ภาพรวมเศรษฐกิจของราชอาณาจักรกัมพูชา หลัง COVID-19

หัวข้อสำคัญของเอกสาร มีดังต่อไปนี้

  1. สรุปภาพรวมของประเทศกัมพูชา
  2. สภาพแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจ
  3. สถานการณ์เศรษฐกิจ และผลกระทบจาก COVID-19
  4. ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
  5. นโยบาย รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
  6. มาตรการป้องกันและรับมือกับการระบาดของ COVID-19

เรียบเรียงโดย : นายทัตเทพ เอี่ยมเวช

ที่มา : NBC, World bank, IMF, ADB, K-Reserch, CEIC data, DITP และ SCB EIC

ภาพรวมเศรษฐกิจของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม หลัง COVID-19

หัวข้อสำคัญของเอกสาร มีดังต่อไปนี้

  1. สรุปภาพรวมทั่วไปในสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
  2. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ
  3. สถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
  4. แนวโน้มเศรษฐกิจของเวียดนาม

เรียบเรียงโดย : นายกวิน งามสุริยโรจน์

ที่มา : CEIC DATA, General Statistics Office, IMF, FitchRatings และ ADB

สปป. ลาวเตรียมให้บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์

เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2563 ศูนย์ข้อมูลข่าวสารทางด้านการค้าของ สปป. ลาวได้เผยแพร่ข้อตกลงว่าด้วยการดำเนินกิจการลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 29 พ.ค. 2563 โดยจะมีการให้บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งเสริมการดำเนินกิจการให้มีความเป็นระเบียบ ถูกต้อง ได้มาตรฐาน ทันสมัย และปลอดภัย โดยลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นตัวอักษร เครื่องหมาย สัญลักษณ์ ตัวเลข เสียง หรือสิ่งอื่นที่สร้างขึ้นในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อบ่งบอกและยืนยันตัวตนของผู้ลงลายมือชื่อและความถูกต้องของข้อมูล โดยหน่วยงานออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์มี 2 ระดับ คือ

  1. หน่วยงานออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National Root Certificate Authority) เป็นหน่วยงานให้บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้ออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์รายย่อย ซึ่งศูนย์อินเทอร์เน็ตแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบ
  2. หน่วยงานออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์รายย่อย (Sub – Certificate Authority) ให้บริการ 4 ประเภท ได้แก่
    1. บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป (Public Certificate Authority)
    2. บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ (Government Certificate Authority)
    3. บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างชาติ (Foreigner Public Certificate)
    4. บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ภาคเอกชน (Private Certificate Authority)

บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์จะประกอบด้วยการบริการยืนยันลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Certificate) บริการยืนยันระบบแม่ข่าย (Secure Sockets Layer) บริการประทับเวลา (Time Stamp) และบริการอื่น ๆ ตามที่กระทรวงไปรษณีย์ โทรคมนาคม และการสื่อสาร สปป. ลาวกำหนด โดยนิติบุคคลหรือองค์กรที่ประสงค์จะดำเนินธุรกิจให้บริการออกรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปต้องขอใบอนุญาตจากกระทรวงไปรษณีย์ฯ และขอใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์จากผู้ออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ โดยต้องเตรียมเอกสาร ดังนี้ (1) ใบรับรอง (2) ประวัติผู้บริหาร (3) ประวัติเจ้าหน้าที่เทคนิคและใบรับรองการศึกษา (4) สำเนาใบทะเบียนวิสาหกิจหรือใบรับรองการก่อตั้ง (5) ใบรับรองที่ตั้งสำนักงาน (6) บทวิพากษ์เศรษฐกิจและแผนด้านเทคนิค (7) กฎระเบียบการให้บริการ  (8) ใบรับรองสถานะทางการเงินจากธนาคารแห่งสปป. ลาว และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

