‘ข้าวเวียดนาม’ ยังคงครองผู้นำตลาดฟิลิปปินส์ แม้มีการเปลี่ยนนโยบาย

สำนักงานการค้าเวียดนาม ประจำประเทศฟิลิปปินส์ ระบุว่าสถานการณ์การค้าข้าวเวียดนาม-ฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับทรงตัวในอนาคตอันใกล้นี้ ในขณะที่สำนักงานอาหารแห่งชาติ (NFA) พิจารณาแก้ไขกฎเกณฑ์การนำเข้าข้าว ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวของเวียดนาม และการปรับโครงสร้างในครั้งนี้ อยู่ในระหว่างการดำเนินการ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้หน่วยงานเข้ามาแทรกแซงโดยตรงต่อตลาดข้าวและสร้างความมีเสถียรภาพของราคาข้าวในประเทศ

ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวราคาข้าวดังกล่าว สาเหตุสำคัญมาจากราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งมาตรการก่อนหน้านี้ของรัฐบาลได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถควบคุมการขึ้นของราคาสินค้าได้

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาข้อมูลทางสถิติ แสดงให้เห็นว่าเวียดนามยังคงเป็นผู้นำตลาดข้าวของฟิลิปปินส์ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ และเวียดนามเป็นซัพพลายเออร์ข้าวรายใหญ่ที่สุดของฟิลิปปินส์ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 72% ของการนำเข้าพืชผลทางการเกษตรทั้งหมด

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnamese-rice-continues-to-dominate-philippine-market-despite-policy-shifts-post288136.vnp

‘เวียดนาม’ เผยอีคอมเมิร์ซ ดันนำเข้าสินค้าพุ่ง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน

จากข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า เปิดเผยว่าตลาดอีคอมเมิร์ซของเวียดนามมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 20-25% ต่อปี และยอดขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ทำรายได้สูงถึง 20 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี คิดเป็นสัดส่วน 8% ของมูลค่าการอุปโภคบริโภคโดยรวม

ทั้งนี้ จากรายงานล่าสุด แสดงให้เห็นว่าเวียดนามนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ สูงถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียต่อการจัดเก็บรายได้ภาษีของรัฐบาล

ด้วยเหตุนี้ นาย เหงียน ฮ่ง เญียน รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม แนะนำให้รัฐบาลทบทวนการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำ เพื่อให้เป็นธรรมในการแข่งขันทางการค้า ซึ่งในปัจจุบันสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1 ล้านล้านด่อง จะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม

ที่มา : https://english.thesaigontimes.vn/e-commerce-brings-in-us1-billion-of-foreign-goods-to-vietnam-monthly/

‘กาแฟเวียดนาม’ ราคาพุ่ง

จากข้อมูลวันที่ 5 มิ.ย. ระบุว่าราคากาแฟในพื้นที่ที่ราบสูงตอนกลาง (Central Highlands) ของเวียดนาม ยังคงปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ 122,000 – 123,500 ด่องต่อกิโลกรัม ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งปลูกกาแฟที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ อย่างไรก็ดี ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาและการเก็งกำไรในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ รวมถึงราคากาแฟ ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะราคากาแฟโรบัสต้าในเมืองลอนดอนเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยอยู่ที่ประมาณ 3,846 – 4,319 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน

นอกจากนี้ โคลัมเบีย เปรูและฮอนดูรัส อยู่ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวกาแฟ ซึ่งคาดการณ์ว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ต่ำกว่าความต้องการของตลาด ส่งผลให้ราคากาแฟยังคงปรับตัวสูงขึ้น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnams-coffee-prices-on-the-rise-post288072.vnp

‘เซมิคอนดักเตอร์เวียดนาม’ เดินหน้าส่งเสริมอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรม

นายโทมัส รูนีย์ (Thomas Rooney) ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบริการอุตสาหกรรมของบริษัท Savills Vietnam กล่าวว่าเวียดนามจะกลายมาเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำของนักลงทุนด้านเซมิคอนดักเตอร์ ตลอดจนเวียดนามอยู่ในจุดทำเลที่ตั้งที่ดีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีแหล่งธาตุหายาก (Rare Earth) จำนวนมากที่จำเป็นในการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์

ทั้งนี้ นายโทมัส ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่ากระแสการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น จะส่งผลต่อความต้องการโรงงานและนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงแหล่งพลังงานที่มีเสถียรภาพ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและความพร้อมของระบบบำบัดน้ำ โดยการยกระดับคุณภาพของโรงงานดังกล่าว มีไว้เพื่อดึงดูดนักลงทุนเป็นสำคัญ

นอกจากนี้ ภาครัฐบาลและเอกชน ควรจำเป็นที่จะต้องทำงานร่วมกันในการส่งเสริมบรรยากาศทางด้านการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานและกำลังแรงงาน เพื่อให้มีความพร้อมที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรม

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1656840/viet-nam-s-semiconductor-industry-poised-to-bolster-industrial-real-estate-experts.html

‘หุ้นเวียดนาม’ ต่างชาติเทขาย 2.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ปี 66

นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นเวียดนามในตลาดหลักทรัพย์นครโฮจิมินห์ (HOSE) มูลค่ารวมกันทั้งสิ้น 58 ล้านล้านด่อง หรือประมาณ 2.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่ปี 2566 และจากข้อมูล เปิดเผยว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เผชิญกับแรงขายหุ้นอย่างรุนแรง เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีมูลค่าเกินกว่า 58 ล้านล้านด่อง ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะทำสถิติใหม่เร็วๆนี้ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติไม่มีแนวโน้มที่จะยุติการเทขาย

ทั้งนี้ ผู้สังเกตการณ์บางราย แย้งว่ากระแสของเงินทุนจากต่างประเทศเป็นเพียงยอดขายสุทธิบางส่วน เป็นผลมาจากการปรับพอร์ดหุ้นเท่านั้น จึงมองได้รับผลกระทบจำกัดต่อตลาดโดยรวม

นอกจากนี้ แรงกดดันจากการขายกองทุน ETF ขนาดใหญ่ ได้แก่ DCVFMVN DIAMOND ETF และ Fubon ETF ที่มีการไหลออกตั้งแต่ต้นปี 2567 มากกว่า 6.3 ล้านล้านด่อง และ 800 พันล้านด่อง  ตามลำดับ ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจเวียดนามยังคงได้รับการประเมินในเชิงบวกก็ตาม

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1656788/foreign-investors-net-selling-exceeds-2-3-billion-since-2023.html

เมียนมาลงนาม MoU กับเวียดนาม หนุนภาคส่วนมะพร้าว

ตามการระบุของกระทรวงพาณิชย์ เมียนมาลงนามบันทึกความเข้าใจกับเวียดนามเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาภาคมะพร้าวที่ ในย่างกุ้งเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม และได้ไปศึกษาดูงานฟาร์มมะพร้าวในหมู่บ้านยินกาดิษฐ์ เมืองพันตานอว์ เขตอิรวดี เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม โดยเมียนมาจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการสำหรับโครงการ “ห่วงโซ่มูลค่าผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ (มะพร้าว)” ภายใต้กองทุน ACEMES-ROK ที่โรงแรม Pan Pacific บริษัท เมียนมา ออร์ชาร์ด จำกัด และสหกรณ์บริการการเกษตร Hoa Binh Hiep ของเวียดนาม ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดหาต้นมะพร้าวและความช่วยเหลือด้านเทคนิคสำหรับสวนมะพร้าว ซึ่งในการประชุมเชิงปฏิบัติการ ผู้เชี่ยวชาญที่นำโดยนาง Nguyen Thi Kim Thanh ประธานสมาคมมะพร้าวเวียดนาม ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการปลูกมะพร้าวและวิธีการผลิต คาร์บอนเครดิต และการสร้าง Macapuno ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่างไรก็ดี ภายใต้กองทุน ACEMES-ROK โครงการ “ห่วงโซ่มูลค่าผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ (มะพร้าว)” ยังรวมหลักสูตรหัตถกรรมมะพร้าวในเขตอิรวดีระหว่างเดือนพฤษภาคม 2566 ถึงเมษายน 2567 ซึ่งหลักสูตรนี้จะนำเสนอแนวทางปฏิบัติในการเปลี่ยนกะลามะพร้าวเหลือทิ้งให้เป็นงานฝีมือที่มีมูลค่าเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้เรียนรู้ทักษะการเลือกกะลามะพร้าว การออกแบบ ตัด ขัด ตากแห้ง และตกแต่งด้วยอุปกรณ์ทีละขั้นตอน มีวิชาการวาดภาพขั้นพื้นฐานรวมอยู่ด้วย

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-signs-mou-with-vietnam-to-bolster-coconut-sector/

‘ไทย’ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเข้าทุเรียนรายใหญ่ อันดับ 2 ของเวียดนาม

ประเทศไทยกลายมาเป็นผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยมูลค่าการส่งออกรวมสูงถึง 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ และขึ้นแท่นเป็นผู้นำเข้าทุเรียนรายใหญ่ อันดับ 2 ของตลาดเวียดนามในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ในขณะที่ช่วงเวลาเดียวกัน ไทยนำเข้าทุเรียนจากเวียดนาม 22.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 82% เมื่อเทียบเป็นรายปี

ทั้งนี้ นาย ดัง ฟุก เหงียน เลขาธิการสมาคมผักและผลไม้เวียดนาม (Vinafruit) ได้อธิบายไว้ว่าเมื่อเร็วๆนี้ ไทยนำเข้าทุเรียนจากเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างมาก ถึงแม้ไทยจะเป็นผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่ทุเรียนของไทยได้รับผลกระทบจากภัยแล้งที่รุนแรง ทำให้หันมาสั่งซื้อทุเรียนจากประเทศอื่นๆ เพื่อตอบสนองกับความต้องการในประเทศและนักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าจีนจะเป็นผู้นำเข้าทุเรียนสดจากเวียดนามรายใหญ่ที่สุด แต่ไทยก็เป็นผู้นำเข้าทุเรียนแช่แข็งรายใหญ่ของเวียดนาม

