ยอดขายรถจักรยานยนต์ฮอนด้า ‘เวียดนาม’ พุ่ง แต่ยอดขายรถยนต์เดือน ม.ค. ดิ่งลง

ยอดขายรถจักรยานยนต์ของบริษัทฮอนด้า เวียดนาม ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.3% ในเดือนมกราคม ขณะที่ยอดขายรถยนต์ลดลง 12.1% จากเดือนก่อน นับว่าทำยอดขายรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้น 4 เดือนติดต่อกัน ท่ามกลางรูปแบบการใช้ชีวิตแบบ “New Normal” ทั้งนี้ Honda Wave Alpha เป็นรุ่นขายดีที่สุด ด้วยยอดจำหน่ายอยู่ที่ 43,860 คัน คิดเป็น 16.6% ของยอดขายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวียดนามรวมทั้งหมด ในขณะที่ Honda Vision เป็นรถสกู๊ตเตอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเวียดนาม มียอดขาย 63,136 คัน หรือ 23.6% นอกจากนี้ ฮอนด้าซิตี้ ครองอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์แบรนด์ฮอนด้าในตลาดเวียดนาม ด้วยยอดขาย 1,745 คัน คิดเป็น 46.3% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/honda-vietnams-motorcycle-sales-up-auto-sales-down-in-january/222377.vnp

 

เรื่องที่ SME ไทยควรรู้ เมื่อ RCEP มีผลบังคับใช้เป็นทางการ

เมื่อวันที่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา เป็นดีเดย์ที่ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) หรือ ‘อาร์เซ็ป’ ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจะเริ่มมีผลบังคับใช้ด้วย

ซึ่ง 15 ประเทศที่ร่วมลงนามความตกลง RCEP ประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์  ไทย บรูไน เวียดนาม ลาว เมียนมา กัมพูชา จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

จุดมุ่งหมายของความตกลงดังกล่าว คือสลายอุปสรรคทางการค้าและส่งเสริมการลงทุน เพื่อช่วยให้ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ก้าวทันประเทศอื่นในโลก ความตกลง RCEP เป็นความตกลงที่ทันสมัย ครอบคลุม คุณภาพสูง และได้รับผลประโยชน์ร่วมกันจากการเปิดเสรีการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน อีกทั้งมีการเพิ่มความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้นจากเอฟทีเอของอาเซียนกับคู่เจรจาที่มีอยู่ก่อนหน้า

 

สินค้าประเทศไทยที่ได้รับประโยชน์จาก RCEP

1.หมวดสินค้าเกษตร เช่น แป้งมันสำปะหลัง สับปะรด สินค้าประมง เป็นต้น

2.หมวดอาหาร ผักผลไม้แปรรูป น้ำส้ม น้ำมะพร้าว รวมทั้งอาหารแปรรูปอื่น ๆ

3.หมวดสินค้าอุตสาหกรรมอุปกรณ์ไฟฟ้า พลาสติก กระดาษ เคมีภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องแต่งกาย รวมทั้งจักรยานยนต์

4.หมวดบริการ หมวดการก่อสร้าง ธุรกิจด้านสุขภาพ ธุรกิจด้านภาพยนตร์ บันเทิง แอนิเมชัน

5.การค้าปลีก

 

โดยสมาชิก RCEP จะยกเลิกภาษีนำเข้าที่เก็บกับสินค้าไทย จำนวน 39,366 รายการ โดยลดภาษีเหลือ 0% ทันที จำนวน 29,891 รายการ เช่น ผลไม้สดและแปรรูป สินค้าประมง ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์และส่วนประกอบ พลาสติก เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เป็นต้น

 

ผู้ประกอบการไทยควรเตรียมตัวอย่างไร?

