โรงแรม ร้านอาหารในเมียนมาประสบปัญหาการระบาดของ COVID-19

โรงแรมในประเทศประมาณ 60% ได้เปิดให้บริการอีกครั้ง แต่ธุรกิจยังคงซบเซาเนื่องจากข้อจำกัดและการระบาดของ COVID-19 เช่นเดียวกับร้านอาหารซึ่งเปิดใหม่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม รายได้ลดลงมากถึง 50% ก่อนเกิดโรคระบาดเนื่องจากผู้คนยังคงระมัดระวังการไปในสถานที่สาธารณะ โรงแรมและโมเต็ลจำนวน 1,200 แห่งในประเทศได้เปิดให้บริการอีกครั้งและอีก 810 แห่งได้ผ่านการตรวจสอบและได้รับอนุญาตให้เปิดใหม่ได้อีก ซึ่งโรงแรมประมาณ 400 แห่งยังคงเปิดให้บริการในช่วงที่มีการจำกัด COVID-19 และทำหน้าที่เป็นสถานกักกันสำหรับชาวเมียนมาที่เดินทางกลับจากต่างประเทศหรือชาวต่างชาติที่มาทำธุรกิจที่นี่ U Nay Lin ประธานของสมาคมกล่าวว่าร้านอาหารดำเนินงานด้วยคนงานเพียง 70 คนเนื่องจากการตกต่ำ ซึ่งยอดขายไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่สร้างรายได้ไม่ถึง 50% เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ขณะที่ร้านอาหารกำลังมีการส่งอาหารแบบออนไลน์เพื่อเพิ่มยอดขาย กระทรวงโรงแรมและการท่องเที่ยวได้นำเสนอแผนบรรเทาการท่องเที่ยว COVID-19 ซึ่งจะรวมถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว แผนดังกล่าวรวมถึงคำแนะนำด้านสุขภาพและความปลอดภัยสำหรับผู้เข้าชมในอัตราลดพิเศษสำหรับสถานที่ปลอด COVID-19 และทางเลือกการชำระเงินดิจิทัลสำหรับนักเดินทาง เมียนมาจะส่งเสริมการท่องเที่ยวในตลาดต่างประเทศตั้งแต่เดือนหน้าจนถึงเดือนมกราคม 2564 มีผู้เดินทางมาเยือนเมียนมาลดลง 44% จากเดือนมกราคมถึงเมษายน ในปี 2562 จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น 23% เป็น 4.36 ล้านคนเพิ่มขึ้นจาก 3.55 ล้านคนในปีที่ผ่านมา ชาวจีนคิดเป็นสัดส่วนเกือบหนึ่งในสามของนักท่องเที่ยวในปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 152% จากปีที่แล้ว การท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 6.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของประเทศทำรายได้ 4.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2560 และแรงงาน1.4 ล้านคน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/hotels-restaurants-myanmar-suffer-pandemic-lingers.html

ศักยภาพเมียนมาด้านอาหารของโลกหลังยุค COVID-19

เนื่องจากเมียนมามาเป็นประเทศเกษตรกรรมจึงมีความเป็นไปได้ที่จะตอบสนองความต้องการด้านอาหารของโลกหลังยุค COVID-19  จากการประชุมทางวิดีโอกับนางอองซานซูจีที่ปรึกษาของรัฐ นาย Sett Aung ผู้กำหนดแผนบรรเทาทุกข์ทางเศรษฐกิจและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังการวางแผนและอุตสาหกรรมและประธาน หอการค้าเมียนมา (UMFCCI)  ซึ่งเมียนมาเป็นประเทศที่มีความพอเพียงด้านอาหารเพื่อการบริโภคภายในประเทศและเป็นผู้ส่งออกโดยใช้เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ โดย 70% ของประชากรอยู่ในพื้นที่ชนบทเศรษฐกิจหลักคือการเกษตร ดังนั้นจึงมีนโยบายในการพัฒนาภาคเกษตรที่ครอบคลุมวิสัยทัศน์ในอนาคต

