เกษตรกรเลี่ยงชำระเงินกู้ตั้งแต่ปี 55

เกษตรกรที่เป็นหนี้เงินกู้ธนาคารเพื่อการพัฒนาการเกษตรของเมียนมา (MADB) จำนวน 200 พันล้านจัต ยังไม่ได้ชำระตั้งแต่ปี 55 ส่วนใหญ่มาจากจังหวัดอิรวดี พะโค และย่างกุ้ง ปัจจุบันการออมลดลงต่ำมากขณะที่สินเชื่อเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบพบว่ามีเงินฝาก 77 พันล้านจัต แต่เงินกู้ยืมรวมทั้งสิ้น 1.7 ล้านล้านจัตในปีงบประมาณ 61-62 เหตุผลหนึ่งที่เกษตรกรเลี่ยงการชำระคือ การชำระหนี้เจ้าหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า MADB ที่มีอัตราดอกเบี้ยเพียง 8% ขณะเดียวกันสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้ยากที่จะรักษาคุณภาพและผลผลิตไม่คงที่ ซึ่งส่งผลให้รายได้ผันผวนตลอดหลายปี และการขาดแรงงานรุ่นใหม่ๆ ที่หลั่งไหลไปทำงานในต่างประเทศแทน MADB ได้ขยายการชำระคืนเงินกู้ในเดือน ต.ค. – ธ.ค. ปีที่แล้วจนถึงเดือน มิ.ย. – ก.ย. ที่ผ่านมา ทั้งการที่ธนาคารปล่อยเงินกู้มากขึ้น เช่น เกตรกรผู้ปลูกข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 150,000 จัต จาก 100,000 จัต ขณะเดียวกันเกษตรกรที่ปลูกพืชอื่น ๆ สามารถกู้เพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 100,000 จัต ปัจจุบัน MADB ให้สินเชื่อแก่เกษตรกรตาม 3 ฤดูการเพาะปลูกหลัก ได้แก่ มรสุม ก่อนมรสุม และฤดูหนาว

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/farmers-have-shirked-loan-repayments-2012.html

การสูญเสียข้าวสาเหตุให้เกิดการขาดแคลนในประเทศ

พื้นที่ปลูกข้าว 105,206 เฮกตาร์ถูกทำลายคิดเป็น 13% ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด เนื่องจากน้ำท่วมในช่วงฤดูฝนของปีนี้ซึ่งสปป.ลาวจะไม่บรรลุเป้าหมายการผลิตปี 62 ที่ 4.4 ล้านตันได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้  กล่าวว่าปัญหาน้ำท่วมรวมถึงปัญหาน้ำประปาทำให้กระทรวงลดการคาดการณ์การผลิตข้าวจาก 4.4 ล้านเป็น 3.5 ล้านตัน จากการสูญเสียพื้นที่เพาะปลูกโดยแขวงสะหวันนะเขตได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากนี้บางพื้นที่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำหรือได้รับผลกระทบจากการระบาดของแมลงซึ่งทำให้พืชเสียหาย 1,200 เฮกตาร์อย่างไรก็ตามกระทรวงจะใช้งบประมาณของรัฐบาลจำนวน 352.9 พันล้านกีบ เพื่อสนับสนุน 288 โครงการในการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก 900,000 เฮกตาร์ และตั้งเป้าเพิ่มผลผลิตในฤดูฝนถัดไป อีกทั้งมีเป้าหมายการส่งออก 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีหน้า นอกจากนี้มีการคาดการณ์จะเกิดความแห้งแล้ง อุทกภัยที่รุนแรงโดยผลผลิตอาจลดลง 10% ในปี 63 และ 30% ในปี 93 สิ่งนี้อาจส่งผลต่อความมั่นคงด้านอาหารซึ่งรัฐบาลกำลังทำงานกับองค์กรพัฒนาเอกชนในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดในอนาคต

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/rice-losses-causing-harvest-shortfall-minister-tells-na-108699

NA ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเรื่องความล่าช้าในการส่งออกพืชผล