เงื่อนไขการพิจารณาออกใบอนุญาตให้บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป คือ ต้องมีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 10 พันล้านกีบ (1.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ไม่อยู่ในระหว่างการถูกอายัติทรัพย์สิน อยู่ในกระบวนการฟ้องล้มละลายหรือถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายตามกฎหมายของ สปป. ลาว และไม่เคยถูกยกเลิกหรือถอนใบอนุญาตจากกระทรวงไปรษณีย์ฯ มาก่อน โดยกระทรวงไปรษณีย์ฯ จะพิจารณาออกใบอนุญาตให้บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปภายใน 45 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับคำร้องและเอกสารครบถ้วนและถูกต้อง ในกรณีคำร้องถูกปฏิเสธ กระทรวงไปรษณีย์ฯ จะแจ้งเหตุผลให้ผู้ยื่นคำร้องทราบภายใน 10 วันทำการ

สำหรับอายุของใบอนุญาตการให้บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปมีอายุ 3 – 5 ปี โดยสามารถต่ออายุได้ สำหรับใบอนุญาตบริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐมีอายุ 1 – 3 ปี ใบอนุญาตบริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างประเทศมีอายุไม่เกิน 3 ปี และใบอนุญาตบริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เฉพาะมีอายุไม่เกิน 5 ปี

ที่มา : https://globthailand.com/laos-03072020/

รัฐบาล สปป. ลาวกําหนด 8 มาตรการ เพื่ออํานวยความสะดวกทางด้านการค้า

เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2563 นายสุลิยน พิลาวง หัวหน้ากรมการนําเข้าและส่งออก กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า สปป. ลาว ในฐานะรองหัวหน้าคณะเลขานุการคณะกรรมการอํานวยความสะดวกทางด้านการค้าขั้นศูนย์กลาง ได้เป็น ประธานการประชุมทบทวนแผนการปฏิบัติงานอํานวยความสะดวกทางด้านการค้าปี 2560 – 2565 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และการปฏิบัติตามคําสั่งนายกรัฐมนตรีเลขที่ 12/นย. ลงวันที่ 16 ต.ค. 2562 ว่าด้วยการอํานวยความสะดวกให้แก่ การนําเข้า ส่งออก การนําเข้าชั่วคราว การผ่านแดน และการเคลื่อนย้ายสินค้าใน สปป. ลาว โดยมีความคืบหน้าหลาย ด้าน เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการอํานวยความสะดวกทางด้านการค้าขั้นแขวง การวางแผนกิจกรรมและงบประมาณ เพื่อจัดการประชุมหารือแนวทางลดขั้นตอนที่เป็นอุปสรรคทางการค้าขั้นท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาที่ยังไม่ได้รับการ แก้ไข เช่น ผู้ประกอบการยังพบกับความยุ่งยากในการรวบรวมเอกสารการนําเข้าและส่งออกสินค้า โดยพบว่าบางแขวงยังมี ขั้นตอนมากมายและคาบเกี่ยวกับหลายหน่วยงานและแต่ละหน่วยงานก็ยึดถือตามกฎระเบียบของตนเอง นอกจากนี้ ยังพบการตั้งด่านตรวจตามเส้นทางขนส่งสินค้า ซึ่งกระทบต่อการขนส่งของภาคธุรกิจ

ในโอกาสนี้ นายสุลิยนฯ ได้ให้มอบแนวทางในการดําเนินแผนงานอํานวยความสะดวกทางการค้าปี 2560 – 2565 และการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดังนี้

1. เผยแพร่และปฏิบัติตามคําสั่งนายกรัฐมนตรี เลขที่ 12/นย. ลงวันที่ 16 ต.ค. 2562 ว่าด้วยการอํานวยความสะดวก ให้แก่การนําเข้า ส่งออก การนําเข้าชั่วคราว การผ่านแดน และการเคลื่อนย้ายสินค้าใน สปป. ลาว

2. ปรับปรุงการอํานวยความสะดวกในการดําเนินธุรกิจตามตัวชี้วัดที่ 8 (การค้าระหว่างประเทศ) ให้ดีขึ้นในปี 2563 และดําเนินการตามแผนงานอํานวยความสะดวกทางการค้าปี 2560 – 2565 ให้บรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้ โดยกระทรวง อุตสาหกรรมฯ เป็นหน่วยงานหลัก

