DHL ขยายบริการในเมียนมาด้วยคลังสินค้าใหม่

ดีเอชแอลซัพพลายเชน หนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านลอจิสติกส์ประกาศเปิดตัวคลังสินค้าแห่งแรกในเมียนมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บริษัทลงทุนประมาณ 1.58 พันล้านจัต (1 ล้านยูโร) ในโรงงานที่ Dagon Seikkan Industrial Zone ของย่างกุ้งและเพิ่มพนักงานมากกว่า 200 คน ภายในปี 64 เพื่อขยายฐานลูกค้าในประเทศซึ่งส่วนใหญ่จากกลุ่มผู้บริโภคและกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านห่วงโซ่อุปทานจากทั่วโลกและความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในท้องถิ่นและวัฒนธรรมที่แตกต่างทำให้เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างความใกล้ชิดเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ดีเอชแอลเป็นบริษัทโลจิสติกส์เป็นบริษัทต่างประเทศ 100% เพียงบริษัทเดียวที่ได้รับใบอนุญาตการลงทุนในเมียนมา ดีเอชแอลเป็นแบรนด์ระดับโลกในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ตั้งแต่การจัดส่งพัสดุไปรษณีย์ พัสดุระหว่างประเทศ การจัดส่งทางอิเล็กทรอนิกส์ ทางบก ทางอากาศ

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/dhl-scales-operations-myanmar-new-warehouse.html

เมียนมา ตลาดสุดท้ายของประเทศ CLMV

เมียนมาเป็นประเทศที่น่าสนใจ แม้ประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ ที่อยู่ห่างไกลออกไปยังเลือกที่จะเข้ามาลงทุน เช่น ประเทศสิงคโปร์ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้ามาที่นี่นานมากแล้ว ตั้งแต่ยุคประธานาธิบดี ลี กวนยู ยังมีชีวิตอยู่ เคยเดินทางมาเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ด้วยตนเอง อีกประการหนึ่งประเทศใน CLMV คือ เพื่อนบ้านเราที่อยู่ชายแดนติดกัน จึงน่าจะง่ายที่สุดในการค้าและการลงทุน หากจะเปรียบเทียบหรือวิเคราะห์ ระหว่างทั้ง 4 ประเทศแล้วประเทศกัมพูชา และสปป.ลาว (ซึ่งมีประชากรน้อย) หากจะไปแข่งขันกับประเทศที่มีเงินทุนหนา เทคโนโลยีสูง มีความฉลาด ขยันอดทน อย่างคนจีน ที่เข้าไปยึดหัวหาดไว้เกือบจะหมดแล้ว ไทยเราอาจจะสู้ได้ลำบาก ส่วนเวียดนามที่นั่นมีพัฒนามากเกือบจะล้ำหน้าไทยเราไปแล้ว อีกทั้งยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศก็เข้าไปแล้วทุกประเทศ ในช่วงนี้ใครที่เข้าไปลงทุนใหม่ๆ ต้องศึกษาให้ดีก่อน ดังนั้นประเทศเมียนมาเท่านั้น ที่เพิ่งเปิดประเทศได้ไม่นาน ไทยมีโอกาสสู้ประเทศอื่นๆ ได้อยู่แล้ว เพราะกำลังเร่งพัฒนาประเทศกันอยู่ เราต้องนึกย้อนไปในช่วงไทยเริ่มต้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 เมื่อปีพ.ศ.2504 เพียงแต่เขาจะเร็วกว่าเรา เพราะยุคสมัยและเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งมาในช่วงที่ยุค IT กำลังบูม หากไทยมองเห็นช่องก็จะมีโอกาสรวยได้เช่นกัน

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/605146

กระทรวงไฟฟ้าฯ เซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าจากโครงการเจ้าผิว