สิ่งที่ผู้ประกอบการ SME ควรให้ความสำคัญในการทำการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันก็คือ การสร้างโอกาสและแต้มต่อจากการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA รวมถึงความตกลง RCEP ที่จะมีผลบังคับใช้ โดยผู้ประกอบการควรเร่งเตรียมความพร้อมเรียนรู้ทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ทางการค้าต่างๆ ของความตกลง RCEP อาทิ การเปิดตลาดการค้าสินค้า อัตราภาษีศุลกากร กฎเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้า และสิทธิประโยชน์ รวมทั้งศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในตลาดประเทศสมาชิก RCEP

เพื่อเตรียมวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจและพัฒนาสินค้าให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ซึ่งผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับเรื่องมาตรฐาน คุณภาพ ความปลอดภัยของสินค้าและบริการมากขึ้น จึงจำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ สอดรับกับสถานการณ์ใหม่แบบ New Normal’ สร้างความเชื่อมั่น – ภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสินค้าและบริการ ของตน ตลอดจนเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ที่มา : https://www.bangkokbanksme.com/en/sme-thai-should-know-rcep

แหล่งอ้างอิง : สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

‘เวียดนาม’ เผยยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติ พ.ย. พุ่ง 40%

สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) เปิดเผยว่าในเดือน พ.ย. ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเวียดนาม มีจำนวนมากกว่า 15,000 คน เพิ่มขึ้น 42.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน หลังจากเปิดโครงการนำร่อง โดยภายใต้โครงการนำร่องดังกล่าว รัฐบาลอนุญาติเปิดรับ 5 จังหวัด ได้แก่ เกาะฟู้โกว๊ก, คั้ญฮหว่า, กว๋างนาม, ดานังและกว๋างนิญ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบแพ็คเกจทัวร์ที่เดินทางโดยเที่ยวบินเช่าเหมาและเที่ยวบินเชิงพาณิชย์

ทั้งนี้ ในช่วงเดือน ม.ค.-พ.ย. มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเวียดนามอยู่ที่ 140,100 คน ลดลง 96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส นอกจากนี้ สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม (VNAT) ชี้ว่าการจัดงานอีเวนท์ข้างต้นที่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นกลุ่มแรกเข้ามาเวียดนาม ถือเป็นก้าวครั้งสำคัญของเวียดนามในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและปูทางไปสู่การเปิดประเทศอีกครั้ง ภายใต้รูปแบบการใช้ชีวิตแบบ “New Normal”

ที่มา : https://english.thesaigontimes.vn/vietnam-sees-40-rise-in-intl-tourist-arrivals-in-nov/

แนวโน้มท่องเที่ยวอาเซียนบูมยุคนิวนอร์มอล

ทราเอ็กซ์เอเชีย(TraXasia) ผู้เชี่ยวชาญด้านการโฆษณาในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เปิดเผยรายงานแนวโน้มนักท่องเที่ยวประจำไตรมาส 4 ปี 2563 ชี้การท่องเที่ยวระยะใกล้จะได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคนิวนอร์มอล ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจการท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจีนจะยังคงเป็นตลาดนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่สุดของภูมิภาค ตามมาด้วยเกาหลีใต้ ขณะไทยติดโผจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 4 ปีนี้ ทั้งนี้ การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการท่องเที่ยวขาเข้าที่ปรับตัวสูงขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา และคาดว่าการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้จะกลับมาเติบโตอีกครั้ง เนื่องจากการท่องเที่ยวระยะใกล้จะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าในช่วงของการฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดทั่วโลก นอกจากนี้ จากผลสำรวจยังพบด้วยว่า จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำที่คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 4 ปีนี้ ได้แก่ เวียดนาม (โฮจิมินห์ ฮานอย ดานัง) มาเลเซีย (กัวลาลัมเปอร์ ปีนัง โคตาคินาบาลู) และ ไทย (กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่)

