เวียดนามเผยราคาข้าวทำสถิติสูงสุดรอบใหม่

ตามรายงานของกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท ระบุว่าราคาข้าวทำสถิติสูงสุดรอบใหม่ อยู่ที่ 567 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในขณะที่ราคายังคงปรับตัวสูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค อาทิ ไทย อินเดียและปากีสถาน สมาคมอาหารเวียดนาม (VFA) เปิดเผยว่าราคาข้าวขาวหัก 5% ส่งออกของเวียดนาม อยู่ที่ราว 513-517 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และราคาข้าวขาวหัก 25% อยู่ที่ราว 488-492 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับข้าวประเภทเดียวกัน พบว่าราคาข้าวของเวียดนามสูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศไทย 5-7 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และแพงกว่าทั้งอินเดียและปากีสถาน อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมมองว่าข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ช่วยกระตุ้นการส่งออกข้าวของเวียดนาม ตลอดจนผลบังคับใช้ของข้อตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรปและเวียดนาม (EVFTA) คาดว่าจะช่วยให้เวียดนามรุกตลาดยุโรป นอกจากนี้ นาย Dao The Anh รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพืชไร กล่าวว่าในปีนี้ จะเห็นแนวโน้มการเติบโตของการส่งออกข้าวในทิศทางที่ดี ทั้งในแง่ของมูลค่าและขีดความสามารถที่เหนือกว่าประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย

ที่มา : https://vov.vn/en/economy/vietnamese-rice-records-new-price-peak-841926.vov

“พาณิชย์” เร่งตั้งกองทุน FTA ช่วยเอกชนจากเปิดเสรีการค้า

คณะทำงานพัฒนากองทุนฯ เห็นชอบตั้ง “กองทุนเอฟทีเอ” มอบกรมเจรจาฯ เร่งสรุปแหล่งรายได้ก่อนเสนอ “จุรินทร์” พิจารณา ก่อนเข้าสู่กระบวนการจัดตั้งกองทุนตามกฎหมายต่อไป นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะทำงานพิจารณาแนวทางการพัฒนากองทุนช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผล กระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า ครั้งที่ 1/2564 ที่มีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สภาเกษตรกรแห่งชาติ และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยเข้าร่วม ว่า คณะทำงานฯ ได้พิจารณาข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนเอฟทีเอ ก่อนที่จะนำเสนอนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณา สำหรับข้อสรุปเกี่ยวกับการจัดตั้ง กำหนดให้ความช่วยเหลือจากกองทุน แบ่งเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่รูปแบบเงินจ่ายขาด เช่น ทุนวิจัยพัฒนา ทุนจัดหาที่ปรึกษา ทุนฝึกอบรม ทุนจัดกิจกรรมสนับสนุนการตลาด และรูปแบบเงินหมุนเวียน เช่น เงินลงทุนในสิ่งก่อสร้าง และค่าเครื่องมืออุปกรณ์ และในส่วนการดำเนินงาน มีข้อเสนอว่า กองทุนควรให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเกษตร ภาควิชาการ และธนาคารของรัฐ ในระดับพื้นที่ เป็นตัวกลางสำหรับประสานงานและเสนอคำขอรับความช่วยเหลือไปยังหน่วยบริหารกองทุนเอฟทีเอ ส่วนประเด็นเกี่ยวกับแหล่งรายได้เข้ากองทุนเอฟทีเอ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้เสนอว่า นอกจากเงินสนับสนุนจากภาครัฐแล้ว กองทุนควรจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ได้ประโยชน์จากเอฟทีเอสมทบเข้ากองทุนเพิ่มเติม เพื่อให้กองทุนสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน  ทั้งนี้ แนวคิดในการจัดตั้งกองทุนเอฟทีเอ เพราะมีเสียงเรียกร้องจากภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะภาคเกษตร ที่ขอให้มีกลไกช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเอฟทีเอ ให้สามารถปรับตัวรับมือกับการแข่งขันในตลาดการค้าเสรี อีกทั้งยังเป็นข้อแนะนำจากคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลง CPTPP ของรัฐสภา ที่เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเอฟทีเอด้วย

ที่มา: https://www.thansettakij.com/content/Macro_econ/471345

เอสเอ็มอีคนละครึ่ง ก็มารัฐเตรียมลดภาระรายย่อย

รัฐบาลเตรียมเปิดตัวโครงการ “SME คนละครึ่ง” หวังลดภาระต้นทุน เพิ่มศักยภาพรายย่อย ช่วยค่าใช้จ่ายสารพัด คาดเริ่มเปิดโครงการกลางปีนี้ รัฐบาลเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยเพิ่มเติม ในลักษณะร่วมกันจ่ายกับ SME (Co-payment) มีสัดส่วนตั้งแต่ 50-80% สำหรับค่าใช้จ่ายในการขอทดสอบผลิตภัณฑ์ จดทะเบียนหรือขอใบรับรองมาตรฐานต่างๆ และการปรึกษาทางธุรกิจ เช่น มาตรฐานการบัญชี มาตรฐานสินค้าเกษตร (มกอช.) มาตรฐานอาหาร (อย.)  ซึ่งที่ผ่านมาการขอรับบริการทางธุรกิจต่างๆ มีค่าใช้จ่ายสูง เป็นต้นทุนสำคัญของการประกอบการ และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของเอสเอ็มอีไทยด้วย โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดตัวโครงการ SMEs’ Co-payment ในกลางปีนี้ ซึ่งนอกจากจะลดภาระค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ เอสเอ็มอีไทยที่มีอยู่กว่า 3.1 ล้านราย สามารถตัดสินใจเลือกพัฒนาคุณภาพและขอรับมาตรฐานสินค้าและบริการที่ตรงความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรมแต่ละราย สร้างโอกาสใหม่ๆ ทางการตลาดด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมาตรฐานสากลด้วย นอกจากนี้แล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังได้มีการหารือเพื่อปรับปรุงโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Softloan) ให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้เข้าถึงซอฟต์โลนได้ง่ายและมีวงเงินกู้สูงขึ้น รวมทั้งแนวทาง asset warehousing เพื่อช่วยเหลือไม่ใช้ทรัพย์สินธุรกิจที่ยังมีศักยภาพต้องถูกยึดหรือปิดตัวลง ซึ่งรายละเอียดจะนำสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในเร็ววันนี้

