ปิดฉาก ASEAN Summit : ปลดล็อกข้อจำกัด ผลักดัน RCEP เดินหน้าต่อ

การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 35 ที่ไทยในฐานะประธานและเจ้าภาพการประชุมปี 2562 หัวข้อการเจรจาในครั้งนี้ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ถือเป็นจุดสนใจของนานาประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากเคยเป็นความตกลงที่เป็นคู่เทียบกับความตกลงเขตการค้าเสรีสำคัญอย่าง Trans-Pacific Partnership (TPP) จนปัจจุบันบรรลุข้อตกลงภายใต้ชื่อ Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership (CPTPP) และเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญสงครามการค้าซึ่งถือเป็นแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับแนวคิดการค้าเสรีโดยสิ้นเชิง ความสำเร็จในการเจรจาความตกลง RCEP ในครั้งนี้ ถือว่ามีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้า และกระแสปกป้องทางการค้าที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ ความสำเร็จที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญ คือ ไทยสามารถผลักดันให้เกิดผลสรุปของการเจรจาความตกลง RCEP ได้ครบข้อเจรจาทั้งหมด 20 บท จากช่วงต้นปี 2562 ที่ได้ผลสรุปเพียง 7 บท โดยเป็นการบรรลุข้อเจรจาระหว่างอาเซียน 10 ประเทศกับประเทศหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ 5 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ยกเว้นเพียงอินเดียที่ยังไม่พร้อมในการเปิดเสรีการค้าการลงทุนในบางรายการตามความตกลง RCEP แต่ยังสามารถกลับมาเจรจาหาได้ในภายหลัง ทั้งนี้ คาดว่าอินเดียจะกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจามีความเป็นไปได้พอสมควร กลายเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจยิ่งขึ้นในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ โดยประเทศสมาชิก RCEP (ไม่รวมอินเดีย) มีขนาดเศรษฐกิจรวมกันถึง 24.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 29% ของขนาดเศรษฐกิจโลก ขณะที่มีประชากรรวมกันถึงราว 3.6 พันล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 30% ของจำนวนประชากรโลก ส่วนไทยก็จะได้ประโยชน์จากการเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจมากขึ้นเช่นกัน ความตกลง RCEP จะช่วยสนับสนุนการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า โดยก่อนหน้าประเมินว่าสินค้าในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า พลาสติกและเคมีภัณฑ์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ยางล้อ เส้นใย สิ่งทอ เครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง และกระดาษ จะเป็นกลุ่มสินค้าที่ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น แม้อินเดียยังไม่เข้าร่วม RCEP ไม่ได้บั่นทอนการค้าระหว่างไทยและอินเดียแต่อย่างใด เนื่องจากไทยและอาเซียนยังคงมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีร่วมกับอินเดียภายใต้ Thailand-India Free Trade Agreement (TIFTA) และ ASEAN-India Free Trade Agreement (AIFTA) ขณะเดียวกันอินเดียนับเป็นตลาดเป้าหมายใหม่สำหรับผู้ประกอบการไทย ซึ่งภาครัฐให้ความสำคัญและพร้อมสนับสนุนในการเปิดตลาด โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การส่งออกของไทยไปอินเดียขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 9 ต่อปี เทียบกับการส่งออกของไทยโดยรวมที่ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 2 แม้ว่า RCEP จะยังไม่สำเร็จผลอย่างเต็มรูปแบบ ผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องเตรียมกลยุทธ์ให้พร้อม ควรศึกษาลู่ทางและแสวงหาโอกาสลงทุนในประเทศสมาชิก RCEP โดยอาศัยจุดแข็งของประเทศนั้น อาทิ ความพร้อมด้านแรงงาน และทรัพยากรทางธรรมชาติ ส่วนผู้ประกอบการไทยที่ยังไม่มีความพร้อมด้านการลงทุนในต่างประเทศหรือยังไม่มีแผนการลงทุนในต่างประเทศ ควรเตรียมกลยุทธ์รับมือกับแนวโน้มการแข่งขันในประเทศที่อาจรุนแรงขึ้นจากการเข้ามาของต่างชาติในอนาคต

ที่มา: https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24383

จุดพลุเอฟทีเอ “ไทย-ฮ่องกง”

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานสัมมนา “THAILAND 2020 # ก้าวข้ามพายุเศรษฐกิจ” ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 63 ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนจากภายนอก โดยเฉพาะปัจจัยของสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนที่ยังไม่มีความชัดเจน จึงอาจส่งผลกระทบต่อการค้าขายและการเติบโตของเศรษฐกิจโลกไปถึงปี 64 โดยปีนี้เห็นได้ชัดเจนว่าสงครามการค้าที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ทำให้เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีแรก เกิดการชะลอตัวค่อนข้างมาก ทั้งนี้หลังจากผ่านพ้นการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 เสร็จสิ้นลงถือว่าประเทศต่างๆได้มีข้อตกลง และความร่วมมือกันเป็นอย่างดี โดยจีนที่ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในไทยเพื่อใช้เป็นฐานการผลิตใหม่ๆ ถือเป็นโอกาสให้กับไทยในการดึงดูดการลงทุนของจีนเข้ามา เพื่อนำเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยของจีนเข้ามาต่อยอดและพัฒนาอุตสาหกรรมของไทย โดยมี 5 เรื่องสำคัญๆที่ต้องปรับเปลี่ยนประเทศและต้องทำให้ได้ เช่น อีอีซี, การเปิดประมูล 5 จี ในปีหน้า เป็นต้น ดังนั้น ประเทศไทยต้องอาศัยความได้เปรียบในฐานะศูนย์กลางของอาเซียน ที่เชื่อมต่อนโยบายของจีนผ่านความร่วมมือผ่านเส้นทางสายไหม สู่อีอีซี โดยมี Greater bay area : GBA ที่ประกอบไปด้วย ฮ่องกง กวางตุ้ง มาเก๊า เป็นหัวหอกที่ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญรองรับนโยบายการย้ายฐานการผลิต ทำให้ประเทศไทยมีบทบาทในการเชื่อมโยงกับ CLMV  ซึ่งจากการหารือกับนางแคร์รี แลม ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง มีความประสงค์จะเดินทางมาไทย โดยจะมีการลงนามข้อตกลงทางการค้าเสรี ไทย-ฮ่องกอง เพื่อส่งเสริมให้นักลงทุนฮ่องกง ย้ายฐานการผลิตมาสู่ประเทศไทยและเชื่อมโยงตลาดทุนร่วมกัน ภายในสิ้นปีนี้.

