รายได้จากศุลกากรของกัมพูชาถึงเป้าหมายก่อนสามเดือนที่กำหนดไว้

ในช่วง 9 เดือนแรกของปีกัมพูชามีรายรับ 2.3 พันล้านดอลลาร์จากการจัดเก็บภาษีและภาษีสรรพสามิตซึ่งเกินเป้าหมายของรัฐบาลตลอดทั้งปีแล้ว 5% โดยหลังจากนี้อีกสามเดือนคาดหวังว่าจะจัดเก็บภาษีได้อีก 800 ล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปี ซึ่งรายได้จากการจัดเก็บจะถูกใช้ไปกับการลงทุนภาครัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามลำดับเพื่อเป็นการลดการพึ่งพารัฐบาลต่างประเทศลง โดยเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้จากภาษีศุลกากรและการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเป็นสัญญาณเชิงบวกที่หมายถึงประเทศกำลังนำเข้ามากขึ้นเพราะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงแรงจูงใจในการต่อสู้กับการทุจริตและประสิทธิภาพของความพยายามร่วมกันของทุกหน่วยงาน ซึ่งยังมีช่องว่างมากมายสำหรับการปรับปรุงในเรื่องการจัดเก็บภาษี โดยบริษัท ใหญ่ทุกแห่งจะต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันด้านภาษี ซึ่งเมื่อปีที่แล้วกัมพูชามีรายรับและภาษีสรรพสามิต 2.5 พันล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับปี 2560

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50647257/govt-reaches-customs-revenue-goal-three-months-in-advance/

กัมพูชามีอัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำที่สุดใน SEA

กัมพูชาสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น โดยเป็นประเทศที่อัตราภาษีต่ำที่สุดในภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่ง Trading Economics เป็นแพลตฟอร์มทางสถิติเศรษฐกิจออนไลน์แสดงให้เห็นว่ากัมพูชามีอัตราภาษีนิติบุคคลต่ำเป็นอันดับที่สามในภูมิภาครองจากบรูไนและสิงคโปร์ โดยอัตราภาษีนิติบุคคลของกัมพูชาในปัจจุบันอยู่ที่ 20% ซึ่งเท่ากับอัตราภาษีไทยและเวียดนาม โดยสิงคโปร์มีอัตราที่ต่ำที่สุดในภูมิภาคอยู่ที่ 17% รองลงมาคือบรูไนอยู่ที่ 18.5% ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในประเทศและต่างประเทศต่างกล่าวว่าเป็นเรื่องสำคัญที่กัมพูชาจะต้องเสนออัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำหรือให้มีการแข่งขันกันเกิดขึ้น ตามรายงานจากภาครัฐ FDI ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงได้รับประโยชน์จากเขตภาษีที่ต่ำโดย FDI เพิ่มขึ้นจาก 62 พันล้านดอลลาร์ในปี 2560 เป็น 77 พันล้านดอลลาร์ในปี 2561 เทียบกับกัมพูชา 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐสำหรับปี 2561

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50647262/cambodia-has-one-of-the-lowest-corporate-tax-rates-in-sea/

การลดลงอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวที่นครวัดในกัมพูชา

จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่อุทยานโบราณคดีอังกอร์ที่ตั้งอยู่ในเสียมเรียบยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องตามตัวเลขล่าสุดจาก Angkor Enterprise แสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 1.6 ล้านคนซื้อบัตรผ่านเข้าชมวัดตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายนลดลงกว่า 12% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วในปี 2561 ทำรายได้เพียง 74 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งลดลง 13% ส่งผลมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาเยือนเสียมราฐน้อยลง ทั้งปัจจัยที่น่าสนใจที่ประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะเวียดนามกำลังแสวงหานักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวเกาหลีใต้ ด้วยการลงทุนที่ใหญ่ขึ้นในแคมเปญเพื่อส่งเสริมแหล่งท่อวเที่ยว แต่ในทางตรงกันข้ามจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในกรุงพนมเปญและสีหนุวิลล์ทางแถบชายฝั่งกลับกำลังเพิ่มสูงขึ้น โดยเพื่อแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้กัมพูชาจำเป็นต้องเสริมสร้างคุณภาพการบริการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งขอให้ภาครัฐมามีส่วนร่วมในการปรับปรุงบริการในอุตสาหกรรม โดยเมื่อปีที่ผ่านมา Angkor Enterprise ขายบัตรผ่านประตูเพื่อเข้าชมนครวัดให้กับนักท่องเที่ยวถึง 2.5 ล้านคน คิดเป็นรายรับกว่า 116 ล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50647145/tourist-decline-continues-at-angkor/

