เกษตรฯเร่งขยายตลาดสินค้าฮาลาลไปตะวันออกกลาง-แอฟริกาเหนือ

กระทรวงเกษตรฯ.รุกขยายตลาดสินค้าฮาลาลในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ สั่งเร่งลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรใน 3 จังหวัดภาคใต้อีกทั้งเห็นชอบวิสัยทัศน์ฮาลาล เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” ครั้งที่ 7/2563 ประชุมผ่านระบบ Zoom Cloud Meeting ร่วมกับ ตัวแทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามการพัฒนาและส่งเสริมมาตรฐาน “ฮาลาล” ในภาคการเกษตรไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับนานาชาติทั้งระบบ ทั้งนี้ ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร ประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมการค้าสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” รายงานความก้าวหน้าของโครงการเปิดเส้นทางโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารฮาลาลของไทยผ่านดูไบ เพื่อประโยชน์ต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังกลุ่มตลาดที่สำคัญในตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯเห็นชอบ”วิสัยทัศน์ฮาลาล” รวมถึงความคืบหน้าโครงการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และประเด็นสำคัญเรื่อง การแก้ไขปัญหาเนื้อวัวปลอมปนเนื้อสุกร ซึ่งที่ประชุมได้สรุปแนวทางแก้ไขปัญหา โดยศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะให้บริการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ขณะที่ ผู้แทนกรมปศุสัตว์ได้รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการและการแก้ไขปัญหาดังกล่าว พร้อมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคทั้งผู้บริโภคภายในและต่างประเทศ ต่อมาตรฐานสินค้าเกษตรอาหารฮาลาลไทย

ที่มา: https://www.posttoday.com/economy/news/640268

รัฐบาลสปป.ลาว-จีน ลงนามข้อตกลงการพัฒนาพื้นที่โดยรอบรถไฟสปป.ลาว-จีน

รัฐบาลและ บริษัท การรถไฟสปป.ลาว – ​​จีน จำกัด ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีรถไฟในเมืองหลวงและแขวงอุดมไซเวียงจันทน์และหลวงพระบางโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ นายเสี่ยวเฉียนเหวินตัวแทนจากทางการจีนกล่าวในงานลงนามว่า              “การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟเหล่านี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในพื้นที่เหล่านี้สำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์การพาณิชย์และเศรษฐกิจในท้องถิ่น” ทางรถไฟสปป.ลาว – ​​จีนเป็นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ของ China’s Belt and Road Initiative และแผนการของรัฐบาลที่จะเปลี่ยนแปลงสปป.ลาวจากการไม่มีทางออกสู่ทะเลเป็นแผ่นดินที่เชื่อมโยงภายในภูมิภาค เมื่อเปิดให้บริการทางรถไฟจะลดต้นทุนการขนส่งผ่านทางตะวันตกเฉียงเหนือของสปป.ลาวได้ถึงร้อยละ 30-40 เมื่อเทียบกับการขนส่งทางถนนรัฐบาลมั่นใจว่าการรถไฟจะกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมและทำให้สปป.ลาวก้าวหน้ายิ่งขึ้น

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt_lao_china_242.php

เวียดนามตั้งเป้ายอดส่งออกเสื้อผ้า 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568

สมาคมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของเวียดนาม (VITAS) เปิดเผยว่าภาคเครื่องนุ่งห่มได้ตั้งเป้ามูลค่าการส่งออก 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างแรงงานกว่า 3 ล้านคนในปี 2568 ซึ่งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวนั้น อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มต้องใช้ประโยชน์จากผลของข้อตกลงการค้าเสรีที่เวียดนามร่วมลงนามกับประเทศพันธมิตร ได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรป (EVFTA),  ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก, ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ฯลฯ เป็นต้น รวมถึงทางสมาคมฯ จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงธุรกิจกับองค์กรระหว่างประเทศและลูกค้า เพื่อยกระดับตำแหน่งของเครื่องนุ่งห่มเวียดนามในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก นอกจากนี้ การส่งออกเครื่องนุ่งห่มของเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกกระโดดจาก 28.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2559 เป็น 38.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 อัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 9.55 ต่อปี และคาดว่าในปี 2563 จะมีมูลค่าส่งออกถึง 3.52 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

  ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/garment-sector-targets-55-billion-usd-from-exports-by-2025/193053.vnp

ด่งนายหวังดึงดูดเม็ดเงินลงทุน FDI เพื่อยกระดับสภาพแวดล้อมการลงทุน

คณะกรรมการประชาชนจังหวัด ระบุว่าการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เป็นปัจจัยสำคัญของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัด ในปี 2563-2568 โดยเป้าหมายดังกล่าว เพื่อให้จังหวัดเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนต่างชาติในภาคตะวันออกเฉียงใต้ และให้ความสำคัญกับโครงการที่เกี่ยวข้องด้านเทคโนโลยีขั้นสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้แรงงานน้อยและผลิตสินค้าที่สามารถแข่งขันกับเจ้าอื่นได้ อีกทั้ง ทางจังหวัดจะเร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ทักษะแรงงานและเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงปฏิรูปการบริหาร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการลงทุน

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/dong-nai-hopes-to-attract-fdi-by-improving-investment-climate/193063.vnp

กัมพูชาเตรียมพร้อมสำหรับการทำการค้าเสรีกับจีน

อีกไม่ถึง 20 วัน ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างกัมพูชากับจีน (CC-FTA) จะมีผลบังคับใช้หลังจากทั้งสองประเทศลงนามในข้อตกลงเมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยภาคเอกชนพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากตลาดจีนที่ถือว่ามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ซึ่งกระทรวงกำลังดำเนินการและจะเปิดเผยรายการสินค้าทั้งหมดที่สามารถส่งออกไปยังประเทศจีนได้ในไม่ช้า สิ่งนี้จะช่วยให้ภาคเอกชนตระหนักถึงสิ่งที่สามารถส่งออกได้และเกณฑ์ใดที่จำเป็นต้องปฏิบัติตามในการที่จะส่งออกสินค้าไปยังจีน โดยสินค้าที่มีศักยภาพส่วนใหญ่เป็นสินค้าทางการเกษตร เช่น เนื้อสัตว์แปรรูปและปศุสัตว์ ซึ่งกัมพูชาได้จดทะเบียนสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อส่งออกไปยังจีนอีกราว 340 รายการภายใต้ CC-FTA ทำให้มียอดรวมมากกว่า 10,000 รายการที่สามารถทำการส่งออกไปยังจีนได้ จากข้อมูลของ MoC ในบรรดาสินค้าโภคภัณฑ์ใน CC-FTA ร้อยละ 95 ของสินค้าเหล่านี้จะไม่ต้องเสียภาษี และอีกร้อยละ 5 ที่เหลือจะค่อยๆทยอยยกเลิกภาษี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50791954/getting-ready-for-free-trade-with-china/

ธนาคารกลางกัมพูชาและเวียดนามพึงพอใจกับความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกัน

ธนาคารกลางกัมพูชาและเวียดนามแสดงถึงความพึงพอใจในด้านความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกัน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการพัฒนาภาคการธนาคารและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ โดยผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) และผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติเวียดนาม (SBV) แสดงถึงความพึงพอใจผ่านการประชุมทวิภาคีประจำปี 2020 ที่จัดขึ้นผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ในการรักษาเสถียรภาพด้านการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งยังเพิ่มความมั่นคงของระบบธนาคารและการควบคุมการแพร่กระจายของโควิด-19 ของทั้งสองรัฐบาลได้เป็นอย่างดี ซึ่งการประชุมประจำปีมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพระหว่าง NBC และ SBV ต่อไป

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50792134/cambodian-vietnamese-central-banks-satisfied-with-bilateral-cooperation/

จุรินทร์ บุกท่าเรือแก้ ตู้คอนเทนเนอร์ ขาดแคลน 14 ธ.ค.นี้

รายงานข่าวจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า วันจันทร์ 14 ธ.ค.2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเดินทางไปร่วมประชุมเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้าร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนและอัตราค่าระวางเรือที่สูงขึ้น  พร้อมตรวจเยี่ยมกิจการการท่าเรือ ณอาคารที่ทำการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ด้านนางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่าปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าและค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากสายเรือมีนโยบายจัดสรรระวางตู้สินค้า (Space Allocation) และจัดสรรตู้เปล่าหมุนเวียน (Container Allocation) กลับไปยังประเทศจีนและเวียดนามมาก เนื่องจากให้อัตราค่าระวางที่สูงกว่าไทย และการระบาดของ COVID-19 รอบ 2 ในยุโรปและสหรัฐ ทำให้ตู้สินค้าตกค้างที่ปลายทางเป็นจำนวนมาก ต่อเนื่องให้ปริมาณตู้สินค้าที่ต้องหมุนเวียนกลับสู่ระบบหายไปจำนวนมาก ซึ่งจากปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงให้อัตราค่าระวางที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทางสรท.ได้ขอให้สายเรือคงอัตราค่า Local Charge เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการไทย และขอให้ภาครัฐควรพิจารณามาตรการจูงใจให้สายเรือนำตู้เปล่ามายังประเทศไทย เช่น การยกเว้นค่ายกขนตู้เปล่ากลับมาประเทศไทย การยกเว้นค่าภาระท่าเรือให้กับเรือขนส่งสินค้าเป็นการชั่วคราว และขอให้ภาครัฐเจรจาในระดับประเทศเพื่อหาแนวทางส่งตู้ส่วนเกินในประเทศที่มีการนำเข้ามากกว่าส่งออก กลับมาให้ประเทศไทย

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/911654