ผู้ประกอบการเนื้อหมูขายราคาหมูเกินราคาที่กำหนด
ผู้ขายเนื้อหมูหลายรายในเมืองหลวงกำลังขายเนื้อหมูให้กับผู้บริโภคโดยไม่มีป้ายราคาเพื่อหวังจะขายราคาที่เกินกว่ารัฐบาลตั้งไว้ ซึ่งหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้ได้ประกาศเมื่อวันที่ 30 มกราคมว่าหมูเกรด A ในตลาดควรจำหน่ายปลีกที่ 40,000 kip ต่อกิโลกรัมและ 38,000 kip ต่อกิโลกรัมสำหรับเกรด B แต่ด้วยผลผลิตหมูที่ขาดแคลนหนักจากเชื้อไวรัสสุกรจึงส่งผลให้ราคาของหมูสูงขึ้นต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 2-3เดือนที่ผ่านมา ปัญหาดังกล่าวต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะเนื้อหทมูถือเป็นเนื้อสัตว์ที่ คนสปป.ลาวนิยมบริโภคมากที่สุด ดังนั้นหากราคาเนื้อหมูปรับตัวสูงก็จะส่งผลต่อการบริโภคของประชาชนและในระยะยาวอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อเนื่องจากสินค้าหรืออาหารที่มีการนำหมูไปประกอบวัตถุดิบจะต้องมีการปรับราคาสูงตามราคาหมูที่ปรับขึ้นจึงเป็นปัญหาที่รัฐบาลควรแก้ไขและตรวจสอบผู้ที่ขายราคาเกินจริงอย่างจริงจัง
ที่มา : http://annx.asianews.network/content/pork-vendors-flout-price-ceiling-bring-home-bacon-113703
คาดว่าเศรษฐกิจสปป.ลาวจะเติบโตที่ร้อยละ 6.3 ในปี 2020
ศูนย์วิจัยนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายใต้สถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติ คาดการณ์เศรษฐกิจสปป.ลาวจะขยายตัวร้อยละ6.3-6.4 ในปีนี้โดยปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญหลายประการ ทั้งการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Xayaboury ซึ่งเริ่มดำเนินการในเดือนธันวาคม การพัฒนาของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและเกษตรกรรมรวมถึงภาคการท่องเที่ยวมีอัตราการเติบโต 14% ในปี 2562 โดยมีผู้มาเที่ยวลาวประมาณ 4.7 ล้านคน โดยปี 63 ต้องดูสถานการณ์ของไวรัสโคโรน่าว่ามีท่าทีจะส่งผลต่อการท่องเที่ยวสปป.ลาวหรือไม่
ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Macroeconomic.php
“บีซีพีจี”สยายปีกลงทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาว-ผนึกพันธมิตรสายส่งไปเวียดนาม
“บีซีพีจี”เดินหน้าขยายธุรกิจพลังน้ำในลาว ด้วยการเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในเมืองเชียงขวาง สปป.ลาวเป็นแห่งที่ 2 ขนาดกำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ ส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำในลาวเพิ่มเป็น 114 เมกะวัตต์ พร้อมเข้าลงทุนร่วมกับพันธมิตรก่อสร้างและดำเนินกิจการระบบสายส่งกระแสไฟฟ้าไปยังเวียดนาม ส่งผลให้แผนการลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV มีรายได้เติบโต มั่นคงระยะยาว ทั้งนี้ ข้อมูลของบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในวันที่ 10 ก.พ.63 ได้มีการลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3B Power Sole Co.,Ltd.ระหว่างบริษัท บีซีพีจี อินโดไชน่า จำกัด (BIC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบีซีพีจี ดำเนินกิจการลงทุนโรงไฟฟ้าในกลุ่มประเทศ CLMV กับบริษัท Phongsubthavy Roads and Bridges Construction and Irrigation(PSG) นอกจากนี้ โครงการ Nam San 3B ยังได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (EVN) เพื่อขายไฟฟ้าให้กับ EVN แทนการขายไฟฟ้าให้กับ EDL เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 25 ปี คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่ปี 2565 สำหรับการลงทุนของบริษัทในครั้งนี้ เป็นเพียงก้าวแรกของบริษัทในการขยายธุรกิจสู่กลุ่มประเทศ CLMV โดยลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำอาทิ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และขายไฟฟ้าให้กับประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจเช่น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ที่มา : https://siamrath.co.th/n/131991
การส่งออกปศุสัตว์สร้างรายได้สูงสุดในสินค้าเกษตร