ประธานสมัชชากล่าวถึงกรณีปัญญาความล่าช้าในการส่งออกพืชผลที่ด่านจังหวัดจำปาสัก โดยได้ถามไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้านายเข็มมะนี พลเสนาในระหว่างการประชุม NA โดยคุณปานีได้ยกกรณีของเหตุการณ์ที่ด่านระหว่างประเทศวังเวียง – ช่องเม็ก ระหว่างจำปาสักและจังหวัดอุบลราชธานีในประเทศไทย เมื่อเจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมงในการออกใบอนุญาตแก่ผู้ประกอบการ จากกรณีดังกล่าวผู้ประกอบการชี้ให้เห็นว่าการล่าช้าที่ยาวนานเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของพืชผลที่ขนส่งได้ จากกรณีดังกล่าวรัฐมนตรีกล่าวว่าการส่งออกสินค้านั้นต้องผ่านการตรวจจากเจ้าหน้าที่ศุลกากร ณ จุดตรวจจึงอาจเกิดความล่าช้าในตอนนี้อยู่ระหว่างการแก้ไข โดยปัญหาดังกล่าวรองนายกรัฐมนตรี ได้ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้มีการจัดโซนตรวจสินค้าเฉพาะเพื่อลดความล่าช้า นอกจากประเด็นดังกล่าวได้มีการเรียกร้องเกี่ยวกับการควบคุมราคาที่เขตแดนรวมถึงการนำเข้ายานพาหนะหรูหรา โดยรัฐบาลได้สั่งให้กระทรวงการคลังและภาคส่วนอื่น ๆดำเนินการแก้ไขปัญหาต่างๆทั้งนี้รัฐมนตรีได้ให้คำสํญญาในการแก้ปัญหาและจะรายงานในภายหลัง

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/na-questions-trade-minister-over-border-delays-crop-exports-108700

กัมพูชาวางแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศภายในประเทศ

รัฐบาลได้เปิดตัวกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศภายในกัมพูชา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มรายได้จากภาคการท่องเที่ยวในขณะที่ปรับปรุงวิถีชีวิตของชุมชนในชนบทและช่วยปกป้องทรัพยากรภายในประเทศ ซึ่งรัฐบาลวางแผนนโยบายการท่องเที่ยวเชิงนิเวศไว้ในปี 2562-2573 ในการประชุมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มจำนวนชุมชนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในประเทศเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวของกัมพูชา ซึ่งมีกระทรวงการท่องเที่ยว กระทรวงสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง ทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยชุมชนได้รับประโยชน์จากการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ซึ่งเป็นการดีที่กระทรวงจะเน้นการพัฒนาชุมชนเหล่านี้ให้เป็นผู้ให้บริการการท่องเที่ยว เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงชุมชนมากขึ้น โดยรัฐบาลจะต้องทำงานร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว คู่ค้าเพื่อการพัฒนาและคนในท้องถิ่น ซึ่งกัมพูชาได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 4.8 ล้านคน ในช่วงเก้าเดือนแรกของปีเพิ่มขึ้น 10% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50662325/plan-to-boost-ecotourism-launched/

กัมพูชาขอความช่วยเหลือจากญี่ปุ่นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่

รัฐบาลกัมพูชาได้ขอให้ญี่ปุ่นร่วมช่วยในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งและงานสาธารณะภายในประเทศในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 25 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม โดยพูดถึงการลงทุนในภาคการก่อสร้างระบบการขนส่งอัตโนมัติหรือ AGT สำหรับเมืองหลวงของกัมพูชาได้ดำเนินการไปอย่างช้าๆส่วนหนึ่งเป็นเพราะขาดเงินทุนในการก่อสร้างจากนักลงทุนในการดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งระบบ AGT จะช่วยบรรเทาปัญหาจราจรติดขัดภายในเขตเมือง โดยมีต้นทุนในการก่อสร้างอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงรัฐบาลกำลังตั้งสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อลดความแออัดภายในเขตเมือง ซึ่งสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ AGT ในขณะที่บริษัทสองแห่งจากจีนกำลังดำเนินโครงการรถไฟฟ้ารางเดี่ยวและรถไฟฟ้าใต้ดินภายในกรุงพนมเปญ โดยประเทศญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในผู้ให้ความช่วยเหลือกัมพูชาที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งเมื่อปีที่แล้วกัมพูชาได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 135 ล้านเหรียญสหรัฐจากญี่ปุ่นซึ่งอยู่ในรูปของเงินช่วยเหลือและเงินกู้ยืมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50662323/assistance-from-japan-sought-as-kingdom-mulls-new-big-ticket-projects/

