คลังเชื่อ ไบเดน นั่งปธน.เป็นแรงหนุนช่วยเศรษฐกิจไทย

9 พ.ย.2563 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง กล่าวถึงกรณีที่นายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งและได้ขึ้นเป็นว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนใหม่ ว่า ยังต้องรอติดตามนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ก่อน อย่าเพิ่งรีบวิพากษ์วิจารณ์อะไรตอนนี้ แต่เมื่อพิจารณาตามนโยบายหาเสียงของนายโจ ไบเดน ในช่วงที่ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งเน้น 2 เรื่องสำคัญ 1.นโยบายด้านภาษี และ 2. นโยบายการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ ทั้งนี้ ในส่วนของนโยบายภาษีและการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ มองว่า เป็นข้อดี ที่ไทยจะได้ประโยชน์ตรงนี้ โดยเฉพาะเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะส่งผลให้นักลงทุนมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย แต่ก็ต้องขอรอดูความชัดเจนของนโยบายของนายโจ ไบเดนอีกครั้ง

ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/83278

9.11.63

เศรษฐกิจไทยศักยภาพต่ำลง ซมพิษโควิด-19 ธปท.แนะรัฐปรับโครงสร้างทันที

ธปท.ชี้พิษโควิด-19 ทำเศรษฐกิจไทยศักยภาพต่ำลง การแข่งขันลด แต่ความเหลื่อมล้ำเพิ่มสวนทาง จี้รัฐปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจทันที ก่อน “ทุน” หมด พร้อมแนะหยุดมาตรการเบี้ยหัวแตก แจกเงินเหวี่ยงแห แต่เจาะกลุ่มที่จำเป็น นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงานสัมมนาวิชาการของ ธปท.ประจำปี 2563 ในหัวข้อ “ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทำอย่างไรให้เกิดได้จริง” ว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพิ่มความรุนแรงของความเหลื่อมล้ำในเศรษฐกิจ และสังคมไทย ความเปราะบางในระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งลดทอนความสามารถในการแข่งขัน มากขึ้น ส่งผลต่อศักยภาพการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ดังนั้น ต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจให้เกิดผลได้จริง และต้องทำทันที เพื่อรองรับชีวิตวิถีใหม่ เพราะธุรกิจหลังโควิด-19 จะมีการแข่งขันสูงขึ้น นอกจากนี้ ต้องลดพึ่งพาภาคเศรษฐกิจใดภาคหนึ่งมากจนเกินไป จากปัจจุบัน ที่พึ่งพาการส่งออกมาก โดยต้องกระจายทรัพยากร และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง โดยรัฐต้องสร้างแรงจูงใจให้เกิดการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ บนรากฐาน 3 ด้าน คือ 1.คนไทยและธุรกิจไทยต้องมีผลิตภาพสูง มีความสามารถในการแข่งขัน 2.ต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดี รับมือสถานการณ์ต่างๆ ที่ผันผวน ซับซ้อนและคลุมเครือในอนาคต 3.การกระจายผลประโยชน์จากการเติบโตเศรษฐกิจ ต้องทั่วถึง ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น  อย่างไรก็ตาม การดำเนินมาตรการหลังจากนี้ควรทำภายใต้แนวคิด 3 ด้านคือ 1.การเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะสั้น ต้องสอดคล้องกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ด้านที่ 2 การปฏิรูปโครงสร้างจะไม่เกิดขึ้นได้จริง หากไม่สามารถย้ายทรัพยากรจากภาคเศรษฐกิจหนึ่งไปสู่อีกภาคเศรษฐกิจหนึ่งได้ ดังนั้น รัฐต้องสนับสนุนการโยกย้ายทรัพยากรจากภาคเศรษฐกิจที่มีกำลังการผลิตส่วนเกินไปยังภาคเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงกว่า ส่วนด้านที่ 3 ยกระดับชนบท โดยให้ท้องถิ่นเป็นเป้าหมายสำคัญของการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ เพราะโควิดทำให้แรงงานย้ายกลับภูมิลำเนามากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งจะต้องทำให้แรงงานเหล่านี้ เปลี่ยนเป็นพลังพลิกฟื้นเศรษฐกิจในต่างจังหวัด.

ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/business/1940138

พิพัฒน์ ลุยฟื้นเที่ยวไทยยึดหลักนิวนอร์มัล

เมื่อวันที่ 2 ส.ค.63 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ปลุกไทยเที่ยวไทย ปลุกเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า” ว่า​ หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้กำหนดยุทธศาสตร์การฟื้นฟูการท่องเที่ยว โดยการให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ การใช้จ่ายจากการเดินทาง เพื่อก่อให้เกิดการกระจายรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี และการจ้างงานภาคประชาชนในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว พร้อมกันนี้ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ 4 ประการ คือ ความปลอดภัย ความสะอาด ความเป็นธรรม และกระจายรายได้สู่ชุมชน ทั้งนี้ หลังจากนายพิพัฒน์​ กล่าวปาฐกถาพิเศษแล้ว ได้มีวงเสวนาเรื่อง “ปลุกไทยเที่ยวไทย ปลุกเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า” มีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ดร.ก้องศักดิ์ ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายสุรวัช อัครวรมาศ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และอุปนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สำหรับการสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในความพร้อมของภาครัฐตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุข สร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวชาวไทยที่ต้องการท่องเที่ยวภายในประเทศ พร้อมกันนั้นยังหวังจะให้คนไทยมีโอกาสสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวในเวลาที่ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด ตามแนวทางการท่องเที่ยวด้วยวิถีใหม่ และนำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/787851

คลังอัดสินเชื่อแบงก์รัฐอีก2.3แสนล. ช่วยฟื้นฟูศก.หลังโควิด

อุตตม ตั้งทีมคลัง แบงก์รัฐลงพื้นที่ช่วยฟื้นฟูชาวบ้านหลังโควิด เปิดสาขาแบงก์รัฐเป็นคลินิกแก้จน พร้อมอัดฉีดมาตรการเศรษฐกิจ อีกชุดใหญ่ ทั้งภาษี สินเชื่ออีก 2.3 แสนล้านฟื้นเศรษฐกิจต่อ  นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เปิดเผยถึงการดำเนินมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากโควิด19ว่า ได้สั่งให้หน่วยงานในสังกัดคลังและสถาบันการเงินรัฐ จัดตั้งทีมเราไม่ทิ้งกัน ลงพื้นที่ไปสำรวจความเดือดร้อน และเร่งฟื้นฟูอาชีพให้กับประชาชนหลังจากผ่านมาตรการเยียวยาโควิด เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง พร้อมกับจะเปิดสาขาธนาคารรัฐให้เป็นคลินิก คลังสมอง หมอคลัง  ทั้งธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารกรุงไทย  เพื่อรับปรึกษาร้องทุกข์ด้านต่างๆ ทั้งด้านอาชีพ บริการทางการเงิน ปัญหาหนี้นอกระบบ  เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ฟื้นโดยเร็ว นอกจากนี้คลังกำลังจัดทำมาตรการทางภาษี และมาตรการทางการเงิน สำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกแพ็คเก็จใหญ่ โดยเบื้องต้นให้ธนาคารรัฐเตรียมวงเงินไว้ปล่อยกู้เพิ่มเติมอีก 2.3 แสนล้านบาท เพื่อใช้สร้างอาชีพ ให้เงินหมุนเวียนแก่ประชาชน เกษตรกร และภาคธุรกิจให้เกิดความต่อเนื่อง เช่น ธ.ก.ส. จะปล่อยกู้สินเชื่อให้ภาคเกษตรอีก 1.7 แสนล้านบาท ออมสินช่วยประชาชน 4 หมื่นล้านบาท และขยายพักหนี้อีก 2 ปี รวมถึงธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท ให้ประชาชนเข้าถึงอีกมากกว่า 1 ล้านราย