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/902272

ทูตพาณิชย์ จีบนักค้าเพชรพลอย ร่วมงานบางกอกเจมส์ปีหน้า

“ทูตพาณิชย์ดูไบ” เชิญผู้ซื้อ ผู้นำเข้าจากกลุ่มตะวันออกกลาง ร่วมซื้อและเจรจาธุรกิจสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในงาน BGJF Special Online Edition เดือนพ.ย.นี้ และจีบเข้าร่วมงานบางกอกเจมส์ที่เลื่อนไปจัดก.พ.64 ด้วย มั่นใจดันสินค้าไทยขยายตลาดได้เพิ่มขึ้น ด้านนักธุรกิจชาวอาหรับ ยันสินค้าไทยมีคุณภาพ มาตรฐาน พร้อมร่วมมือค้าขาย นายปณต บุณยะโหตระ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับ นิว จิวเวลเลอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีเดีย กรุ๊ป และ ดูไบ โกลด์ แอนด์ จิวเวลรี่ กรุ๊ป ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่มีความสัมพันธ์กับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทย จัดสัมมนาออนไลน์หัวข้อ “การค้าอัญมณีและเครื่องประดับระหว่างประเทศไทยและภูมิภาคตะวันออกกลาง : การเสริมสร้างความเข้มแข็งระหว่างกัน” โดยได้ใช้โอกาสนี้ เชิญชวนให้ผู้ซื้อ ผู้นำเข้า และนักธุรกิจในกลุ่มตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) เข้าร่วมชมงานและเจรจาธุรกิจในงาน BGJF Special Edition – On Ground to Online Exhibition” ระหว่างวันที่ 2–4 พ.ย.2563 เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำการค้าระหว่างกันในรูปแบบ New Normal ซึ่งได้รับการตอบจากเป็นอย่างดี และมั่นใจว่าจะสร้างโอกาสในการส่งออกให้กับผู้ประกอบการไทยได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยังได้เชิญชวนให้ผู้ซื้อ ผู้นำเข้า เตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมงาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 66 ที่เลื่อนการจัดไปเป็นวันที่ 23-27 ก.พ.2564 ด้วย สำหรับตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถือเป็นตลาดสำคัญในการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย โดยมีสัดส่วนการส่งออกสูงถึง 43% ของมูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ทั้งหมดไปประเทศกลุ่ม MENA นายเมฮรัน มหาลาตี ประธานกรรมการบริษัท มหาลาตี จิวเวลรี่ กล่าวว่า ปัจจุบันแม้จะมีตลาดอัญมณีและเครื่องประดับเกิดใหม่มากมาย เช่น เวียดนามและจีน แต่การทำธุรกิจกับไทยมีความง่าย และเมื่อเทียบฝีมือและคุณภาพของชิ้นงานแล้ว ไม่มีที่ไหนเอาชนะไทยได้ โดยยืนยันที่จะทำธุรกิจกับไทยต่อไป น.ส.มหา อัล ซีไบ นักออกแบบและผู้ก่อตั้งบริษัท มหา อัล ซีไบ จิวเวลรี่ กล่าวว่า ไทยสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตอัญมณีและเครื่องประดับสำคัญของโลกได้ เพราะฝีมือการดีไซน์ งานหัตถศิลป์ และคุณภาพของสินค้าไทย เป็นที่ยอมรับระดับโลกมาเสมอ โดยขอแนะนำว่าควรมีแพลตฟอร์มให้นักออกแบบอัญมณีและเครื่องประดับของไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สามารถพบปะและและเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ และยังมีแผนที่จะเปิดฐานการผลิตในไทยด้วย

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/795118

พิพัฒน์ ลุยฟื้นเที่ยวไทยยึดหลักนิวนอร์มัล

เมื่อวันที่ 2 ส.ค.63 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ปลุกไทยเที่ยวไทย ปลุกเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า” ว่า​ หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้กำหนดยุทธศาสตร์การฟื้นฟูการท่องเที่ยว โดยการให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ การใช้จ่ายจากการเดินทาง เพื่อก่อให้เกิดการกระจายรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี และการจ้างงานภาคประชาชนในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว พร้อมกันนี้ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ 4 ประการ คือ ความปลอดภัย ความสะอาด ความเป็นธรรม และกระจายรายได้สู่ชุมชน ทั้งนี้ หลังจากนายพิพัฒน์​ กล่าวปาฐกถาพิเศษแล้ว ได้มีวงเสวนาเรื่อง “ปลุกไทยเที่ยวไทย ปลุกเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า” มีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ดร.ก้องศักดิ์ ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายสุรวัช อัครวรมาศ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และอุปนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สำหรับการสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในความพร้อมของภาครัฐตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุข สร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวชาวไทยที่ต้องการท่องเที่ยวภายในประเทศ พร้อมกันนั้นยังหวังจะให้คนไทยมีโอกาสสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวในเวลาที่ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด ตามแนวทางการท่องเที่ยวด้วยวิถีใหม่ และนำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/787851

พาณิชย์ เผยตลาดออนไลน์ออสซี่โต 10 % หลังโควิค -19

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แนะผู้ส่งออกวางแผนลุยตลาดออสเตรเลียรับ New Normal ชี้เจาะผ่านช่องทางออนไลน์ หลังเติบโตแรง คาดจะขยายตัว 20% ภายใน 12-18 เดือนข้างหน้าเผยสินค้าสุขภาพ อาหาร อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน มาแรง หลังจากเกิดวิกฤตโควิด-19 โดยพบว่าการค้าออนไลน์มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 10% ของมูลค่าธุรกิจค้าปลีกทั้งหมด โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า ซึ่งหากไม่เกิดวิกฤติโควิด-19 อาจจะต้องใช้เวลาถึง 10 ปี ซึ่งผู้ส่งออกไทยจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และวางแผนในการทำตลาดออสเตรเลียใหม่ โดยใช้ช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ของชาวออสเตรเลีย ทั้งนี้ นอกจากการขยายตัวของการค้าออนไลน์ ยังพบว่า รูปแบบการซื้อสินค้าได้เปลี่ยนเป็นการซื้อออนไลน์แบบไม่สัมผัสสินค้า (Contactless Shopping) หรือการเลือกซื้อสินค้าทางออนไลน์แล้วเลือกสถานที่ๆ จะรับสินค้า (Click and Collect) โดยการลดราคาสินค้า ไม่ใช่ปัจจัยหลักในการเลือกซื้อ แต่ความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้น และรูปแบบการค้าออนไลน์ ยังมีอิทธิพลครอบคลุมทั้งการค้าสินค้าและบริการ เช่น การให้บริการ Streaming Video การให้อาหารนกเพนกวินของ Sea Life Sydney Aquarium เป็นต้น สำหรับสินค้าไทยที่มีโอกาสในการเจาะเข้าสู่ตลาดออสเตรเลีย ได้แก่ สินค้าเพื่อสุขภาพ ที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติและสินค้าออร์แกนิค ตั้งแต่อาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เครื่องสำอาง และสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง เพื่อตลาดสัตว์เลี้ยงที่มีมากกว่า 28 ล้านตัว นอกจากนี้ ยังมีอาหารประเภท Ready to Eat และ Ready to Cook ที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มมากขึ้นกว่าการรับประทานอาหารในร้านอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภควัยทำงานที่มีมากกว่า 65% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ที่ต้องการความสะดวกในการพกพาและการรับประทาน และได้คุณประโยชน์ สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายครบถ้วน รวมทั้งอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์แบบ DIY เครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ทำสวน และเครื่องออกกำลังกาย ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น จากการ Work From Home จึงใช้เวลาในการปรับปรุงและซ่อมแซมที่พักอาศัย และรัฐบาลยังจัดสรรงบประมาณในการช่วยเหลือประชาชนสำหรับซ่อมแซม ปรับปรุงบ้านพักอาศัย การสร้างบ้านใหม่ และการอนุมัติโครงการก่อสร้างพื้นฐาน ทำให้มีความต้องการอุปกรณ์ก่อสร้างและของตกแต่งบ้านเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงต่างๆ มาพร้อมกับความท้าทายและโอกาสทางธุรกิจ ความพร้อมของผู้ประกอบธุรกิจไทยในการเรียนรู้และปรับตัว เป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจในปัจจุบัน โดยตลาดออสเตรเลีย ไม่ใช่ตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่เป็นตลาดที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และมีกฎระเบียบการนำเข้าที่ค่อนข้างเข้มงวด ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการเข้าสู่ตลาดที่ผู้ประกอบธุรกิจควรคำนึงถึง เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการค้า และสร้างโอกาสในการส่งออกให้กับสินค้าไทย

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/889034?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=economic

สปป.ลาวสนับสนุนแผนอาเซียนด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

ศ.ดร. Kikeo Khaykhamphithoune รัฐมนตรีกระทรวงสารสนเทศวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว สนับสนุนการพัฒนาแรงงานของสปป.ลาว ในการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASCC) ครั้งที่ 23 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา แผนการพัฒนาดังกล่าวว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อการเปลี่ยนแปลงตามโลกในปัจจุบันรวมถึงโอกาสที่มากขึ้นสำหรับประเทศอาเซียนในการแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งกันและกันระหว่างประเทศสมาชิก นอกจากนี้ในที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงแนวทางปฎิบัติในการดำรงชีวิตในแบบวิถีใหม่ (New Normal) รวมถึงการเรียกร้องให้มีการร่วมมือกันในการวิจัยและพัฒนาด้านไวรัสวิทยาควบคู่ไปกับการผลิตยาต้านไวรัสและวัคซีนรวมถึงการเข้าถึงวัคซีนและเวชภัณฑ์ที่เท่าเทียมกันและต้องมีราคาย่อมเยาในที่ประชุมยังเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทำงานร่วมกันในแผนฟื้นฟูหลังเกิดโรคระบาดเพื่อบรรเทาผลกระทบของ Covid-19 ต่อการดำรงชีวิตของผู้คนและเศรษฐกิจของภูมิภาคอีกด้วย

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Laos120.php

รัฐบาลสปป.ลาวผ่อนปรนมาตรการ COVID-19 หลังไม่พบผู้ติดเชื้อ

รัฐบาลได้ยกเลิกข้อจำกัด ในการควบคุมการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้ผู้คนสามารถค่อยๆกลับไปสู่การใช้ชีวิตภายใต้การดำรงชีวิตสมัยใหม่ (New normal) หลังจากที่ยอดผู้ติดเชื้อของสปป.ลาวลดลงเรื่อยๆจนไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิต โดยรัฐบาลได้มีข้อกำหนดในการผ่อนปรนกิจกรรมต่างให้กลับมาไม่ว่าจะเป็น สถานศึกษาที่จะกลับมาเปิด รวมถึง ห้างสรรพสินค้า ตลาดและสนามกีฬาต่างๆ รวมถึงการเดินทางที่จะอนุญาตให้มีการเดินทางระหว่างจังหวัดก้นได้แต่ด่านพรหมแดนยังคงปิดอยู่  อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีการยกเลิกข้อจำกัดแต่ทุกคนยังคงต้องปฎิบัติตามคำแนะนำภาครัฐและระมัดระวังต่อไป การลดมาตรการดังกล่าวจะเป็นส่วนช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของสปป.ลาวหลังจากได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้ว่างเพิ่มขึ้นถึง 25% รวมถึงการค้าการลงทุนที่หยุดชะงักลง รัฐบาลหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเศรษฐกิจสปป.ลาวจะกลับเติบโตได้ดีอีกครั้งหลังจากผ่านพ้นวิกฤตCOVID-19 และจากมาตรการฟื้นฟูและอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt_eases_103.php

ออเดอร์ถุงมือยางพุ่ง ช่วงโควิด-19 ส่งออก4 เดือนแรก โต 16%

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการถุงมือยางเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว เนื่องจากสินค้าดังกล่าวเป็นอุปกรณ์ป้องกันที่จำเป็นสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ป่วย นอกจากนี้ ถุงมือยางยังเป็นสินค้าจำเป็นในยุคความปกติใหม่ (New Normal)เพราะประชาชนตื่นตัวเรื่องสุขอนามัยและหันมาใช้ถุงมือยางเพื่อป้องกันเชื้อโรคมากขึ้น ทำให้ความต้องการถุงมือยางในตลาดสูงขึ้นหลายเท่าตัว สำหรับตลาดส่งออกสำคัญที่ขยายตัว เช่น จีน ขยายตัว 129.5% มูลค่าส่งออก 31 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ออสเตรเลีย ขยายตัว 79% มูลค่าส่งออก 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาเซียน ขยายตัว 77% มูลค่าส่งออก 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ สหรัฐอเมริกา ขยายตัว 9% มีมูลค่าส่งออก 194 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น อย่างไรก็ตามในปี 2562 ไทยผลิตถุงมือยางได้กว่า 2 หมื่นล้านชิ้น มีสัดส่วนการส่งออกถึง 89% ของการจำหน่ายถุงมือยางทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 1,203 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก

ที่มา : https://www.posttoday.com/economy/news/624459