กัมพูชาและจีนมองเขตการค้าเสรีจะเป็นตัวส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้า

ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกัมพูชาและจีนคาดจะส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น กล่าวโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของกัมพูชา ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้เสร็จสิ้นขั้นตอนการเจรจา FTA ทวิภาคีไปแล้วในวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยข้อตกลงดังกล่าวมีความหมายอย่างมากต่อเศรษฐกิจของกัมพูชาเนื่องจากเข้าถึงตลาดของประเทศคู่ค้าได้มากขึ้นทำให้กัมพูชาสามารถกระจายผลิตภัณฑ์และขยายตลาดของกัมพูชาได้ และลดการพึ่งพาคู่ค้าเพียงไม่กี่ราย เช่นยุโรป สหรัฐฯและแคนาดา ซึ่งปกติแล้วจะทำการค้ากับกัมพูชาแบบสัมปทานเช่น Everything But Arms (EBA ), Generalized System of Preferences (GSP)” เป็นต้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกล่าวว่าการลงนาม FTA ระดับทวิภาคีนี้จะช่วยกระตุ้นความรวดเร็วของโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของกัมพูชา รวมถึงโครงการภายใต้ Belt and Road Initiative (BRI) อีกด้วย

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50752996/cambodia-china-fta-to-boost-bilateral-trade-investment-ties/

ภาคการก่อสร้างในกัมพูชาสร้างงานกว่าแสนตำแหน่ง

ภาคการก่อสร้างของกัมพูชาสร้างงานมากกว่า 170,000 ตำแหน่ง โดยเฉลี่ยต่อวันทั่วประเทศในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 134,000 คน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วตามตัวเลขของกระทรวงการจัดการที่ดินการวางผังเมืองและการก่อสร้าง (MLMUPC) ซึ่งรายงานแสดงให้เห็นว่าในเมืองหลวงพนมเปญเพียงแห่งเดียวมีการสร้างงานมากถึง 24,130 ถึง 24,500 ตำแหน่งต่อวันเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.16 เมื่อเทียบเป็นรายปี จากการศึกษาพบว่าต้นทุนแรงงานในภาคการก่อสร้างสูงขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว โดยรายงานระบุว่าแรงงานด้อยฝีมือมีรายได้ระหว่าง 10 ถึง 15 ดอลลาร์ต่อวัน ในขณะที่คนงานที่มีทักษะและหัวหน้าทีมมีรายได้ระหว่าง 15 ถึง 25 ดอลลาร์ต่อวัน วิศวกรมีรายได้ประมาณ 2,500 ดอลลาร์ต่อเดือนทั่วประเทศ ซึ่งมีโครงการดำเนินการอยู 2,522 โครงการ ที่ได้รับการอนุมัติในช่วงครึ่งปีแรกด้วยมูลค่ากว่า 3.842 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 1,047 โครงการในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เพิ่มขึ้น 3.392 พันล้านดอลลาร์หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.26

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50752957/construction-sector-creates-hundred-thousands-of-jobs/

การใช้โซเชียลมีเดียในทางที่ผิดก่อให้เกิดความท้าทายต่อการพัฒนาประเทศ

ศาสตราจารย์ดร.Chaleun Yiapaoher โฆษกรัฐบาลกล่าวสุนทรพจน์ที่สำนักนายกรัฐมนตรีในเวียงจันทน์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเนื่องในโอกาสการเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปีแนวร่วมสปป.ลาวเพื่อการพัฒนาแห่งชาติ โดยได้กล่าวว่า “โซเชียลมีเดียได้หลอมรวมเข้ากับชีวิตสมัยใหม่และสามารถให้ความรู้แก่ผู้ใช้เกี่ยวกับวิชาต่างๆเช่นความรู้ทางวิทยาศาสตร์และในสาขาวิชาอื่น ๆที่มีส่วนในการช่วยขับเคลื่อนสังคมสปป.ลาว” นอกจากนี้เขายังได้ให้คำแนะนำแก่ประชาชนในการเสพสื่ออนไลน์ต่างๆ ควรพิจารณาถึงข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ เพราะปัจจุบันสื่ออนไลน์บางอย่างมักนำเสนอถึงข้อมูลปลอมหรือยุยงให้เกิดการรับรู้ในทางที่ไม่ดี โดยเขาได้ยกตัวอย่างในเรื่อง YouTube ที่มีคนโพสต์วิดีโอวิพากษ์วิจารณ์สภาพถนนที่ย่ำแย่และตั้งคำถามว่าการพัฒนาในสปป.ลาวอยู่ที่ใด เห็นได้ชัดว่าผู้นำเสนอต้องการโจมตีจุดอ่อนของประเทศและไม่เรียกนำเสนอในเรื่องที่เป็นผลดีหรือซึ่งที่พัฒนาอย่างเช่น รถไฟลาว – ​​จีนและทางด่วนเวียงจันทน์ – วังเวียง ดังนั้นการพิจารณาข่าวสารอย่างถี่ถ้วนและหน่วยงานที่เกี่ยวควรเข้ามาควบคุมและดูแลเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในข้างหน้า