ที่มา:  https://www.dailynews.co.th/economic/776427

จุรินทร์ เตรียมนัดหารือภาคเอกชนฟื้นเศรษฐกิจหลัง โควิด-19

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีกำหนดการที่จะพบปะกับภาคเอกชนผู้ผลิตสินค้าและธุรกิจบริการ เพื่อหารือถึงการเตรียมพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย ทั้งภาคการผลิต การตลาด การค้าในประเทศ และการส่งออกต่างประเทศ ในช่วงหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยนายจุรินทร์รีจะไปรับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะ และแนวทางการทำงานกับภาคเอกชนเป็นรายอุตสาหกรรม ก่อนที่จะนำมาประมวลผลและจัดทำมาตรการเชิงรุกในการขับเคลื่อนต่อไป สำหรับกำหนดการพบปะกับภาคเอกชนครั้งต่อไป กำหนดไว้วันที่ 22 เม.ย. 2563 จะหารือกับกลุ่มผู้ผลิตไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป เช่น สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร บมจ.เบทาโกร บมจ.จีเอฟพีที และสมาคมผู้เลี้ยงไก่เนื้อ เพื่อติดตามสถานการณ์การผลิต การค้าภายในประเทศและ การส่งออก เพราะเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีความต้องการของผู้บริโภค และมีโอกาสในการขยายตลาดส่งออกได้เพิ่มขึ้น การณ์ข้าว ทั้งข้าวสาร ข้าวสารบรรจุถุง และข้าวส่งออก เพื่อบริหารจัดการให้เกิดความสมดุล ทั้งการบริโภคในประเทศและการส่งออกแล้ว ส่วนสินค้าตัวถัดมา จะนัดหารือกับกลุ่มผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กลุ่มผักผลไม้ เช่น สับปะรด ข้าวโพดหวาน ทูน่า อาหารทะเล เครื่องดื่มและนม ในวันที่ 23 เม.ย.2563 และจะเชิญเกษตรกรจาก จ.ประจวบคีรีขันธ์และสมุทรสงคราม มาร่วมหารือด้วย ที่โรงงานเทพผดุงพร ซึ่งผลิตน้ำมะพร้าวและกะทิ ที่พุทธมณฑลสาย 4 โดยต้องการที่จะประเมินสถานการณ์การผลิตและการส่งออก และต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยเหลือ ในด้านไหน เพื่อที่จะส่งออกได้เพิ่มขึ้น จากนั้น ได้นัดหารือกับสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย และกลุ่มผู้เลี้ยงกุ้ง ณ ห้องประชุมโรงงานอาหารทะเล Sea Value ณ ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เพื่อติดตามสถานการณ์การผลิต การตลาด และการส่งออก ร่วมกับเกษตรกร ผู้ผลิต และผู้ส่งออก เพื่อที่กระทรวงพาณิชย์จะได้เข้าไปช่วยเหลือและช่วยผลักดันให้มีการส่งออกได้เพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันสินค้าอาหารทะเลของไทย มีความต้องการเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในวันที่ 27 เม.ย.2563 ได้นัดหารือกับกลุ่มแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้งที่ขายสินค้าในประเทศ และต่างประเทศ ที่กระทรวงพาณิชย์ เพื่อหารือในการใช้ช่องทางออนไลน์ช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ผู้ผลิตสินค้าชุมชน สินค้าโอทอป ไปจนถึงผู้ผลิต ผู้ส่งออก ให้มีโอกาสในการขายสินค้าทางออนไลน์ ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากเกิดสถานการณ์ไวรัสโควิด-19

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/876987?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=economic

จ่อชง ครม. ‘ฟรีวีซ่า’ นักท่องเที่ยว ‘จีน-อินเดีย’ กระตุ้นท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์

รองโฆษกฯ รัฐบาล เผย จ่อชงคณะรัฐมนตรีไฟเขียว “ฟรีวีซ่า” นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย หวังกระตุ้นท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์ เชื่อศก.ฟื้นไตรมาส 2 หลัง “งบฯ 63” ประกาศใช้ ชี้เบิกจ่ายจะมีประสิทธิภาพ เดินหน้าโครงการได้เต็มที่ รองโฆษกฯ ยืนยันว่า รัฐบาลจะใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า รอบคอบ รัฐบาลเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นเมื่องบประมาณปี 63 ประกาศใช้ การเบิกจ่ายงบประมาณจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น รัฐบาลจะดำเนินโครงการต่างๆได้อย่างเต็มที่ สามารถลงนามในสัญญาต่าง ๆ ได้ จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้อย่างแน่นอน ด้านการท่องเที่ยว รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาได้เตรียมแผนรับมือสถานการณ์นักท่องเที่ยวชาวจีนที่ลดลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสแล้ว ทั้งนี้ขอให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวช่วยกันเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวจีนให้กลับมาเที่ยว ขณะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะมีการนำมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง (ฟรีวีซ่า) สำหรับนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย ซึ่งเป็น 2 ตลาดใหญ่ เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอีกครั้ง พร้อมกับประสานกระทรวงคมนาคม เพื่อเปิดบริการเช่าเครื่องบินเหมาลำให้มากที่สุด โดยหวังว่านักท่องเที่ยวชาวจีนจะกลับมาคึกคักอีกในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/866496?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=economic