3. ดําเนินการตามความตกลงด้านการอํานวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation Agreement – TEA) ภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) โดยเฉพาะข้อบัญญัติในหมวด A B และ C ให้สําเร็จตามกําหนดเวลาที่ได้แจ้งไว้กับ สํานักงานเลขาธิการ WTO เช่น การทบทวนการปฏิบัติตามข้อบัญญัติหมวด A และ B และการปฏิบัติตามข้อบัญญัติหมวด C ให้ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งได้ขอความช่วยเหลือด้านวิชาการและเทคนิคไปแล้ว

4. ผลักดันให้หน่วยงานส่วนกลางและท้องถิ่นกําหนดมาตรฐานการบริการ จัดพิมพ์เอกสารเกี่ยวกับขั้นตอน เอกสารที่ใช้ และระยะเวลาในการให้บริการ เพื่อเผยแพร่ลงเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลข่าวสารทางด้านการค้าของ สปป. ลาว แขวง ด่านชายแดน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

5. จัดการประชุมวิชาการและฝึกอบรมเพื่อสร้างขีดความสามารถในการปฏิบัติตามกฎระเบียบและนโยบายต่าง ๆ ในการอํานวยความสะดวกทางการค้าให้แก่ภาครัฐและภาคธุรกิจในนครหลวงเวียงจันทน์และแขวงต่าง ๆ ทบทวนและ ประเมินผลกระทบจากมาตรการด้านการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Meeasure – NTMs) และเสนอไปยังหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทําแผนปรับปรุงการดําเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

6. พัฒนาศูนย์ข้อมูลข่าวสารทางด้านการค้าของ สปป. ลาวให้ทันสมัยและมีความยั่งยืน

7. ปรับปรุงคู่มือแผนดําเนินงานการอํานวยความสะดวกทางด้านการค้าของ สปป. ลาวปี 2560 – 2565

8. เจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่ออํานวยความสะดวกในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดประเทศเพื่อนบ้านในรูปแบบ การค้าชายแดนและการค้าทวิภาคี

สปป. ลาวเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2556 และเป็นประเทศสมาชิกลําดับที่ 158 จากประเทศสมาชิกทั้งหมด 164 ประเทศทั่วโลก โดยความตกลงด้านการอํานวยความสะดวกทางการค้าภายใต้ WTO (Trade Facilitation Agreement – TEA) กําหนดเรื่อง การปฏิบัติที่เป็นพิเศษและแตกต่าง (Special and Different Treatment – SDT) โดยจําแนกข้อบัญญัติออกเป็น 3 หมวด ได้แก่ หมวด A คือ ข้อบัญญัติที่ต้องปฏิบัติทันทีที่ความตกลงมีผลใช้บังคับ หมวด B คือ ข้อบัญญัติที่สมาชิกสามารถ กําหนดเวลาที่จะเริ่มปฏิบัติตามพันธกรณีได้เอง และหมวด C คือ ข้อบัญญัติที่สมาชิกต้องได้รับการความช่วยเหลือก่อน จึงจะปฏิบัติตามได้ ทั้งนี้ SDT ให้ความสําคัญกับความพร้อมของประเทศสมาชิก จึงไม่ได้กําหนดให้ประเทศกําลังพัฒนาและ ประเทศพัฒนาน้อยที่สุดต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันเท่าเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้ว โดย SDT อาจอยู่ในรูปแบบของการให้ ระยะเวลาในการปรับตัวก่อนที่จะผูกพันตามความตกลงฯ หรือให้การยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงบางส่วน สมาชิก แต่ละประเทศ (ยกเว้นประเทศพัฒนาแล้ว) มีสิทธิพิจารณาจัดกลุ่มและผูกพันตนเองต่อความตกลงดังกล่าวตามที่เห็นสมควร