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Social_153.php

รัฐบาลสปป.ลาวดำเนินการขั้นตอนใหม่เพื่อป้องกัน Covid -19 ระลอกสอง

การแพร่ระบาด Covid -19 อย่างต่อเนื่องในประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่น ๆ ทำให้สปป.ลาวต้องเพิ่มมาตรการเพื่อปกป้อง จากไวรัสระลอกสอง สำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 7 ส.ค.โดยสรุปถึงความท้าทายที่สปป.ลาวต้องเผชิญและความเสี่ยงสูงที่เกิดจากวิกฤตสุขภาพโลก รัฐบาลจำเป็นต้องเพิ่มความพยายามในการป้องกันและควบคุมไวรัสเป็นสองเท่า ประกาศระบุว่ากระทรวงความมั่นคงสาธารณะควรร่วมมือกับหน่วยงานแห่งชาติเพื่อการป้องกันและควบคุมโควิด -19 เพื่อเสริมสร้างการตรวจสอบที่จุดผ่านแดนและบังคับใช้การควบคุมชายแดนที่เข้มงวดยิ่งขึ้น หากพบผู้อพยพผิดกฎหมายจะได้รับการทดสอบ Covid-19 ก่อนที่จะถูกส่งไปยังศูนย์กักกันที่รัฐกำหนด ประชาชนจะได้รับแจ้งเมื่อมีการเข้ามาอย่างผิดกฎหมายเพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความจำเป็นในการป้องกันไวรัส กระทรวงความมั่นคงสาธารณะได้รับคำสั่งให้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในเวียงจันทน์และแขวงต่างๆเพื่อให้แน่ใจว่าสถานบันเทิง รวมถึงบาร์ คาราโอเกะและไนต์คลับยังคงปิดอยู่ หากละเมิดกฎระเบียบของรัฐบาลจะได้รับคำเตือนปรับหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีการเตรียมออกนโยบาย Fast-Track กับเวียดนามและจีน อีกทั้งกระตุ้นให้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด -19 ต่อไปรวมถึงอันตรายและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องและศักยภาพของระลอกที่สอง

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt_takes_153.php

“เวียดนามแอร์ไลน์” วางแผนที่จะขายเครื่องบิน ช่วยลดต้นทุน

จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน เวียดนามแอร์ไลน์ (Vietnam Airlines) เปิดเผยว่าสายการบินอาจขาดทุนที่ 645 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ และทางสายการบินสามารถให้บริการเที่ยวบินเพียง 14.5 ล้านไฟล์ทในปีนี้ ลดลงร้อยละ 36.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงรองรับจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศ 2 ล้านคน และ 12.3 ล้านคนสำหรับผู้โดยสารในประเทศ อย่างไรก็ตาม รายได้ของสายการบินดังกล่าวในปีนี้ ประมาณ 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (40.5% ของรายได้ในปีก่อน) สำหรับรายรับของบริษัทใหญ่อย่างเดียว พบว่าขาดทุน 14.4 ล้านล้านด่ง ลดลงร้อยละ 56.4 ทั้งนี้ การระบาดของไวรัส ส่งผลให้ธุรกิจไม่มีกระแสเงินสดและขาดทุนอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ เวียดนามแอร์ไลน์ดำเนินใช้มาตรการต่างๆ เพื่อลดต้นทุนและเจรจากับหน่วยงาน EU Export Credit Agency (ECA) และธนาคารในประเทศ รวมถึงยังขอการสนับสนุนจากภาครัฐฯ ด้วยเหตุนี้ จึงวางแผนที่จะขายแอร์บัส A321 ปี 2550 จำนวน 6 ลำ และขายแอร์บัส A321 ปี 2551 จำนวน 3 ลำ แผนดังกล่าวจะดำเนินการในปีหน้า

ที่มา : http://dtinews.vn/en/news/018/69302/vietnam-airlines-plans-to-sell-off-aircraft-to-save-losses.html