การส่งออกปศุสัตว์สร้างรายได้สูงสุดในกลุ่มสินค้าเกษตร มีมูลค่ามากถึง 217.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งมากกว่า กล้วยไม้และยางที่เคยเป็นสินค้าที่สร้างรายได้สูงสุดแก่สปป.ลาว โดยประเทศคู่ค้าที่สำคัญในการส่งออกปศุสัตว์ของสปป.ลาวคือ เวียดนาม ซึ่งปศุสัตว์เป็น 1 ใน 2 ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมที่สปป.ลาวขายให้กับเวียดนามโดยมีมูลค่าการส่งออกเกือบ 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งใน 20 อันดับแรกของผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกไปยังประเทศจีนด้วยยอดขายมูลค่า 7.5 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้จีนถือเป็นประเทศที่มีความต้องการในปศุสัตว์สปป.ลาวสูง โดยตลาดในยูนนานของจีนต้องการปศุสัตว์ 500,000 ตัวจากสปป.ลาวเป็นประจำทุกปี สินค้ากลุ่มนี้จึงเป็นสินค้าที่น่าสนใจเพราะอนาคตจะเติบโตได้อีกและสปป.ลาว ยังมีศักยภาพในการแข่งขันด้วยปัจจัยที่สปป.ลาวมีที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงโคเพื่อการค้านั้นเอง
สปป.ลาว, ญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงเรื่องพัฒนาการท่องเที่ยวในหลวงน้ำทา
Luangpaseuth Corporation ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับกลุ่ม Chodai จากประเทศญี่ปุ่นเพื่อโครงการการท่องเที่ยวและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน โดยแขวงหลวงน้ำทามีชายแดนการค้าสำคัญกับจีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย คุณสมบัติเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาภาคส่วนที่สำคัญของการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคที่สำคัญของสปป.ลาวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การลงนามดังกล่าวจะทำให้มีการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนแก่สปป.ลาวต่อไป
ที่มา : http://annx.asianews.network/content/laos-japan-ink-deal-tourism-development-luang-namtha-113704
สปป.ลาวตั้งเป้าเพิ่มแรงงานในประเทศที่มีทักษะ 83,900 คน
รัฐบาลวางแผนที่จะเพิ่มอย่างน้อย 83,900 คนในรายชื่อแรงงานของประเทศในปีนี้จาก 75,769 คนในปี 2562 ภายใต้แผนพัฒนาทักษะแรงงานในปี 2563 คาดว่าตัวเลขนี้จะประกอบด้วยภาคเกษตร 30,100 คน โดยภาคอุตสาหกรรม 29,600 คน และภาคบริการ 24,200 คน เมื่อปีที่ผ่านมามีคนงานเพิ่ม 75,769 คน ในภาคเกษตรรวม 19,063 คน ภาคอุตสาหกรมม 19,332 คนและภาคบริการ 37,370 คน มีแรงงานในประเทศ 7,286 คน ขณะที่ 54,091 ไปทำงานในต่างประเทศ รองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานเร่งดำเนินการปรับปรุงกฎหมายและแผนกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิของแรงงาน รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะดำเนินการต่อเพื่อพัฒนาทักษะของแรงงานเพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะสูงขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจ ฝ่ายแรงงานและสวัสดิการสังคม วางแผนที่จะเสริมสร้างทักษะของแรรงาน 3,000 คนในปีนี้ ในปีที่ผ่านมากรมฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงทักษะของคนหนุ่มสาวที่ด้อยโอกาสและด้อยโอกาสคัดเลือกคนหางานในสปป.ลาวและประเทศอื่น ๆ และประกาศกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิของแรงงาน
ที่มา : http://annx.asianews.network/content/laos-aiming-add-83900-skilled-workers-labour-pool-113540
การค้าขาดดุล 137 ล้านดอลลาร์สหรัฐแม้ว่ายอดส่งออกจะสูงกว่าเป้าหมาย
กระทรวงอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ระบุว่าสปป.ลาวมีการขาดดุลการค้า 137 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 61แม้ว่าจะส่งออกได้มากถึง 5,603 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกินเป้าหมายที่เคยคาดว่าจะอยู่ที่ 5,516 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญยังคงเป็นพลังงานไฟฟ้าที่มีมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถึงแม้การส่งออกภาครวมจะมีการเติบโตแต่สปป.ลาวยังเป็นประเทศที่มีการนำเข้าสินค้ามาในจำนวนมากโดยสินค้าที่นำเข้าหลักๆของสปป.ลาวได้แก่ เชื้อเพลิงยานพาหนะ รถแทรกเตอร์และรถจักรยานยนต์ ซึ่งปัจจุบันสปป.ลาวกำลังอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจมีการเติบโต รายต่อหัวของประชาเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีความต้องการในสินค้าดังกล่าวมากขึ้นตาม ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าในสินค้าดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นด้วย จึงเป็นสาเหตุที่ถึงแม้การส่งออกจะเพิ่มสูงขึ้นแต่ยังขาดดุลนั้นเอง อย่างไรก็ตามการขาดดุลของสปป.ลาวมีแนวโน้มที่จะน้อยลงจากนโยบายภาครัฐในปัจจุบันที่สนับสนุนการผลิตในประเทศมากขึ้นรวมถึงมาตราการส่งเสริมการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจะเป็นผลดีในอนาคตที่จะช่วยทำให้สปป.ลาวขาดดุลน้อยลง จนไปถึงเกินดุลในที่สุด