ที่มา : https://globthailand.com/laos-08072020/

“หุ้นเวียดนาม” ยังถูก-ปัจจัยหนุนต่อเนื่อง แนะทยอยสะสมหวังผล ‘ระยะยาว’

โดย กฤษฎิ์ รัตนธีระธาดา I WEALTHY THAI

Wealthy Thai ได้รวบรวมมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ จากหลากหลายสถาบัน มาฉายภาพพื้นฐานเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเวียดนาม

‘วิน พรหมแพทย์’ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนพรินซิเพิล จำกัด ได้ให้ความคิดเห็นว่า การฟื้นตัวของตลาดหุ้นเวียดนามที่เยอะกว่าประเทศเพื่อนบ้านนั้น เพราะการควบคุมสถานการณ์ระบาดไวรัส COVID-19 ได้ดี โดยไม่มีท่าทีของตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ รวมทั้งผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดไวรัส COVID-19 ที่น้อยมาก จากการเคลื่อนไหวของรัฐบาลที่ล็อกดาวน์ประเทศก่อนประเทศเพื่อนบ้าน จึงทำให้ผลกระทบต่อจีดีพีไม่มากนัก ซึ่งตัวเลขจีดีพีของประเทศเวียดนามเป็นไม่กี่ประเทศที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ยังคงเป็น ‘บวก’ โดยคาดการณ์จีดีพีปีนี้จะเติบโตได้ 4% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 7-8%

“ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามเอง ถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าลงทุน เนื่องด้วยระดับ P/E ที่ 14 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ที่จะสามารถดึงดูดฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติแล้ว ยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นอย่างการปรับเกณฑ์ ETF ใหม่ของรัฐบาล ที่จะช่วยดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น และการเป็นแหล่งฐานผลิตระดับต้นๆ ที่ผู้ประกอบการให้น้ำหนักการย้ายฐานผลิตเป็นอันดับต้นๆ หากเกิดประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ”

‘คมสัน ผลานุสนธิ’ กรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาดและผลิตภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด ได้ให้ความคิดเห็นว่า ในระยะยาวตลาดหุ้นเวียดนามถือว่าน่าสนใจทั้งพื้นฐานเศรษฐกิจที่ยังเติบโตได้ในสถานการณ์ระบาด ‘ไวรัส COVID-19’ และปัจจัยสนับสนุนอย่างสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เวียดนามถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว รวมถึงอาจได้เห็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมใหม่ๆ ในเวียดนาม อย่างอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

“อย่างไรก็ดีแม้ว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดไปต่อได้ แต่ในระยะสั้นก็ยังต้องระมัดระวังการแรงขายเพื่อกำไรหลังจากตลาดปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างสูง ซึ่งในช่วงนี้ที่ตลาดปรับตัวลงก็ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะทยอยสะสมได้เช่นกัน”

สำหรับ “ตลาดหุ้นเวียดนาม” ใน ‘ระยะยาว’ ยังเป็นอีกหนึ่งประเทศที่นักลงทุน สามารถทยอยสะสมได้ แต่อย่างไรก็ตามใน ‘ระยะสั้น’ นักลงทุนอาจจะระมัดระวังแรงขายเพื่อทำกำไร หลังจากที่ดัชนีฟื้นตัวขึ้นมาค่อนข้างเยอะในช่วงที่ผ่านมา อาจเห็นการย่อตัวลงมาพักฐานของตลาดได้เช่นกัน

ที่มา : https://www.wealthythai.com/web/contents/WT200600126

ธนาคารโลกคาดการณ์เศรษฐกิจลาวปี 2563 จะเติบโตร้อยละ 1

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2563 ธนาคารโลก ประจำ สปป. ลาวได้เผยแพร่รายงาน Lao Economic Monitor ฉบับล่าสุดเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและหนี้สินของสปป. ลาวในปี 2563 โดยคาดว่าเศรษฐกิจลาวจะขยายตัวร้อยละ 1 ในกรณีที่การแพร่ระบาดไม่รุนแรง และอาจจะหดตัวติดลบร้อยละ 1.8 ในกรณีรุนแรง ด้านการขาดดุลงบประมาณปี 2563 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 7.5 – 8.8 ของ GDP (เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.1 เมื่อปี 2562) ด้านหนี้สินปี 2563 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 65 – 68 ของ GDP (เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 59 เมื่อปี 2562) และด้านเงินสำรองระหว่างประเทศปี 2563 จะลดลง โดยครอบคลุมการนำเข้าน้อยกว่าหนึ่งเดือน