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/myanmar-has-the-potential-to-supply-world-food-requirement-after-covid-19-union-minister

กระทรวงเกษตรฯ ร่วมมือสหประชาชาติโครงการอาหารโลกลดผลกระทบด้านอาหาร

องค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ (FAO) ของสหประชาชาติโครงการอาหารโลก (WFP) ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและป่าไม้ของสปป.ลาวเพื่อร่างแผนรับมือและให้ความช่วยเหลือโดยตรงแก่เกษตรกร การวิเคราะห์ของ FAO พบว่าประเทศมีหลายๆ ประเทศนำเข้าอาหารลดลง 2 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ ส่งผลกระทบด้านโภชนาการต่อประชากร 14.4 ล้านถึง 80.3 ล้านคนทั่วโลก จากสถานการณ์ทำให้องค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ (FAO) พยายามปรับปรุงด้านโภชนาการเพื่อปกป้องวิถีชีวิตและความมั่นคงด้านอาหารของกลุ่มประชากรในประเทศ หากไม่มีนโยบายที่มีประสิทธิภาพผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะประสบกับความหิวโหยเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยแบบ COVID-19 ที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงด้านโภชนาการ นอกจากนี้ด้วยการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นทำให้ความต้องการอาหารลดลง ในทางกลับกันราคาก็มีแนวโน้มลดลงเช่นกันซึ่งจะช่วยลดยอดขายและรายได้ของภาคเกษตร ดังนั้นการแก้ปัญหาด้านโภชนาการและราคาของสินค้าเกษตรก็ควรได้รับการแก้ปัญหาและสนับสนุนต่อไปในอนาคต

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Agriculture_92.php

รัฐบาลสปป.ลาวมั่นใจมีอาหารและสินค้าเพียงพอความต้องการภายในประเทศ

จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิดที่ทำให้ผู้ติดเชื้อในสปป.ลาวมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในขณะนี้ จนเป็นที่มาของมาตราการปิดพรหมแดนรวมถึงการให้ประชาชนกักตัวอยู่บ้านตั้งแต่วันที่ 1-19 เมษายน ทำให้ประชาชนมีความกังวลถึงสินค้าและอาหารจะเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศหรือไม่ จากความกังวลดังกล่าวรัฐบาลได้ออกมาให้ความมั่นใจว่าสปป.ลาว มีแหล่งนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพียงพอถึงแม้การผลิตในประเทศจะหยุดชะงักขณะนี้ โดยสปป.ลาวจะนำเข้าสินค้าจากจีนและเวียดนามและมั่นใจว่าจะเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศแต่ถึงอย่างไรรัฐบาลได้ขอความรว่วมมือให้ประชาชนไม่ต้องกักตุนสินค้าเพราะนอกจากอาจขาดแคลนไปในบางช่วงแล้ว อาจทำให้ราคาสินค้าที่การปรับตัวสูงขึ้นไปตามอุปสงค์ของผู้บริโภค

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt_2Arp.php

นายกฮุนเซนต้องการให้นักธุรกิจเวียดนามส่งเสริมภาคการแปรรูปอาหารในกัมพูชา

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวในระหว่างการเฉลิมฉลองวันปีใหม่เวียดนาม 2020 ได้เรียกร้องให้มีการลงทุนเพิ่มเติมในภาคการแปรรูปสินค้าทางการเกษตรในกัมพูชาจากนักลงทุนชาวเวียดนามและนักธุรกิจทั่วโลกเนื่องจากกัมพูชายังคงขาดแคลน โดยเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทั้งชาวกัมพูชาและนักธุรกิจเวียดนามในกัมพูชา ซึ่งกัมพูชาส่งออกวัตถุดิบส่วนใหญ่ไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะเวียดนาม ดังนั้นหากมีการลงทุนในโรงงานแปรรูปมากขึ้นก็จะช่วยสร้างงานให้กับผู้คนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า โดยการค้าระดับทวิภาคีระหว่างกัมพูชากับเวียดนามในปี 2561 มีมูลค่าอยู่ที่ 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นประมาณ 24% เมื่อเทียบกับปี 2560 และในปี 2562 การค้าทวิภาคีของทั้งสองประเทศอยู่ที่ 5.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งกิจกรรมการลงทุนของผู้ประกอบการเวียดนามในกัมพูชาไม่เพียง แต่ประสบความสำเร็จสำหรับธุรกิจเวียดนามเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงทางสังคมของกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50681330/pm-wants-boost-for-food-processing