เกษตรกรกัมพูชาเลิกปลูกพริกไทยท่ามกลางผลผลิตที่ล้นตลาด

การลดลงของความต้องการพริกไทยในกัมพูชา ทำให้เกษตรกรจำนวนมากในกัมปอตหยุดการเพาะปลูกลงในฤดูกาลหน้า โดยเกษตรกรหลายคนพบว่าเป็นการยากที่จะขายผลผลิตของพวกเขา ซึ่งคาดว่า 20-25% ของเกษตรกรรายย่อยทั้งหมดจะทำการหยุดการเพาะปลูกหลังจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวในปีนี้ เหตุเพราะมีผลผลิตมากเกินไปทำให้ผลผลิตล้นตลาด โดยได้เปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน เช่น มะม่วง และด้วยอีกเหตุผลคือคำสั่งซื้อที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพราะผู้ซื้อหันมาทำการเพาะปลูกเอง ซึ่งจากการตั้งข้อสังเกตที่มีการเพาะปลูกพริกไทยอยู่ที่ 290 ไร่ และเกษตรกรกว่า 445 คน จากจังหวัดกัมปอตและเคป โดยสร้างผลผลิตได้ที่ 100 ตันต่อปีแต่มีคำสั่งซื้อเพียง 70 ตันต่อปีจากผู้ซื้อ จึงทำให้เกิดอุปทานส่วนเกินส่งผลทำให้ราคาของพริกไทยทุกชนิดปรับตัวลดลง และจากข้อมูลของสมาคมพบว่า 50% ของพริกไทยที่ผลิตในกัมปอตส่งออกไปยังสหภาพยุโรปในขณะที่ 30% ถูกใช้ในการบริโภคภายในประเทศ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50647117/farmers-quit-pepper-amid-oversupply/

กัมพูชาต้องมีนวัตกรรมมากขึ้นเพื่อสร้างความปลอดภัยจากการใช้จ่ายแบบไร้เงินสด

เนื่องจากมูลค่าการชำระเงินแบบไร้เงินสดเพิ่มขึ้นเป็น 9.9 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 ตามข้อมูลจากธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) โดยเชื่อว่าสามรถผลักดันนวัตกรรมใหม่ๆจนทำให้กัมพูชากลายเป็นสังคมไร้เงินสดได้ แต่ผู้ประกอบการมองว่าหากไม่มีการช่วยเหลือจากรัฐบาลนวัตกรรมเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นและไม่ทันต่อการเติบโตของการเปลี่ยนแปลงภายในกัมพูชา ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว VISA ประกาศแผนการรักษาความปลอดภัยของพวกเขา สำหรับกัมพูชาได้วางรากฐานสำหรับชุดความก้าวหน้าทางโลกไซเบอร์ซึ่งมีแนวโน้มของข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและมีการดำเนินการป้องกันเพิ่มเติมสำหรับผู้ค้าและผู้บริโภค ซึ่งการรักษาความปลอดภัยของระบบนิเวศการค้าถือเป็นสิ่งที่สำคัญและมองว่าเป็นความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างเครือข่ายการชำระเงินทั้ง ผู้บริโภค ภาคธนาคาร และภาครัฐ โดยหากอนาคตมีการใช้จ่ายแบบสังคมไร้เงินสดมากขึ้นแล้วจะสามารถสร้างความยืดหยุ่นระหว่างผู้ค้าและผู้บริโภคได้มากขึ้น รวมไปถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคชาวกัมพูชามากขึ้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50647100/more-innovation-needed-to-protect-cashless-payments/

ธนาคารชาติแห่งกัมพูชาเรียกร้องนโยบายการเงินสีเขียว

ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) ยังคงเรียกร้องให้สถาบันการเงินในกัมพูชาวางนโยบายเพื่อส่งเสริมด้านการเงินและการลงทุนที่เป็นมิตร โดยสิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศของสวิส (BIS) ได้เปิดตัวกองทุนเปิดสำหรับธนาคารกลางที่ลงทุนในพันธบัตรสีเขียว ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่เน้นลงทุนในโครงการที่สนับสนุนการลดสภาวะโลกร้อน โดย NBC ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะกรรมการที่ปรึกษา BIS ได้แสดงจุดยืนการสนับสนุนสำหรับความคิดริเริ่มนี้ เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนถูกมองว่าเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่อาจจะสร้างความไม่แน่นอนสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมทางสังคม ซึ่ง NBC สนับสนุนให้กับสถาบันทางการเงินทุกแห่งที่ร่วมมืออย่างจริงจังเกี่ยวกับนโยบายส่งเสริมการเงินสีเขียว โดย ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมสมาคมธนาคารในประเทศกัมพูชาได้ลงนามสองฉบับเพื่อบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับ “ ความร่วมมือทางการเงินที่ยั่งยืน” เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาความร่วมมือทางการเงินที่ยั่งยืนในภาคการธนาคาร

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/national-bank-cambodia-calls-green-finance-policies-105291