ไวรัส มรณะ ฉุดส่งออกไทยติดลบ 5.5 % สูญ 13,480 ล้านเหรียญสหรัฐ

ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินโลกน็อคดาวน์ทำส่งออกไทยติดลบ 7.1%  ต่ำสุดรอบ 1 ปี เสียหายยับเยิน 5.5 แสนล้านบาท เฉพาะโควิด-19 ทำส่งออกไทยหาย 13,480 ล้านเหรียญสหรัฐ  ชี้อาเซียน-ฮ่องกงหนัก โดยผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ส่งออกไทยในปี 63 คาดว่าจะมีมูลค่า 228,816 ล้านเหรียญสหรัฐลดลงจากปีก่อน 7.1%   หรือลดลง 17,429 ล้านเหรียญสหรัฐ (557,728 ล้านบาท) ถือเป็นอัตราที่ต่ำสุดรอบ 10 ปี แบ่งเป็นได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำจากการระบาดไวรัส โควิด-19 ถึง 80%  ,ความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน 10%, สงครามการค้าสหรัฐ-ประเทศคู่ค้า 5% และความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ-อิหร่าน 5% เบื้องต้นคาดการณ์ว่าการส่งออกไทยไปยังอาเซียนจะเสียหายมากสุดหรือลดลง  5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ รองลงส่งออกไปฮ่องกงลดลง 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ,ญี่ปุ่นลดลง  3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จีนเสียลดลง  2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และสหภาพยุโรป ลดลง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นต้น โดยหากประเมินเฉพาะผลกระทบจากการระบาด โควิด-19 อย่างเดียว ไม่รวมปัจจัยอื่น พบว่าจะมีผลต่อการส่งออกในปีนี้ติดลบ 5.5% หรือคิดเป็นมูลค่า 13,480 ล้านเหรียญสหรัฐ (431,360 ล้านบาท)

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/873679

กระทรวงโยธาธิการและการขนส่งได้ประกาศระงับการให้บริการรถบัสทั้งหมด

กระทรวงโยธาธิการและการขนส่งได้ประกาศระงับการให้บริการรถบัสทั้งหมดและปิดสถานีรถบัสเป็นการชั่วคราวระหว่างวันที่ 1-10 เมษายน เพื่อป้องกัน Covid-19 หลังจากมีการยืนยันผู้ติดเชื้อเพิ่ม มาตราการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขยืนยันจำนวนการติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 9 คน นอกจากนี้การดำเนินการดังกล่าวยังสอดคล้องไปกับมาตราการควบคุมต่างๆ ทั้งการให้ทุกคนกักตัวไม่ให้พบปะกัน การปิดพรหหมแดน ไม่เพียงแต่การแพร่ระบาดที่รัฐบาลได้ออกมาตราการต่างๆมาควบคุม เพราะในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ประชาชนสปป.ลาวมีการกักตุนอาหารทำให้ราคาสินค้าอาจมีการปรับตัว แต่อาจมีผู้ไม่หวังดีในช่วงนี้ที่จะปรับราคาเกินที่กำหนด รัฐบาลจึงต้องมีประกาศออกมาควบคุมในเรื่องราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในช่วงนี้เพื่อไม่ให้ราคาสูงเกินไป รัฐบาลจะจัดตั้งหน่วยงานเพื่อตรวจสอบอย่างเข้มงวดหากร้านค้ามีการปรับขึ้นราคาเกินจริงจะถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Laos65.php

สปป.ลาวจะเข้าสู่การlockdownประเทศ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส covid-19 ทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่ง ณ ขณะนี้สปป.ลาวพบผู้ติดเชื้อแล้ว 9 คนตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมาถึงแม้ตัวเลขที่ติดเชื้ออาจไม่สูงมากนักแต่ทางการสปป.ลาวก็ได้มีมาตราการเพื่อป้องกันและลดการขยายในการแพร่ระบาดโดยเริ่มจากการที่รัฐบาลสปป.ลาวประกาศให้ประชาชนอาศัยอยู่บ้านและลดกิจกรรมพบปะต่างๆ แต่มาตราการดังกล่าวก็ได้เพิ่มความเข้มงวดไปอีกหลังจากยอดผู้ติดเชื้อของสปป.ลาวยังเพิ่มขึ้นโดยรัฐบาลได้ปิดด่านพรหมแดนต่างๆ รวมถึงให้หน่วยงานเอกชนและราชการทำงานจากที่บ้านมีผลตั้งแต่วันนี้ 1 เมษายนถึง 19 เมษายนรวมถึงห้ามมิให้มีการรวมตัวกันมากกว่า 10 คนและยกเลิกกิจกรรมทุกอย่างที่จะจัดในเดือนนี้ ทั้งนี้เป็นไปเพื่อความปลอดภัยของประชาชนในสปป.ลาว

ที่มา : https://www.ttrweekly.com/site/2020/04/laos-goes-into-total-lockdown/

เครือข่าย 5G ในกัมพูชารอการอนุญาตเปิดตัวหลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบแล้ว