รายงาน : บริษัทอาหารและเครื่องดื่มเวียดนาม 10 อันดับแรกในปี 2562

จากรายงานทางการเวียดนาม ณ วันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา เปิดเผยว่าบริษัทอาหารและเครื่องดื่มเวียดนามที่มีชื่อเสียง 10 บริษัท โดยบริษัทที่ได้รับการประเมินจะจัดอันดับตามหลักเกณฑ์ 3 หลัก ดังนี้ ความสามารถทางการเงินตามรายงานการบัญชี และความน่าเชื่อถือของการเข้าถึงสื่อ เช่น สื่อโฆษณา เป็นต้น รวมไปถึงผลการสำรวจเกี่ยวกับความพึงพอใจจากการที่ลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทดังกล่าว ซึ่งจากการสำรวจผู้บริโภคในเดือนกันยายนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าแบรนด์สินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดที่ผู้บริโภคเลือก ได้แก่ Vissan (อาหารสด), Cai Lan (เครื่องเทศและน้ำมันไว้ทำอาหาร), Heineken (เบียร์และไวน์), Vinamilk (นม) และ Acecook (อาหารกระป๋องและบรรจุภัณฑ์) เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ตามรายงานดังกล่าว ระบุว่าการสื่อสารมีส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคสามารถรับรู้แบรนด์ที่มีชื่อเสียงได้ดีขึ้น และทำการตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น แต่ผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มเวียดนามส่วนใหญ่ระมัดระวังในการใช้สื่อ เพราะว่าขาดการควบคุมข้อมูล

ที่มา : https://en.nhandan.com.vn/business/item/7999802-vietnam-report-top-10-food-beverage-companies-in-vietnam-2019.html

ธุรกิจร้านอาหารไทย ในเมียนมา (2)

การทำธุรกิจร้านอาหารสมัยนี้หรือที่ต่างประเทศ จำเป็นต้องรอบรู้ และใช้หลักการคิดแบบคนรุ่นก่อนไม่ได้ที่อาศัยความอดทน ขยัน ทำงานกันเป็นครอบครัว ซึ่งระบบเก่าไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในยุคปัจจุบัน แนวคิดคือต้องแบ่งต้นทุนออกเป็นสองส่วนคือ หนึ่งต้นทุนคงที่ คือไม่ว่าคุณจะขายมากขายน้อย ต้นทุนนั้นก็จะเท่าเดิม แล้วนำมาหารจากมูลค่าการขาย เช่น ค่าเช่าร้านค้า หากจ่ายเดือนละหนึ่งหมื่นบาท รายรับจากการขายเดือนละหนึ่งแสนบาท คิดเป็น 10% ถ้าขายได้สองแสนบาท ค่าเช่าจะเหลือแค่ 5% เท่านั้น ต้นทุนอีกประเภทคือต้นทุนผันแปร ต้นทุนนี้จะแปรผันตามยอดขาย ยิ่งขายดี ยิ่งต้องจ่ายเยอะ เช่น ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสด (Food Costs) เมื่อขายดีขึ้นเราต้องซื้อวัตถุดิบอาหารสดมากขึ้นเป็นตามไปด้วย หลังจากนั้นต้องควบคุมค่าใช้จ่ายให้ได้และตั้งสมมติฐานว่ายอดขายได้ 100% ปัจจัยค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้ 1) ค่าวัตถุดิบอาหารสด ต้องประมาณ 30-35% หากน้อยไปอย่าชะล่าใจ นั่นหมายความว่า เราเอาสินค้าไม่ได้คุณภาพมาบริการลูกค้าแล้วลูกค้าจะไม่กลับมาอีก 2) ค่าเช่าร้าน จะต้องอยู่ประมาณ 10-15% โดยประมาณ อย่าสูงกว่านี้ 3) ค่าแรงงาน ควรจะประมาณ 15-20% ส่วนนี้ต้องรวมค่าแรงคนในครอบครัวไปด้วย 4) ค่าภาษี ควรจะเตรียมไว้ 10% 5) ค่าน้ำค่าไฟ ควรจะมีไว้ 5% 6) ค่าใช้จ่ายจิปาถะ เช่น ค่าของแตกหัก ค่าเสื่อมราคาเครื่องมือ อยู่ที่ 10% 7) ค่าต้นทุนการเงิน หากไม่กู้มาเราเสียโอกาสในดอกเบี้ยเงินฝากไป หากกู้มาเราก็ต้องจ่าย ดังนั้นควรมี 5% รวมแล้วประมาณ 85-100% ดังนั้นหากคุมงบไม่ได้ไปต่อไม่ได้อย่างแน่นอน