หนุนอีเพย์เมนต์อาเซียน

ประธานสำนักระบบชำระเงิน สมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่าในปี 63 มีแผนสนับสนุนธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศภายในอาเซียน ภายใต้แผน 3 ปีโครงการพัฒนาระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการให้บริการโอนเงินและการใช้จ่ายผ่านคิวอาร์โค้ดระหว่างประเทศ ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียน คาดว่าจะเริ่มเห็นการให้บริการดังกล่าวชัดเจนขึ้นช่วงกลางปี 63 ซึ่งขณะนี้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม และพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับบริการนี้แล้ว ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่าธนาคารเตรียมให้บริการธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศในตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้น ทั้งการโอนเงินและการใช้จ่ายผ่านคิวอาร์โค้ด หลังจากที่ผ่านมาได้เปิดใช้คิวอาร์โค้ดระหว่างไทยกับสิงคโปร์ไปแล้ว ในปีนี้คาดว่าจะเปิดให้บริการเพิ่มเติมระหว่างไทยและกัมพูชา และเปิดให้บริการระหว่างไทยและสปป.ลาวในไตรมาส 1 ปี 63 ทั้งนี้ ธนาคารยังได้รับการแต่งตั้งจากธนาคารกลางเมียนมา ให้เป็นผู้ชำระราคาระหว่างเงินบาทและเงินจ๊าด ซึ่งธนาคารจะขยายธุรกรรมการโอนเงินและการใช้จ่ายผ่านคิวอาร์โค้ดระหว่างไทยกับเมียนมาต่อไป นอกจากนี้ธนาคารมีแผนขยายการให้บริการไปทั่วอาเซียนและอยู่ระหว่างเจรจากับประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งในช่วงเริ่มต้นจะเน้นตลาดสิงคโปร์และ CLMV เป็นหลัก ตามความพร้อมและโอกาสทางธุรกิจ โดยการโอนเงินระหว่างประเทศจะเน้นประเทศเพื่อนบ้านที่มีแรงงานในไทยและต้องการส่งเงินกลับบ้าน ส่วนการใช้จ่ายผ่านคิวอาร์โค้ดจะเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวและร้านค้าเป็นหลัก

ที่มา: นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 21 พ.ย. 2562 (กรอบบ่าย)

นักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตเข้าถือหุ้นสายการบินเวียดนาม 34%

เมื่อเร็วๆนี้ นายกรัฐมนตรีได้ลงนามเกี่ยวกับการเข้าถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติที่เข้าไปลงทุนและเจ้าของกิจการสายการบิน จากเดิมอยู่ในอัตราร้อยละ 30  แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นอยู่ในอัตราร้อยละ 34 ด้วยพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 89/2019/ND-CP แก้ไขปรับปรุงจากพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 92/2559 ประกอบกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสายการดำเนินธุรกิจสายการบิน และกิจกรรมอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ซึ่งการร่างพระราชกฤษฎีกาของกระทรวงคมนาคม ในหัวข้อความเป็นเจ้าของใหม่ของนักลงทุนต่างชาติ ไม่เพียงแต่จะดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลประโยชน์ของนักลงทุนในประเทศอีกด้วย โดยการลดเงื่อนไขของธุรกิจให้ง่ายขึ้นและเอื้ออำนวยแก่นักลงทุนที่เข้ามาทำธุรกิจสายการบิน ซึ่งในแง่ของการบริหารการบิน จะต้องใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 100 พันล้านด่อง ทั้งนี้ พระราชกฤษฎีกาจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม   พ.ศ.2563

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/foreign-investors-permitted-to-hold-34-percent-stake-at-vietnamese-airlines-406400.vov

เวียดนามเผยยอดส่งออกปลาหมึกพุ่งสูงขึ้นไปยังตลาดสหรัฐฯ ในปี 2562

จากข้อมูลของสมาคมผู้ส่งออกและผู้ผลิตอาหารทะเลเวียดนาม (VASEP) เปิดเผยว่ามูลค่าการส่งออกปลาหมึกในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 จะสูงถึง 11.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 63.7 ซึ่งสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ปลาหมึกแห่ง ปลาหมึกหมัก ปลาหมึกแช่เย็นแช่แข็ง และปลาหมึกแปรรูป เป็นต้น ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้าปลาหมึกรายใหญ่ อยู่อันดับที่ 6 ของเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.7 ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้นในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเมื่อเกิดสถานการณ์กดดันทางการค้าสหรัฐฯ และจีน  ทำให้สหรัฐฯ ต้องเพิ่มอัตราภาษีในกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ปลาหมึกที่มาจากจีน ขณะเดียวกัน นับว่าเหตุการณ์ดังกล่าว จะสร้างโอกาสทางการค้าแก่เวียดนาม

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnams-export-of-squid-octopus-to-us-surges-in-2019-406397.vov