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1656753/thailand-becomes-viet-nam-s-second-largest-durian-importer.html

‘ผลสำรวจ’ ชี้ 6 เดือน นักช้อปผู้ชาย ซื้อของออนไลน์ พุ่ง 100%

จากข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์ตลาด ‘YouNet ECI’ เปิดเผยว่าผู้บริโภคในปัจจุบันไม่เพียงแต่ซื้อสินค้าในฤดูกาลลดราคาครั้งใหญ่ แต่จะพิจารณาข้อเสนอในแต่ละวัน รวมถึงปัจจัยสำคัญของผู้ซื้อ 2 ประการ ได้แก่ นิสัยของบุคคลและพฤติกรรมผู้บริโภค ในขณะที่บริษัทวิจัยการตลาด ‘Buzzmetrics’ ระบุว่าในปี 2565-2566 ความถี่ของการเข้าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพิ่มขึ้น 3 เท่า และยอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 20-30 รายการคำสั่งต่อเดือนในปี 2566

ทั้งนี้ นาย Nguyen Phuong Lam จากบริษัทวิเคราะห์ตลาด กล่าวว่าในช่วงระยะแรกของตลาดอีคอมเมิร์ซ ผู้หญิงเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่สั่งซื้อสินค้าแฟชั่นและผลิตภัณฑ์ดูแลความงาม แต่ว่าในปัจจุบันผู้บริโภคชายกลับมีการซื้อเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน และสินค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อจะเป็นสินค้าเทคโนโลยีและเครื่องใช้ไฟฟ้าในครังเรือน โดยยอดขายในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2566 เติบโตเฉลี่ย 100% เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่แล้ว

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/vietnamese-men-s-online-purchases-grow-by-100-in-six-months-2286711.html

‘วินฟาสต์’ ชะลอเปิดโรงงานอีวี 4 พันล้านดอลลาร์อีกรอบ เหตุขาดทุนยับในสหรัฐ

ก่อนหน้านี้ วินฟาสต์ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) สัญชาติเวียดนาม ประกาศเมื่อปี 2565 ว่าจะสร้างโรงงานรถอีวี และแบตเตอรี่ในสหรัฐฯ โดยโรงงานดังกล่าวจะสามารถผลิตรถยนต์ได้ 150,000 คันต่อปี พยายามใช้ประโยชน์จากที่รัฐบาลโจ ไบเดน มีนโยบายอุดหนุนการลงทุนต่างชาติที่เข้ามาตั้งโรงงานรถอีวีในสหรัฐฯ ซึ่งเดิมทีบริษัทวางแผนการสร้างโรงงานให้แล้วเสร็จในเดือน ก.ค.2567 แต่ต่อมาได้เลื่อนเปิดการดำเนินการไปปีหน้า และกำลังพิจารณาขยายการเปิดดำเนินการออกไปอีกครั้ง

ทั้งนี้ โฆษกของรัฐนอร์ทแคโรไลนา เปิดเผยว่าวินฟาสต์ได้ยื่นปรับแก้ขนาดอาคารของโรงงานดังกล่าวถึง 2 ครั้ง โดยล่าสุดได้ยื่นเข้ามาเมื่อเดือน เม.ย. และตอนนี้อยู่ระหว่างที่แผนการอนุญาตของเคาน์ตีรัฐนอร์ทแคโรไลนาทำการตรวจสอบอยู่

อย่างไรก็ตาม มีรายงานระบุว่ารถยนต์ส่วนใหญ่ที่จำหน่ายในประเทศก็ขายให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับบริษัท โดยในปีที่แล้ว ผลประกอบการขาดทุนเพิ่มขึ้น 15% หรือ 2.4 พันล้านดอลลาร์

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/world/1129137

‘เวียดนาม’ เผยยอดการค้า ม.ค.-พ.ค. พุ่ง 16%

สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) รายงานว่ามูลค่าการค้าระหว่างประเทศของเวียดนามในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 305.53 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้ ข้อมูลในเดือน พ.ค.67 พบว่าการส่งออกของเวียดนาม ปรับตัวขึ้น 15.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี มูลค่าที่ 32.81 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 33.81 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่งผลให้เวียดนามขาดดุลการค้าในเดือนนี้ อยู่ที่ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยตลาดสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม มีมูลค่าการส่งออกราว 44 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะเดียวกัน เวียดนามนำเข้าจากจีนมากที่สุด อยู่ที่ 54.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://english.thesaigontimes.vn/trade-revenue-up-over-16-in-jan-may/