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/news/570552

ธุรกิจร้านอาหารไทยในเมียนมา (1)

พูดถึงอาหารไทยในเมียนมานั้น แม้จะมีชายแดนอยู่ติดกับไทยแต่อาหารจะแตกต่างจากอาหารไทย โดยได้รับอิทธิพลจากอินเดียมากกว่าไทย ในอดีตจะหาทานอาหารไทยในย่างกุ้งยากมาก จะมีร้านอยู่ไม่เกินสิบร้านที่ให้บริการอาหารไทยแท้ๆ เช่น ร้านสีลม ร้านไพลิน ร้านบางกอก เป็นต้น ปัจจุบันมีร้านอาหารไทยเปิดกันกันเยอะมาก เพราะมีทัวร์จากไทยเข้าไปไหว้พระมากกว่าแต่ก่อนเยอะ ส่วนด้านการลงทุน โดยมากที่นี่จะตกม้าตายกันที่ค่าเช่าร้านเพราะค่าเช่าที่นี่แพงมาก หากรายได้ไม่ดีจริงอยู่ไม่ได้แน่นอน ซึ่งถ้าจะทำร้านอาหารควรจะทำให้มีคลาสหรือการเจาะตลาดผู้บริโภคระดับบนไปเลย เมื่อดูเรื่องกำลังซื้อของผู้บริโภคที่นี่จะแบ่งระดับได้อย่างชัดเจน คนรวยจะรวยมาก คนจนก็จนติดดินมากด้วยเช่นกัน ดังนั้นควรเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับสูง เริ่มจากการตกแต่งร้านต้องสวยงาม มีห้อง VIP ไว้คอยต้อนรับแขกมีระดับ อาหารดูดี ตกแต่งจานอย่างสวยงาม วัตถุดิบมีคุณภาพ รสชาติอร่อย และสุดท้ายบริการต้องดี ชาวเมียนมาเวลาจะเชิญผู้เขียนไปทานข้าวมักจะเป็นร้านอาหารไทยที่มีระดับ อีกย่างที่ต้องคอยระวังคือ ไม่ควรทำบุฟเฟต์ เพราะคนเมียนมาจะทานเยอะมาก ผู้เขียนเคยทำร้านอาหารหมูกระทะ ขายดีมาก มีลูกค้า 200-300 คนต่อวัน แต่ยิ่งขายเยอะ ยิ่งเจ๊งเร็ว เพราะเวลาเติมไลน์อาหารลงทั้งของคาวของหวาน ปรากฏว่าชาวเมียนมาทานหมดทุกอย่าง จนต้องปิดกิจการไปเลย

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/news/569820