประเทศได้  ส่วนกลุ่มเป้าหมาย จะเป็นสตาร์ทอัพที่จดทะเบียนพาณิชย์ตามกฎหมายไทย จำนวน 25 กิจการ โดยมีผลิตภัณฑ์หรือบริการ ซึ่งมีนวัตกรรมในรูปแบบธุรกิจที่สามารถทำซ้ำ และขยายตลาด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ มีความต้องการเข้าถึงตลาดและแหล่งเงินทุนจากนักลงทุนร่วมทุน หรือบริษัทร่วมลงทุน  โดยจะมุ่งเน้นในสาขาเป้าหมายเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep technology) ที่สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI), หุ่นยนต์, นาโนเทคโนโลยี, เทคโนโลยีชีวภาพ, IoT, การจัดการพลังงาน, บล็อกเชน, AR & VR (ความจริงเสมือนและ VR เสมือนจริง)และ Big Data เป็นต้น “สตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการนี้ไม่ต่ำกว่า 70% จะมียอดขายเพิ่มขึ้น มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น และมีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น และเติบโตได้จากการที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการเชิงนวัตกรรมที่มีมูลค่าสูง มีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นพร้อมก้าวสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ และยังช่วยลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ”

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/922135

CDC อนุมัติโครงการลงทุนในกัมพูชาอีก 5 แห่ง มูลค่ารวมกว่า 50 ล้านดอลลาร์

บริษัท 5 แห่งได้รับใบอนุญาตการลงทุนจากสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) เพื่อลงทุนในจังหวัดตาแก้ว, กัมปงสปือ, กัมปงชนัง, กันดาลและสเวย์เหรียง ด้วยเงินลงทุนรวมกว่า 50.5 ล้านดอลลาร์ โดยคาดว่าโครงการที่ได้รับอนุมัติใหม่จะสร้างงานให้กับท้องถื่นได้ประมาณ 2,230 ตำแหน่ง ซึ่งโครงการใหม่ทั้ง 5 โครงการครอบคลุมถึงการผลิตเฟอร์นิเจอร์ ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ อะไหล่ของเครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเสื้อผ้า ตั้งแต่ต้นเดือนโดยตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ CDC ได้อนุมัติโครงการลงทุนไปแล้วกว่า 10 โครงการ ซึ่งรวมถึงโครงการข้างต้นด้วยเงินลงทุนรวมประมาณ 600 ล้านดอลลาร์ สร้างโอกาสในการหางานรวมประมาณ 6,580 ตำแหน่ง และมองว่าการลงทุนดังกล่าวท่ามกลางการระบาดของ COVID-19 แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมของกัมพูชาแม้ว่าจะถูกคุกคามจากการระบาดในปัจจุบัน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50811151/cdc-approves-5-more-investments-worth-more-than-50-million-in-investment-capital/

อนาคตเศรษฐกิจเมียนมา ความไม่แน่นอนหลังการเลือกตั้ง

หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งสหภาพเมียนมา (UMFCCI) เผยสถานการณ์ฉุกเฉินในขณะนี้ส่งผลกระทบต่อความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและนักลงทุนต้องรอดูว่าจะคลี่คลายอย่างไรในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอาจเกิดขึ้นได้หากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของประเทศและเกิดการประท้วงเกิดขึ้นในต่างประเทศ จากสถานการณ์ปัจจุบันนักลงทุนอาจตัดสินใจถอนการลงทุนออกจากเมียนมา หากมองแนวโน้มของสถานการณ์คาดจะมีการปราบปรามโดยกองทัพมากขึ้นอาจส่งผลให้เกิดความไม่สงบและความไม่แน่นอนทางการเมืองเพิ่มขึ้น ทั้งนี้สหรัฐฯ ยืนยันสนับสนุนสถาบันประชาธิปไตยของเมียนมาและเรียกร้องให้กองทัพยึดมั่นในประชาธิปไตยและปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวซึ่งรวมถึงนางอองซานซูจี เนื่องจากเอเชียคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 60 ของการส่งออกทั้งหมดของเมียนมารโดยมีตลาดหลักคือจีนและไทยการส่งออกทั้งหมดไปภูมิภาคนี้จะลดผลกระทบของการคว่ำบาตรจากประเทศตะวันตกได้ บริษัทวิจัยได้ปรับการคาดการณ์การเติบโตของ GDP เหลือ 2% สำหรับปีงบประมาณ 63-64 และปีงบประมาณ 64-65 จากที่คาดไว้ก่อนหน้านี้คือ 5.6% และ 6% แนวโน้มการเติบโตของประเทศขึ้นอยู่กับโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งอาจล่าช้าหรือยกเลิกได้ทั้งหมดหากมีการใช้มาตรการคว่ำบาตร

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/umfcci-vice-chair-says-impacts-economy-uncertain.html

รัฐบาลสปป.ลาวสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

รัฐบาลสปป.ลาวได้ออกพระราชกฤษฎีกาเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโครงสร้างด้านสาธารณูปโภค โดยโครงการทั้งหมดจะทำผ่านโครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) โครงการ PPP กำลังแพร่หลายในสปป.ลาวเนื่องจากรัฐบาลต้องการการลงทุนจำนวนมากเพื่อปรับปรุงโครงข่ายถนนทางรถไฟและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากข้อมูลด้านการลงทุนภายในประเทศพบว่า การลงทุนของภาคเอกชนคิดเป็นมากกว่าร้อยละ 50 ของการลงทุนทั้งหมดในสปป.ลาว ทำให้รัฐบาลสปป.ลาวมุ่งมั่นที่จะเสนอสิ่งจูงใจเพื่อส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชน อย่างไรก็ตามการลงทุนในแต่ละโครงการต้องพิจารณาถึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือสุขภาพของชุมชนท้องถิ่นควบคู่ไปด้วย ตามแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติสปป.ลาวที่สนับสนับการลงทุนที่ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt_16.php

