‘จีน’ ตลาดส่งออกไม้สับรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม

เวียดนามส่งออกไม้สับ (Wood Chip) ไปยังตลาดต่างประเทศ 13 แห่งในปี 2566 โดยตลาดจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ นับว่าเป็นตลาดส่งออกไม้สับสำคัญของเวียดนาม และจากข้อมูลทางสถิติแสดงให้เห็นว่าในปี 2566 เวียดนามส่งออกไม้สับไปยังจีน มากกว่า 9.38 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.43 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ราคาส่งออกไม้สับเฉลี่ยปรับตัวลดลงจาก 183-185 เหรียญสหรัฐต่อตันในปีที่แล้ว เหลืออยู่ที่ 140 เหรียญสหรัฐต่อตันในช่วงกลางปีนี้ ทั้งนี้ สมาคมไม้และผลิตภัณฑ์จากป่าไม้เวียดนาม เปิดเผยว่าความต้องการนำเข้าไม้สับจากตลาดจีนมีแนวโน้มที่จะลดลง ส่งผลให้ราคาส่งออกไม้สับปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมไม้สับจะยังคงแข่งขันทางด้านวัตถุดิบกับอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด โดยเฉพาะภาคเหนือ เนื่องจากเป็นแหล่งพื้นที่ปลูกไม้สำคัญของทั้งสองอุตสาหกรรม

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1652219/china-as-viet-nam-s-largest-wood-chip-export-market.html

ราคายางค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาราคายางในเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ โดยแตะระดับกว่า 1,700 จ๊าดต่อปอนด์ในตลาดยางของรัฐมอญ โดยยางแผ่นรมควันชั้น 3 มีราคาแตะ 1,780 จ๊าดต่อปอนด์ และราคายางตากแห้งมีราคา 1,760 จ๊าดต่อปอนด์ ซึ่งเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ราคายางตากแห้งมีราคาเพียง 1,640 จ๊าดต่อปอนด์ และยางแผ่นรมควันชั้น 3 มีราคา 1,660 จ๊าดต่อปอนด์ ในช่วงต้นเดือนมีนาคม ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าราคายางเพิ่มขึ้น 120 จ๊าดต่อปอนด์ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีราคายางของเมียนมาได้รับอิทธิพลจากอุปสงค์ของยางทั่วโลก และปริมาณการผลิตยางในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งอุปทานในตลาด ราคายางในรัฐมอญ ซึ่งเป็นรัฐการผลิตยางที่สำคัญในเมียนมา ก็มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับปัจจัยเหล่านั้นเช่นกัน

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/rubber-price-on-gradual-rise-2/#article-title

ราคาอ้างอิงขายส่งน้ำมันปาล์มของย่างปรับตัวสูงขึ้นในสัปดาห์นี้

ตามการระบุของคณะกรรมการกำกับดูแลด้านการนำเข้าและการจัดจำหน่ายน้ำมันบริโภค อัตราอ้างอิงการขายส่งน้ำมันปาล์มสำหรับตลาดย่างกุ้งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 5,250 จ๊าดต่อviss ในสัปดาห์นี้ ซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 24 มีนาคม จากที่บันทึกไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่ 5,215 จ๊าดต่อviss อย่างไรก็ดี ทางคณะกรรมการกำกับดูแลการนำเข้าและจำหน่ายน้ำมันบริโภคภายใต้กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามราคา FOB ในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียอย่างใกล้ชิด โดยเพิ่มค่าขนส่ง ภาษี และบริการทางธนาคาร เพื่อกำหนดอัตราอ้างอิงตลาดค้าส่งสำหรับน้ำมันบริโภคเป็นรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ทางกรมกำลังพยายามร่วมกันควบคุมความผันผวนสูงของราคาน้ำมันปาล์มในตลาดค้าปลีก และเสนอราคาที่ยุติธรรมมากขึ้นแก่ผู้บริโภค โดยประสานงานกับสมาคมผู้ค้าน้ำมันบริโภคแห่งเมียนมาและบริษัทนำเข้าน้ำมัน

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/ygn-palm-oil-wholesale-reference-price-shows-uptick-this-week/