กระทรวงไฟฟ้าและพลังงาน (MOEE) ได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าเจ้าผิว ใช้เป็นเชื้อเพลิง 135 เมกะวัตต์ ซึ่งจะผลิตโดยผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ Kyauk Phyu Electric Power Co. โดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ได้ลงนามเมื่อวันอังคารที่แล้ว Kyauk Phyu Electric Power Co เป็นการร่วมทุนระหว่าง Supreme Group ของเมียนมาและ Power China ของจีน โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซในเจ้าผิว รัฐยะไข่ เป็นหนึ่งในสี่โครงการที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาล ซึ่งคาดว่าจะผลิตไฟฟ้าได้ 3111 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยตอบสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นประมาณ 1,000 เมกะวัตต์ต่อปีของเมียนมา โรงไฟฟ้าถูกสร้างโดยระบบ build-operat (BOT) จะมีกำลังการผลิต 146 เมกะวัตต์แม้ว่าจะใช้งานได้ที่ 135 เมกะวัตต์ โรงงานแห่งนี้ผลิตไฟฟ้า 1.05 พันล้านหน่วยต่อปีซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากในยะไข่และภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการที่คาดไว้ 1,000 เมกะวัตต์ในปี 64 สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPAs) ระยะสั้นจะถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/deal-signed-purchase-power-kyaukphyu-power-plant-project.html

FDI เมียนมาโตช้าสุดในอาเซียน

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของเมียนมาล่าช้าสุดในอาเซียนตามรายงานของสำนักเลขาธิการอาเซียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รายงานการลงทุนของอาเซียนปี 62 มีการลงทุนไหลสูงเป็นประวัติการณ์ไปยังประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียนยกเว้นเมียนมาที่ลดลง โดยในปี 61 ลดลง 11% คิดเป็น 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ สาเหตุหลักมาจากการลดลง 48% ของการลงทุนในอุตสาหกรรมที่นำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต ส่วนใหญ่การลงทุนมาจากบริษัทสิงคโปร์และบริษัทในเครือของจีนหรือฮ่องกง ในปี61 การลงทุนภายในอาเซียนมากกว่า 48% จะเป็นอินโดนีเซีย สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทำให้ FDI หลั่งไหลเข้ามาใน CLMV เพิ่ม 4% เป็น 23 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปีที่แล้วคิดเป็น 15% ในอาเซียน เวียดนามเป็นผู้นำในการดึงดูดเงินลงทุนกว่า 15 พันล้านเหรียญสหรัฐในกลุ่มประเทศ CLMV การไหลเข้าสูงจะเป็นของกัมพูชาและเวียตนามทำให้การลงทุนแข็งแกร่งขึ้น FDI ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์คือ 155 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 61 จากที่ 147 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 60 เพิ่มขึ้นเป็นปีที่สามติดต่อกัน โดยขยายตัวจาก 9.6% ในปี 60 เป็น 11.5% ในปี 61 เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมากกว่า 66% เข้าสู่ภาคบริการ (การเงิน ค้าส่งและค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์) ทำให้เป็นภาคธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน FDI ในเมียนมาส่วนใหญ่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการเก็บรักษา ข้อมูลและการสื่อสาร

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-lags-asean-sees-record-fdi.html

อินเดียเพิ่มการนำเข้าถั่วดำจากเมียนมา

จากข้อมูลเดือนต.ค. ที่ผ่านมาอินเดียนำเข้าถั่วดำจำนวนมากจากเมียนมา อินเดียกำหนดระบบโควตาสำหรับพืชจากเมียนมาโดยมี 3 บริษัทได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอินเดียให้นำเข้าจากเมียนมา ช่วง ต.ค.ราคาถั่วดำอยู่ที่ประมาณ 80,000 จัตต่อตัน แต่ตอนนี้ราคาอยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านจัตต่อตัน รายงานระบุว่าผลผลิตในอินเดียต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้และมีการซื้อจากเมียนมา 3,000 ถึง 4,000 ตันต่อสัปดาห์ตั้งแต่ปลายเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา อินเดียซื้อกรัมดำจำนวนมากภายใต้ระบบโควต้าในราคาที่ต่ำกว่าแต่ตอนนี้อินเดียซื้อในราคาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรปศุสัตว์และการชลประทานพบว่า 77% ของการเพาะปลูกส่งออกไปยังอินเดีย โดยจะเพาะปลูกในเดือนมี.ค.และเม.ย. และเก็บเกี่ยวในเดือนก.ย.หรือต.ค. พืชที่ปลูกส่วนใหญ่อยู่ในเขตมะกเว, เขตอิรวดี, ย่างกุ้ง, มั ฑะเลย์ และเขตสะกาย