เวียดนามเผยเม็ดเงิน FDI ไปยังนครด่งนาย ตรงตามเป้าที่ตั้งไว้

จากข้อมูลของกระทรวงการวางแผนและการลงทุนเวียดนาม เปิดเผยว่าจังหวัดด่งนายได้รับเงินทุนโดยตรงจากต่างชาติไหลเข้ากว่า 1.46 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยโครงการ FDI ประมาณ 190 โครงการ ในช่วงตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม นับว่าเกินกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ (46%) ซึ่งทางกระทรวงฯ ได้อนุมัติโครงการใหม่กว่า 93 โครงการ ด้วยเงินทุนจดทะเบียน 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ โครงการปรับเพิ่มงบการลงทุน 670 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยโครงการส่วนใหญ่ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ โครงการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ จังหวัดดังกล่าวได้รับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ มูลค่า 29.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จำนวนโครงการ FDI 1,447 โครงการ ในปัจจุบัน ประเทศเกาหลีใต้ ไต้หวัน และญี่ปุ่น เป็นนักลงทุนรายใหญ่ในจังหวัดด่งนาย

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/fdi-inflow-to-dong-nai-province-breaks-target-405777.vov

ดัชนีอุตสาหกรรมพุ่งสูงขึ้น 9.5% ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) เปิดเผยว่าดัชนีการผลิตทางอุตสาหกรรม (IIP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2562 เป็นผลมาจากความสำเร็จของสาขาอุตสาหกรรมการแปรรูปและการผลิต โดยภาคอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ การผลิตโลหะ (34.3%), แร่ถ่านหิน น้ำมันกลั่น (31.8%) และผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก (14.3%)  ในขณะที่ บางภาคอุตสาหกรรมมีการผลิตลดลง เช่น เคมีภัณฑ์และการผลิตยา (3.4%) และมอเตอร์ไซต์ (6.3%) อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ตัวเลขการจ้างงานในสาขาอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3, 2.0 เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้วและปีที่แล้ว

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/tenmonth-industrial-production-index-rises-95-percent-405754.vov

ธุรกิจ CMP นำเข้าวัตถุดิบมากกว่า 160 ล้านเหรียญสหรัฐในหนึ่งเดือน

ธุรกิจเสื้อผ้าแบบ CMP (Cutting Making และ Packaging) ได้นำเข้าวัตถุดิบมูลค่ากว่า 160 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือนในปีงบประมาณนี้ (1 ต.ค.62) เกิน 12 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อน ตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 25 ต.ค.ในปีงบประมาณ 62-63 ปัจจุบันวัตถุดิบในธุรกิจ CMP มีมูลค่า 160.748 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่ปีที่แล้วอยู่ที่ 148.588 ล้านเหรียญสหรัฐ ระบบ CMP ส่วนใหญ่จะใช้ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและมีบ้างในการทำรองเท้าและกระเป๋า อย่างไรก็ตามเมียนมามีรายรับเพียง 10% เนื่องจากระบบ CMP เป็นไปตามค่าแรง แม้ว่าประเทศจะมีรายรับจากธุรกิจ CMP ประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี แต่การใช้ระบบ FOB สามารถเพิ่มรายได้มากกว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/cmp-businesses-import-raw-materials-worth-over-160m-in-one-month

โครงการถนนสายใหม่รัฐชินเริ่มปีหน้า

โครงการถนนสายใหม่ของรัฐชินได้รับเงินกู้จากธนาคารโลกเริ่ม ต.ค.ปีหน้า โดยจะเชื่อมเมืองกะเล่, พะล่าน และฮ่าค่า จุดเริ่มต้นของถนนจะอยู่ในกะเล่ซึ่งเลาะเลียบรัฐชินและเขตสะกาย ถนนกะเล่-พะล่าน-ฮ่าค่า มีความสำคัญในการเชื่อมโยงรัฐชินกับภูมิภาคและรัฐอื่น ๆ เมื่อเสร็จสิ้นจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาของรัฐซิน โครงการนี้จะกู้ยืมเงิน 65 ล้านเหรียญสหรัฐจากธนาคารโลกและส่วนหนึ่งจากเงิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐจากเงินทุนในเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 58 เงินกู้ดังกล่าวได้รับอนุญาตสำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในรัฐยะไข่, เขตอิรวดี, และรัฐชิน ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่มีความสำคัญสำหรับรัฐชินดังนั้นจึงให้ความสำคัญในการสร้างอย่างเหมาะสมและยั่งยืน ส่วนผลลัพธ์จากการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม รัฐบาลต้องมีแนวทางเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการจะได้รับการชดเชยอย่างเป็นธรรม โปร่งใสและมีผลกระทบน้อยที่สุด

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/new-road-project-chin-set-start-next-year.html