สปป.ลาว แสดงความยินดีกับนายวลาดีมีร์ ปูติน ที่ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซีย

นายทองลุน สีสุลิด ประธานาธิบดี สปป.ลาว แสดงความยินดีกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำรัสเซียอีกครั้ง ข้อความแสดงความยินดีระบุว่า “ในนามของประชาชน สปป.ลาว ทั้งหมด และในนามของข้าพเจ้าเอง ขอแสดงความยินดีอย่างสุดหัวใจต่อชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งและโอกาสที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซียอีกหนึ่งสมัย ผลการเลือกตั้งสะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจและความมั่นใจของชาวรัสเซียในความสามารถและความฉลาดในการเป็นผู้นำของท่าน ฉันเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าภายใต้การนำอันชาญฉลาดของท่าน สหพันธรัฐรัสเซียจะพัฒนาและเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้ทำงานใกล้ชิดกับท่าน เพื่อเสริมสร้างและเสริมสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรและความร่วมมืออันดีของเราต่อไป บนพื้นฐานความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ ความเข้าใจร่วมกัน ความไว้วางใจ และความช่วยเหลือระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและสหพันธรัฐรัสเซีย เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองของเรา ข้าพเจ้าขอใช้โอกาสอันมีความหมายนี้เพื่ออวยพรให้ท่านมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีความสุข และประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นในความพยายามอันสูงส่งของท่าน”

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_56_President_y24.php

รถไฟลาว-จีน ขนส่งผู้โดยสารแล้วกว่า 30 ล้านคน จีนตั้งเป้าหมายขนส่งให้มากขึ้นกว่านี้

รถไฟลาว-จีน ขนส่งผู้โดยสารแล้วกว่า 30.2 ล้านคน และขนส่งสินค้า 34.24 ล้านตัน ณ วันที่ 12 มีนาคม 2567 และทางการรถไฟของจีนให้คำมั่นว่าจะเพิ่มปริมาณทั้งผู้โดยสารและสินค้าให้มากกว่านี้ โดยสินค้าที่ขนส่ง ประกอบด้วย สินค้าข้ามพรมแดนมากกว่า 7.8 ล้านตัน ซึ่งหมายความว่าทางรถไฟกำลังมีบทบาทโดดเด่นมากขึ้นตามลำดับ และจำนวนการเดินทางโดยรถไฟโดยเฉลี่ยต่อวันของผู้โดยสารบนเส้นทางรถไฟของจีนเพิ่มขึ้นจาก 35 ล้านคนในช่วงแรก เพิ่มมาเป็น 51 ล้านคนในปัจจุบัน ในขณะที่จำนวนผู้โดยสารที่ขนส่งทุกวันเพิ่มขึ้นจาก 20,000 คนเป็นสูงสุด 103,000 คน ในส่วนการรถไฟของ สปป.ลาว จำนวนรถไฟโดยสารโดยเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นจาก 4 ขบวนเป็น 12 ขบวน ในขณะที่จำนวนรถไฟโดยสารความเร็วธรรมดาเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 10 ขบวน จำนวนผู้โดยสารที่บรรทุกในแต่ละวันเพิ่มขึ้นจาก 720 คน เป็นสูงสุด 12,808 คน ทั้งนี้ เส้นทางรถไฟสายนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาโลจิสติกส์ การพาณิชย์ การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมอื่นๆ ควบคู่ไปกับเส้นทางดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_56_Laos_China_y24.php

หนี้สาธารณะกัมพูชาแตะ 11.24 พันล้านดอลลาร์

รายงานหนี้สาธารณะกัมพูชาประจำปี 2023 โดยกระทรวงเศรษฐกิจและการคลัง (MEF) ซึ่งหนี้สาธารณะของกัมพูชาอยู่ที่ระดับ 11.24 พันล้านดอลลาร์ ที่ความเสี่ยงระดับต่ำสำหรับภาวะหนี้สาธารณะในปัจจุบัน โดยในรายงานระบุเสริมว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะร้อยละ 46 เป็นเงินสกุลดอลลาร์ เป็นสิทธิพิเศษถอนเงิน (SDR) ร้อยละ 19 เป็นเงินหยวนจีนร้อยละ 11 สกุลเงินเยนญี่ปุ่นร้อยละ 11 สกุลเงินยูโรร้อยละ 7 และสกุลเงินท้องถิ่น/สกุลเงินอื่นๆ ราวร้อยละ 6 ในจำนวนนี้ร้อยละ 99.5 หรือคิดเป็นมูลค่า 11.19 พันล้านดอลลาร์ เป็นหนี้สาธารณะภายนอกประเทศ ส่วนที่เหลือเป็นหนี้สาธารณะภายในประเทศ ซึ่งรายงานระบุว่าร้อยละ 64 ของหนี้สาธารณะเป็นการกู้ยืมจากพันธมิตรการพัฒนาในรูปแบบทวิภาคี ขณะที่ร้อยละ 36 มาจากพันธมิตรการพัฒนาพหุภาคี ตามมาด้วยส่วนหนี้สาธารณะภายในประเทศคิดเป็นร้อยละ 0.5 สำหรับในปี 2023 รัฐบาลกัมพูชาได้ลงนามในสัญญากู้ยืมเงินแบบผ่อนปรนดอกเบี้ยกับพันธมิตรการพัฒนามูลค่า 1.81 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่ากับ 1,339.22 ล้าน SDR คิดเป็นร้อยละ 79 ของเพดานที่กฎหมายอนุญาต โดยวัตถุประสงค์ของการกู้ยืมเงินส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาโครงการลงทุนสาธารณะในภาคส่วนสำคัญที่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501457412/cambodias-public-debt-stands-at-11-24-billion/

นายกฯ ฮุน มาเนต เสนอ 9 ข้อ ยกระดับภาคการท่องเที่ยวกัมพูชา

นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ได้เสนอแนะแนวทางทั้ง 9 ข้อ เพื่อยกระดับภาคการท่องเที่ยวกัมพูชา โดยได้กล่าวถึงในระหว่างการเปิดงานเทศกาลน้ำ ครั้งที่ 8 ในจังหวัดเสียมราฐ ซึ่งแนวทางทั้ง 9 ข้อ 1.รักษาสันติภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการพัฒนา 2.การรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การดำเนินนโยบายหมู่บ้าน-ตำบล 3.ร่วมมือกันพัฒนามาตรการต่างๆอ ภายใต้แนวคิด Dynamics of Stakeholder System เพื่อบรรลุเป้าหมายของโครงการพิเศษ 4.ให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำ โดยเฉพาะจังหวัดรอบแม่น้ำโขงและทะเลสาบ Tonle Sap เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว เสริมสร้างการเชื่อมโยง และปรับปรุงระบบขนส่ง 5.ส่งเสริมการผลิตสินค้าการท่องเที่ยวที่หลากหลาย เพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว 6.ปรับปรุง “วนอุทยานพนมกุเลน” ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ 7.เรียกร้องให้กระทรวงและสถาบันที่เกี่ยวข้องทั้งหมดวางยุทธศาสตร์ส่งเสริมการจัดงานต่างๆ 8.กระทรวงต่างๆ ร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อให้การเดินทางสะดวกและสะบาย และ 9. เรียกร้องให้กระทรวง สถาบัน หน่วยงานทุกระดับ รวมถึงภาคประชาชน ร่วมกันผลักดันโครงการต่างๆ ให้ประสำความสำเร็จ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501457623/pm-shares-nine-recommendations-to-enhance-tourism-sector/

ผู้ผลิตรถยนต์จีนจะต้องเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศไทยในปีนี้

สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ออกรายงานการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย เน้นการส่งเสริมการลงทุนที่แข็งแกร่งในปี 2567 ตามมาตรการ EV 3.0 มาตรการเหล่านี้กำหนดให้บริษัทที่นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อขายในประเทศไทยต้องเริ่มการผลิตในปีนี้ จากรายงานของ สศช. เกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 และแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2567 มีเนื้อหาส่วนที่เน้นแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยในปี 2566 จำนวนการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ใหม่สูงถึง 76,538 คัน เพิ่มขึ้น 695.9% เมื่อเทียบกับการจดทะเบียน 9,617 คันในปี 2565 การจดทะเบียนใหม่สำหรับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงแบบดั้งเดิมอยู่ที่ 481,609 คัน ลดลง 11.3% จาก 543,072 คัน ในปี 2565 ส่งผลให้สัดส่วนการจดทะเบียนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าใหม่ต่อยอดจดทะเบียนรถยนต์ทั้งหมดอยู่ที่ 11.6% ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจาก 1.5% ในปี 2565 สำหรับปี 2566 การจดทะเบียนใหม่สำหรับแบรนด์รถยนต์ EV คือ BYD (จีน) 30,467 คัน Neta (จีน) 12,777 คัน MG (จีน) 12,462 คัน เทสลา (สหรัฐอเมริกา) 8,206 คัน และ GWM (ORA) (จีน) 6,746 คัน ทั้งนี้ ค่ายรถยนต์เหล่านี้ ต้องเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยภายในปีนี้ โดยข้อมูลกำลังการผลิตรถยนต์ EVs ในประเทศไทยทั้งหมดมาจากผู้ผลิตรถยนต์จีน โดยแยกตามยี่ห้อ Neta 200,000 คัน, Changan: 100,000-200,000 คัน (กำลังการผลิตเริ่มต้น 100,000 คัน), BYD 150,000 คัน MG 100,000 คัน และ GWM 80,000 คัน หากกำลังการผลิตของโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่จัดตั้งขึ้นโดยประเทศต่างๆ สามารถเป็นไปตามเงื่อนไขของมาตรการจูงใจได้ ก็จะช่วยส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและส่วนประกอบไฟฟ้าที่สำคัญทั่วโลก

ที่มา : https://www.nationthailand.com/thailand/policies/40036474

‘เอเชีย อินไซเดอร์’ ชี้เวียดนามเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตแรง

จากรายงานของเอเชีย อินไซเดอร์ (Asian Insiders) เครือข่ายที่ปรึกษาด้านธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยว่าเศรษฐกิจเวียดนามอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจแบบไดนามิก ด้วยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มการขยายตัวจากปัจจัยสนับสนุนหลายประการที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจไปข้างหน้า โดยจากรายงานชี้ให้เห็นว่าเวียดนามเป็น 1 ใน 20 ประเทศทั่วโลกที่มีเศรษฐกิจขยายตัวเร็วที่สุดในโลก ในขณะเดียวกันประชากรเวียดนามมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 102 ล้านคน และมีขนาดเศรษฐกิจในปี 2567 อยู่ที่ 469 พันล้านเหรียญสหรัฐ ใหญ่เป็นอันดับที่ 35 ของโลก นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ได้แก่  Samsung, LG, Foxconn, Panasonic, Bosch, GE, Piaggio และ Yamaha ได้มีการจัดตั้งศูนย์วิจัยหรือฐานการผลิตอย่างเต็มรูปแบบ บ่งชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของเวียดนามที่จะก้าวไปสู่แหล่งนวัตกรรมและศูนย์กลางการผลิต

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/vietnam-remains-one-of-globe-s-rising-economies-asian-insiders-2260651.html

‘เวียดนาม’ เผยนิคมอุตสาหกรรม แรงขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ของประเทศ

นายเจิ๊น โกว๊ก เฟือง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุน กล่าวว่ากระทรวงฯ ให้ความสำคัญกับการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เซมิคอนดักเตอร์และอุตสาหกรรมใหม่ อย่างไรก็ดี ปัญหาทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและที่ดินยังเป็นข้อกังวลให้กับนักลงทุนต่างชาติ จึงควรเร่งแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน ทั้งนี้ CBRE Vietnam ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าค่าเช่าที่ดินนิคมอุตสาหกรรมในภาคเหนือ คาดว่าเพิ่มขึ้น 5-9%1 ต่อปี และในภาคใต้ 3-7% เนื่องจากความต้องการในกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนค่าเช่าคลังสินค้าสำเร็จรูป คาดว่าเพิ่มขึ้น 1-4% ในอีก 3 ปีข้างหน้า แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของธุรกิจต่างประเทศในเวียดนาม และยอดการจดทะเบียนของนักลงทุนต่างชาติรายใหม่ที่สูงขึ้น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/industrial-real-estate-emerges-out-of-storm/283065.vnp