การแพร่ระบาดดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานและการขจัดความยากจน เนื่องจากภาคการขนส่ง การท่องเที่ยว การบริการ และการโรงแรมมีผลประกอบการลดลงอย่างมาก ทำให้เกิดการว่างงานคิดเป็นร้อยละ 11

ของการจ้างงานทั้งหมด และคิดเป็นร้อยละ 22 ของการจ้างงานในเขตตัวเมือง ทั้งนี้ คาดว่าจะมีประชากรประมาณ 96,000 – 214,000 คน จะพบประสบความยากจน สปป. ลาวจำเป็นต้องลงทุนในการสร้างระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง เพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ และจัดหาทรัพยากรที่เพียงพอต่อการให้บริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ

ที่มา : https://globthailand.com/laos-01062020/

เจาะลึก การตลาดดิจิทัลเวียดนาม โอกาสดีห้ามมองข้ามเด็ดขาด

โดย เอเจนซี่การตลาดดิจิทัลเวียดนาม

หากคุณอยากจะขยับขยายธุรกิจของคุณออกไปยังประเทศแถบอาเซียน ประเทศเวียดนาม คือตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างมาก ที่คุณจะบุกเข้าไปตีตลาดด้วยกลยุทธ์ การตลาดดิจิทัลเวียดนาม เพราะเป็นหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ประเทศที่มีการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไวที่สุดในอาเซียน ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเวียดนามมีมูลค่าทางการค้ารวมสูงถึง 517,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยจำนวนประชากรกว่า 97 ล้านคน ส่วน GDP เวียดนามในปี 2562 อยู่ที่ 7.02% ซึ่งเกินเป้าหมาย 6.8% ที่รัฐบาลตั้งเอาไว้

ปัจจัยของความน่าดึงดูดตลาดดิจิทัลเวียดนาม ได้แก่

  • การเข้าถึงของอินเทอร์เน็ต
  • ความนิยมของโซเชียลมีเดีย
  • E-Commerce ในเวียดนาม

กลยุทธ์น่าสนใจสำหรับการทำตลาดดิจิทัลเวียดนาม ได้แก่

  • กลยุทธ์การทำตลาดอินฟลูเอนเซอร์เวียดนาม
  • กลยุทธ์การตลาดเครื่องมือค้นห
  • กลยุทธ์การตลาดโซเชียลมีเดีย

ที่มา : https://www.ihdigital.co.th/go-vietnam-digital-marketing/

พานาโซนิคย้ายโรงงานจากไทยไปเวียดนาม

โดย nuttachit I Marketeer

สำนักข่าวนิคเคอิ เอเชียน รีวิว รายงานว่าพานาโซนิค คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น มีแผนปิดโรงงาน ผลิตตู้เย็นและเครื่องซักผ้าในประเทศไทย เพื่อย้ายกำลังการผลิตไปรวมกับโรงงานผลิตตู้เย็นและเครื่องซักผ้าในเวียดนามให้เป็นโรงงานหลักในการผลิตตู้เย็นและเครื่องซักผ้า เหตุผลสำคัญ คือ ลดต้นทุนการจัดหาชิ้นส่วน ซึ่งการย้ายกำลังการผลิตในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในการปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยมีเป้าหมายลดต้นทุน ค่าใช้จ่าย 100 ล้านเยนหรือประมาณ 29.56 ล้านบาทในเดือนมีนาคม 2565