ไทยลงทุนในเวียดนามพุ่งขึ้น

ตามข้อมูลของกระทรวงวางแผนและการลงทุน ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีโครงการจดทะเบียนใหม่ 40 โครงการ และอีก 23 โครงการที่จดทะเบียนเพื่อปรับเพิ่มเงินทุน และ 100 รายที่เป็นการช่วยเหลือทางเงินทุนในการบริหารจัดการทางบริษัท รวมถึงการเข้ามาซื้อหุ้นในเวียดนาม ด้วยเงินทุนราว 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตัวเลขข้างต้น เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2562 และประมาณ 7 เท่าเมื่อเทียบกับปี 58-63 ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ไทยติดอันดับ 1 ใน 9 ที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ด้วยเงินทุนสะสมทั้งหมด 12.8     ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นปี นักลงทุนชาวไทยมีความสนใจในสาขาธุรกิจที่หลากหลายด้วยกัน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูป พลังงานสะอาดและอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม การระบาดของโควิด-19 ทำให้นักลงทุนชาวไทยลงทุนมากขึ้น ทำการควบรวมและเข้าซื้อกิจการในเวียดนาม

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/858771/thai-investment-in-viet-nam-increases.html

การลดหย่อนภาษีของรัฐบาลสปป.ลาวมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการลงทุนในแขวงไชยสมบูรณ์

รัฐบาลสปป.ลาวได้ออกนโยบายลดหย่อนภาษีเพื่อดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชนมากขึ้นในแขวงไชยสมบูรณ์นายอุ่นดวง ขาวพันธุ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงข้อมูลวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของโครงการที่ริเริ่มนี้ เพื่อเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจในแขวงไชยสมบูรณ์ ภายใต้นโยบายนี้ธุรกิจที่ลงทุนในการพัฒนาการท่องเที่ยวและโรงแรมจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีกำไรเป็นระยะเวลาห้าปีและหากพวกเขาเพิ่มการลงทุนในการท่องเที่ยวมากกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนเงินที่ลงทุนเดิมพวกเขาจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีกำไรอีกสองปี นอกจากนี้นักลงทุนจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสัมปทานที่ดินและจำนวนเงินที่พวกเขาใช้จ่ายในการฝึกอบรมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยสามารถนำมาหักออกจากใบเรียกเก็บภาษีโดยรวมของพวกเขาได้ การส่งเสริมการลงทุนดังกล่าวรัฐบาลมีความต้องการเพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวซึ่งแขวงไชยบูรณ์ถูกจัดสรรให้เป็นพื้นที่สำหรับการพัฒนาเพื่อเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจและความพยายามในการลดความยากจนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของสปป.ลาว

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt_244.php

เวียดนามเป็นแหล่งลงทุนอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น

ธุรกิจในเวียดนามจำนวนมากได้รับคำแนะนำให้ปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อคว้าโอกาสในการรับกระแสการลงทุนจากญี่ปุ่น โดยเฉพาะธุรกิจญี่ปุ่นกว่า 2,000 ราย เข้ามาลงทุนในเวียดนามช่วงสิ้นปี 2562 รองลงมากลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก ด้วยเงินทุนจดทะเบียน 59.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 15.6 ของเงินทุนรวม โดยข้อมูลข้างต้น เกิดหลังจากองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) เปิดเผยรายชื่อบริษัท 15 รายที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ไทยและสปป.ลาว ทั้งนี้ ตามการสำรวจของเจโทร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ระบุว่าธุรกิจญี่ปุ่นส่วนใหญ่ร้อยละ 63.9 ดำเนินกิจการในเวียดนาม สิ่งนี้เป็นโอกาสอันดีแก่ธุรกิจในท้องถิ่น เพื่อยกระดับความร่วมมือและเชื่อมต่อกับธุรกิจญี่ปุ่น โดยเฉพาะการผลิตชิ้นส่วนและสนับสนุนเทคโนโลยีสารสนเทศ

ที่มา : https://vietreader.com/business/finance/24421-vietnam-regarded-as-top-investment-destination-for-japan-businesses.html\

DHL Express เพิ่มการลงทุนในเอเชียรองรับอีคอมเมิร์ซขยายตัว

บริษัท DHL Express ลงทุนเกือบ 750 ล้านยูโรเพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายทั่วโลกในอีกสองปีข้างหน้า โดย 60 ล้านยูโรจะขยายเครือข่ายการบินในเอเชียแปซิฟิกและเปิดตัวเส้นทางบินตรงที่เชื่อมต่อศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคไปยังย่างกุ้งและเวียงจันทร์ของสปป.ลาว DHL คาดว่าปริมาณการจัดส่งในเอเชียแปซิฟิกจะสูงกว่าช่วงพีคของซีซั่นในปีที่แล้วถึง 30-40% ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัวและเส้นทางการบินใหม่จะได้ประโยชน์จากตลาดอีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโตและการค้าข้ามแดนในระยะยาว ตั้งแต่ต้นปี 63 DHL ประสบปัญหาการจัดส่งสินค้าออนไลน์ในเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้น 50% (ไม่นับรวมจีน) นอกจากนี้ยังลงทุน 25 ล้านยูโรเพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในบังกลาเทศซึ่งจะรวมสำนักงานและศูนย์บริการบนพื้นที่ 10,000 ตร.ม. โรงงานแห่งใหม่นี้จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 35% และคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 65 นอกจากนี้ยังจะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ ในออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ อีกทั้งเครือข่ายสายการบินใหม่จะขยายไปยังปักกิ่งและย่างกุ้ง

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/dhl-express-raises-investment-asia-e-commerce-expands.html