กระทรวงการไปรษณีย์และโทรคมนาคมของกัมพูชาได้ออกหนังสืออนุมัติให้กับบริษัท 5 แห่ง ที่เปิดตัวเครือข่าย 5G ซึ่งเป็นก้าวถัดจากเครือข่ายมือถือเดิมที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็น 4G หรือ LTE ที่ให้ความเร็วที่เร็วขึ้นและแบนด์วิดธ์ที่มากขึ้น โดยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของกระทรวงการไปรษณีย์และโทรคมนาคมกล่าวว่าผู้ให้บริการทั้ง 5 ราย ได้ทำการทดสอบบนเครือข่ายเรียบร้อยแล้ว รวมถึง Cam GSM, Smart Axiata Co Ltd, Metfone, Seatel และ บริษัท Kingtel Communications Ltd. ในเวียดนาม ซึ่งกำลังที่จะเปิดตัวเทคโนโลยีล่าสุดอย่างเต็มระบบในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวยังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาในการเริ่มให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ โดยต้องรอการอนุมัติเพื่อระบุคลื่นความถี่สำหรับ 5G จาก International Telecommunication Union (ITU) ก่อนหลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบพวกเขาจะต้องรอจนกว่านโยบายอย่างเป็นทางการจะถูกกำหนดโดยกระทรวงการไปรษณีย์และโทรคมนาคมระบุช่วงความถี่ที่จะสอดคล้องกับ ITU ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกในเทคโนโลยี 5G

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50707625/operators-get-the-green-light-for-launching-on-the-5g-network-after-completing-trials/

นายกฮุนเซนสั่งห้ามส่งออกข้าวเพื่อป้องกันอุปทานภายในประเทศ

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนได้สั่งหยุดการส่งออกข้าวขาวและข้าวเปลือกทั้งหมดกำหนดตั้งแต่วันที่ 5 เมษายนจนกว่าจะมีประกาศให้ทำการส่งออกดังเดิม โดยนายฮุนเซนกล่าวในการแถลงข่าวหลังจากการประชุมรัฐสภาว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ทำไปเพื่อปกป้องอุปทานภายในประเทศเพื่อตอบสนองต่อการขาดแคลนอาหารในช่วงของการระบาด COVID-19 ซึ่งรัฐบาลได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์เพื่อให้ผู้ผลิตข้าวและผู้ส่งออกสามารถจัดการและควบคุมสต็อค รวมถึงเคลียคำสั่งซื้อต่างๆที่มีอยู่ จากรายงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กัมพูชาได้ส่งออกข้าวสาร 214,612 ตัน ไปยังตลาดต่างประเทศ โดยคิดเป็นส่งออกไปยังประเทศจีน 94,060 ตัน สหภาพยุโรป 62,998 ตัน ตลาดอาเซียน 27,937 ตัน และตลาดอื่น ๆ 29,617 ตัน รวมไปถึงการส่งออกอย่างไม่เป็นทางการที่คาดว่ามากกว่า 800,000 ตัน ไปยังเวียดนาม ซึ่งรองประธานสหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) กล่าวว่าการส่งออกข้าวขาวของกัมพูชายังคงมีเสถียรภาพ โดยข้าวขาวที่ผลิตในประเทศส่งออกประมาณ 20 ถึง 25% ในแต่ละเดือน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50707627/pm-bans-white-rice-and-paddy-exports-in-effort-to-safeguard-local-supply/

ครม.อนุมัติบริจาคเพิ่มทุนสมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ 159.91 ล้าน

ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการบริจาคเพิ่มทุนในสมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ (International Development Association : IDA) ครั้งที่ 19 (IDA 19) ของประเทศไทย จำนวน 159.91 ล้านบาท โดยแบ่งชำระออกเป็น 9 งวด ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2572 โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กค.) และสำนักงบประมาณ (สงป.) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ สมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ (IDA) เป็นสถาบันในกลุ่มธนาคารโลกมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือด้านการพัฒนาแก่ประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจนที่สุดในรูปแบบเงินให้เปล่า (Grant) และเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรน ในครั้งนี้กระทรวงการคลังเสนอให้ไทยบริจาคเงินเพิ่มทุนใน IDA ครั้งที่ 19 (IDA 19) จำนวน 159.91 ล้านบาท โดยแบ่งชำระออกเป็น 9 งวด ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2572 และสามารถบริจาคในรูปแบบเงินบาทได้ จึงไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน การบริจาคเพิ่มทุนใน IDA 19 สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และเป็นการรักษาจุดยืนของประเทศไทยที่สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนแก่ประเทศกำลังพัฒนาที่มีฐานะยากจน ซึ่งรวมถึงประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากผลการพัฒนาของประเทศเหล่านี้ในทางอ้อม ผ่านช่องทางการค้า การลงทุน และความเชื่อมโยงของภูมิภาคและเป็นการส่งเสริมบทบาทภูมิภาคอาเซียนในการเป็นกำลังสำคัญเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคและเศรษฐกิจโลกต่อไป

ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9630000032896