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/india-buying-more-black-gram-myanmar.html

บริษัทผลิตน้ำผึ้งเมียนมาชนะเลิศเหรียญทองสำหรับน้ำผึ้งที่ผลิตในท้องถิ่น

บริษัทในเครือ Smile Happy Co Ltd ได้รับการตอบรับจากสมาคมระหว่างประเทศของผู้เลี้ยงผึ้งในการเข้าร่วมงาน World Beekeeping Awards ที่จัดขึ้นในระหว่างการประชุม Apimondia ครั้งที่ 46 ที่เมืองมอนทรีออลประเทศแคนาดา เมื่อ ก.ย.ที่ผ่านมา และได้รับรางวัลเหรียญทองสำหรับแบรนด์ IM Honey บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 43 ปัจจุบันส่งออกน้ำผึ้งไปยังแคนาดา ซาอุดิอาระเบีย ญี่ปุ่น และไทย ปีหน้ามีแผนส่งน้ำผึ้งเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมสมาคม Apicultural แห่งเอเชียในเวียดนาม ทั้งนี้มีผลิตภัณฑ์ศักยภาพในการเติบโตเนื่องจากการบริโภคค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น โดย Smile Happy Co ร่วมกับสมาคม Apicultural ในการฝึกอบรมและการพัฒนาอุตสาหกรรม ในการเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำผึ้งไปยังสหภาพยุโรป ภาคการเลี้ยงสัตว์ของประเทศได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่กำหนดไว้ในกฎหมายอาหารของยุโรปและร่วมมือกับ German Corporation งาน Apimondia International Apicultural Congress ครั้งที่ 46 มีผู้เข้าร่วมกว่า 6,000 คนจาก 80 ประเทศ

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/local-company-wins-gold-medal-locally-produced-honey.html

ผลสำรวจความแตกต่างของมุมมองระหว่างนายจ้างกับสิ่งที่ผู้สมัครงานต้องการ

จากการสำรวจของ JobNet พบว่าผู้ประกอบการในเมียนมากำลังเจอความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดของธุรกิจในปัจจุบัน คือการจ้างงานและรักษาคนเก่งเอาไว้ ผลการสำรวจของหอการค้าอังกฤษพบว่า 3 ใน 4 ของผู้บริหารระดับสูงในเมียนมากล่าวว่าความท้าทายครั้งใหญ่ที่กำลังเผชิญไม่ใช่เพิ่มทุนหรืออัตราการเติบโตของตลาด การสำรวจเผยให้เห็นมุมมองที่แตกต่างจากนายจ้างและลูกจ้าง เช่น 72% ของนายจ้างกล่าวว่าเงินเดือนสูงเป็นสิ่งที่ผู้หางานต้องการพียง 60% ของพนักงาน 2,000 คน จากการสำรวจ อย่างไรก็ตามเกือบ 80 คนและ 66 คนมองว่าการเติบโตของอาชีพและโอกาสในการเรียนรู้และการพัฒนาเป็นสิ่งที่สำคัญสุด 8% ของบัญชีผู้สมัครส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง เพศชายส่วนใหญ่มีเป้าหมายงานสมัครงานในการผลิตและ เพศหญิงสนใจงานด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการสื่อสารมากขึ้นในขณะที่ผู้ชายมุ่งไปที่อาหารและเครื่องดื่ม เทคโนโลยีสารสนเทศ และการออกกำลังกาย จำนวนเพศชายและหญิงสมัครงานด้านการท่องเที่ยวและกาโรงแรมมีจำนวนเท่ากัน

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/employer-employee-views-differ-what-jobseekers-want-survey.html