‘Marketeer’ วิเคราะห์ออกเป็น ดังนี้

  1. ลดต้นทุนค่าแรงสูงบนรายได้การผลิตที่ลดลง ลดต้นทุนในการจัดหาชิ้นส่วน และลดต้นทุนในการจ้างแรงงานที่มีค่าแรงขั้นต่ำถูกกว่าประเทศไทย
  2. ยอดขายในไทยลดลงบนการแข่งขันที่สูง แม้พานาโซนิคจะเข้ามาทำธุรกิจในไทยมาอย่างยาวนาน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พานาโซนิค ถูกสินค้าแบรนด์เกาหลี และจีน เข้ามาท้าทายตลาดอย่างต่อเนื่องจนรายได้และกำไรในการขายสินค้าพานาโซนิคลงอย่างเห็นได้ชัดในปี 2562

ทั้งนี้ ศิริรัตน์  ยงค์เจริญชัย ผู้จัดการทั่วไปสายสื่อสารองค์กร บริษัท พานาโซนิค แมนเนจเม้นท์ ประเทศไทย จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การควบรวมโรงงานผลิตตู้เย็นและเครื่องซักผ้าไปอยู่ที่ประเทศเวียดนามเป็นไปตามนโยบายของบริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่น ที่มีพิจารณาแผนการดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2562 เพื่อเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพทั้งเรื่องของพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า และการบริหารด้านการผลิตและต้นทุนให้มากขึ้น

ที่มา : https://marketeeronline.co/archives/165880

อัพเดท สถานการณ์ COVID-19 เวียดนาม วันที่ 19.05.2563

คนเวียดนามกลับจากต่างประเทศติดเชื้อเพิ่ม 4 คนแต่ไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มในประเทศมากกว่า 1 เดือน

พัฒนาการที่สำคัญในวันนี้

  • เวียดนามไม่พบผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่ในระดับชุมชน กว่า 1 เดือน แต่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่กลับจากต่างประเทศ 4 ราย
  • ยกเว้นการห้ามการเดินทางเข้าประเทศของคนต่างประเทศ โดยจะพิจารณาอนุญาตให้นักลงทุนชาวต่างชาติ ผู้เชี่ยวชาญ แรงงานทักษะสูง ผู้บริหารกิจการ เจ้าหน้าที่ และนักศึกษาชาวเวียดนามที่ศึกษาในต่างประเทศ โดยจะต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมและกักตัวอย่างเข็มงวด
  • เวียดนามส่งเสริมการท่องเที่ยว “Safe Haven Tourism” ซึ่งเน้นการจำกัดความเสี่ยง COVID-19 และคาดว่า การท่องเที่ยวจะเป็นแหล่งรายได้ถึงร้อยละ 10-15 และจ้างงาน 1.3 ล้านคน
  • รองประธานหอการค้าสหภาพยุโรปประจำเวียดนามเห็นว่า เวียดนามเตรียมตัวดีในการกระตุ้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤติ COVID-19 และจำเป็นประเทศที่ปลอดภัยและน่าดึงดูดสำหรับธุรกิจและนักลงทุนจากต่างประเทศ พร้อมย้ำว่า เวียดนามจะต้องว่า เวียดนามจะต้องไม่ปกป้องธุรกิจของเวียดนามเพียงอย่างเดียว เนื่องจากจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม โดยเฉพาะการส่งออกเมื่อการค้าของโลกกลับสู่ภาวะปกติ
  • วันที่ 21 พ.ค. 2563 สถานเอกอัครราชทูตฯ จะจัดเที่ยวบินพิเศษสำหรับคนไทยที่ตกค้างกลับไทย

มาตรการสำคัญที่ยังบังคับใช้

  • ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการป้องกันอย่างต่อเนื่องเพื่อมิให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่
  • แนะนำให้ประชาชนหมั่นล้างมือ สวมหน้ากาก
  • งดกิจกรรมเฉลิมฉลอง พิธีกรรมทางศาสนา และมหกรรมกีฬา
  • ยังคงห้ามนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าเวียดนาม เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่
  • บุคคลที่เดินทางเข้าเวียดนามจะถูกกักตัว 14 วัน

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย