การเปลี่ยนแปลงของกัมพูชาจากความไม่มั่นคงด้านอาหารสู่ประเทศผู้ส่งออกข้าว
นายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวว่ากัมพูชากำลังส่งเสริมภาคเกษตรกรรมอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการส่งออกข้าว ซึ่งนายกฯย้ำว่ากัมพูชาจะไม่ประสบกับความไม่มั่นคงด้านอาหารเหมือนในอดีตอีกต่อไป คำแถลงดังกล่าวเกิดขึ้นจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ “โครงการเยียวยาสำหรับครอบครัวผู้ยากจนและผู้ด้อยโอกาสในช่วง Covid-19″ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2563 โดยจุดแข็งของกัมพูชาคือมีผลผลิตส่วนเกินถึง 6 ล้านตัน ซึ่งกัมพูชาส่งออกข้าวหลัก ๆ สามประเภท ได้แก่ ข้าวหอม ข้าวขาวและข้าวสวยไปยังจีน สหภาพยุโรป และ อาเซียน ตามรายงานของสหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) โดยกัมพูชามีรายได้มากกว่า 240 ล้านดอลลาร์จากการส่งออกข้าวในช่วง 5 เดือนแรกในปี 2563 ซึ่งส่งออกข้าว 356,000 ตัน เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 ซึ่งมีการส่งออกเพียง 250,000 ตัน โดยตัวเลขการส่งออกในปี 2563 ถือเป็นการเติบโตที่สำคัญที่สุดในกัมพูชาซึ่งเป็นปริมาณการส่งออกที่สูงที่สุด
ส่งอออกข้าวโพดเมียนมาคาดอุปสงค์ตลาดเพิ่ม
กระทรวงพาณิชย์พร้อมหนุนธนาคารปล่อยสินเชื่อเพื่อปลูกข้าวโพดในประเทศซึ่งคาดว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างกระทรวงกับสมาคมอุตสาหกรรมข้าวโพดเมียนมาที่ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2563 เมียนมามีพื้นที่ปลูกข้าวโพดประมาณ 1.9 ล้านเอเคอร์ทั่วทั้งภูมิภาค Ayeyarwady, Nay Pyi Taw, รัฐ Shan, รัฐ Kayah และรัฐ Kayin ซึ่งให้ผลผลิตมากกว่า 3 ล้านตันต่อปีตามข้อมูลของปีที่แล้ว การบริโภคภายในประเทศนั้นน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตทั้งหมดส่วนอีกครึ่งหนึ่งส่งออกไปยังประเทศไทยเป็นหลัก ปัจจุบันเมียนมาเป็นผู้ส่งออกข้าวโพดรายใหญ่อันดับสองของอาเซียน ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2562-2563 ความต้องการข้าวโพดได้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากประเทศไทยซึ่งมีความต้องการข้าวโพดเพิ่มขึ้นเนื่องจากอุตสาหกรรมและอาหารสัตว์มีปริมาณเพิ่มขึ้น จากข้อมูลพบว่าในปีนี้ส่งออกข้าวโพดไปแล้วประมาณ 1.8 ล้านตันซึ่งมากกว่าหนึ่งล้านตันเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มากกว่าร้อยละ 60 ส่งออกไปยังประเทศไทย
ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/corn-traders-myanmar-get-organised-anticipation-more-demand.html
เวียดนามเผยเม็ดเงิน FDI ลดลง 15.1% ในช่วงครึ่งปีแรก
กระทรวงการวางแผนและการลงทุนของเวียดนาม (MPI) เปิดเผยว่าเวียดนามดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลงร้อยละ 15.1 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ด้วยมูลค่า 15.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ยอดการลงทุนดังกว่าจะรวมถึง 8.44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน 1,418 โครงการที่ได้รับการอนุญาตใหม่ และอีก 3.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นการการลงงทุนเพิ่มในโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน 526 โครงการ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปสามารถดึงดูดเม็ดเงิน FDI สูงสุด มากกว่า 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 51.1 ของยอดเงินลงทุนทั้งหมด รองลงมาภาคการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ค้าปลีกค้าส่งและอสังหาริมทรัพย์ ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน สิงคโปร์เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.7 ของทั้งหมด รองลงมาไทย (10.1%), จีน (10.1%), ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และไต้หวัน ตามลำดับ นอกจากนี้ ทางกระทรวงฯ ชี้ให้เห็นว่าการส่งออกของภาคการลงทุน FDI ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ลดลงทั้งในแง่มูลค่าและสัดส่วนจากการค้าต่างประเทศในเวียดนาม ประมาณ 79.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (รวมน้ำมันดิบ)
ที่มา : https://english.vov.vn/economy/fdi-drops-151-year-on-year-in-first-half-415437.vov
ธนาคารพาณิชย์เวียดนาม “Vietcombank” รักษามาตรฐานการกู้ยืม
ธนาคารพาณิชย์ “Vietcombank” ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม จะไม่ปรับลดมาตรฐานในการปล่อยสินเชื่อช่วงหลังการแพร่ระบาดไวรัส เพื่อรักษาเงินทุนให้แข็งแกร่งในปี 2563 ซึ่งธนาคารจะยกระดับคุณภาพสินเชื่อ เพื่อรองรับกับการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังสิ้นสุดการระบาดของ COVID-19 โดยธนาคารจะมองหาลูกค้าใหม่ พิจารณาสินเชื่อแก่ธุรกิจค้าส่งและขยายการลงทุนไปยังพันธบัตรทางการเงิน รวมถึงปรับปรุงสัดส่วนการลงทุนของธนาคาร ทั้งนี้ ในปี 2563 Vietcombank มีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ด้วยมูลค่า 55.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และอัตราหนี้เสียตั้งเป้าให้ต่ำกว่าร้อยละ 1.5 ในปีนี้ อัตราเงินปันผลร้อยละ 8 ปีนี้ และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นและจ่ายโบนัสอีกด้วย นอกจากนี้ ธนาคารวางแผนว่าจะจ้างพนักงานใหม่มากกว่า 2,200 คนในปีนี้
ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/748843/vietcombank-to-maintain-lending-standards.html
รัฐบาลสปป.ลาวตรวจสอบการกักกันตนเองอย่างใกล้ชิดของผู้คนที่เดินทางเข้าประเทศ
รัฐบาลสปป.ลาวยังคงดำเนินมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังการกักกันตัวเองของผู้คนที่เข้ามาในประเทศลาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานที่กลับมาเพื่อป้องกันไม่ให้คลื่นที่สองของ Covid-19 (coronavirus) เกิดขึ้น คนที่เข้าประเทศจะถูกส่งไปยังศูนย์กักกันเป็นเวลา 14 วันและต้องตรวจสอบอุณหภูมิของแต่ละคนที่เดินทางเข้าประเทศ คณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อการป้องกันและควบคุม Covid-19 ประกาศว่ามีการเฝ้าระวังประชาชน 2,985 คนในศูนย์ที่พัก 89 แห่งทั่วประเทศ และยังกระตุ้นให้ประชาชนยังคงตื่นตัวและดำเนินมาตรการป้องกันเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสแม้ในขณะที่ประเทศรายงานว่าไม่มีผู้ป่วยรายใหม่ของ Covid-19 เป็นเวลา 77 วัน