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/829467

การส่งออกของสปป.ลาวไปยังไทยลดลงในเดือนมกราคม

มูลค่าการส่งออกสปป.ลาวไปยังไทยในเดือนมกราคมลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2020 ซึ่งเป็นผลมาจากข้อ จำกัด ที่กำหนดไว้เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด -19 จากข้อมูลกระทรวงพาณิชย์สปป.ลาว พบว่าในเดือนมกราคม 2563 ลาวมีรายได้ 135 ล้านดอลลาร์ ลดลงเหลือ 89 ล้านดอลลาร์ในเดือนมกราคมปีนี้ โดยมี ไฟฟ้าเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้น ๆ รองจากทองแดงและผลิตภัณฑ์ทองแดง ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า สินค้าทั่วไปและกล้องถ่ายรูป สินค้าอื่น ๆ

ที่มา : https://www.thestar.com.my/aseanplus/aseanplus-news/2021/03/04/lao-exports-to-thailand-decrease-in-january

การค้าข้ามพรมแดนระหว่างไทยและกัมพูชาลดลงร้อยละ 3.15

การค้าข้ามพรมแดนของไทยคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นเป็นร้อยละ 3 ถึงร้อยละ 6 ในปีนี้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้แก่ประชาชน ร่วมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยภาพรวม ซึ่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศระบุว่าการค้าข้ามพรมแดนมีแนวโน้มที่จะสร้างรายได้ราว 1.36 ถึง 1.40 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1.31 ล้านล้านบาทในปี 2020 โดยสถานการณ์การค้าชายแดนในปีที่แล้วลดลงร้อยละ 1.7 จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการแพร่ระบาดและการปิดด่านชายแดนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งการค้าชายแดนของไทยกับ 4 ประเทศเพื่อนบ้านมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 760 พันล้านบาทลดลงร้อยละ 8.01 เมื่อเทียบรายปี โดยการค้าระหว่างกัมพูชาอยู่ที่ 156 พันล้าน ลดลงร้อยละ 3.15 มาเลเซียที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดโดยมีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวม 2.46 แสนล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.1 ตามด้วย สปป.ลาว ที่ 190 พันล้าน ลดลงร้อยละ 3.85 และเมียนมาที่ 165 พันล้าน ลดลงร้อยละ 14.7

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50819149/cross-border-trade-between-thailand-and-cambodia-down-by-3-15-percent/

คลังส่องหาทางผ่อนวินัยการเงินการคลัง หนี้สาธารณะปริ่มคอหอยแค่เฉียดเส้นตาย

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการระบาดไวรัสโควิดระลอกใหม่ ทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบในวงกว้างนั้น ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ศึกษาแผนระยะสั้นและแผนระยะยาว เพื่อรองรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ที่ต้องรับกับความผันผวนของเศรษฐกิจในอนาคต การกระตุ้นเศรษฐกิจยังต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวและฟื้นตัว ดังนั้นต้องพิจารณาผลของมาตรการต่างๆที่รัฐทยอยออกมาก่อนหน้านี้ ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด แล้วจะมีมาตรการใหม่ๆ ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปอย่างไร เช่น มาตรการคนละครึ่ง จะสิ้นสุดเดือนมี.ค.นี้ โครงการเราชนะ สิ้นสุดการใช้เงินเดือนพ.ค. แล้วจะมีมาตรการใดต่ออีก หรือพอแล้ว เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว ในปีงบประมาณ 2564 มั่นใจว่าระดับหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งเป็นหนึ่งในกรอบความยั่งยืนทางการคลังของรัฐบาล จะไม่เกิน 60% ของจีดีพี ตามที่ได้กำหนดไว้แน่นอน แต่อาจขึ้นไปแตะที่ระดับ 58-59% จากก่อนหน้านี้ที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ระบุว่า ระดับหนี้สาธารณะหลังกู้เงินตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) 1 ล้านล้านบาทเต็มจำนวนแล้ว จะขึ้นไปอยู่ระดับ 57% ของจีดีพี”.

ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/business/finance-banking/2041405

การค้าระหว่างกัมพูชาและไทยหดตัวต่อเนื่อง

การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและไทยในช่วงต้นปี 2021 มีการหดตัวลงอย่างต่อเนื่องเนื่อง จากผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 โดยการค้าระหว่างสองประเทศมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 653 ล้านดอลลาร์ในเดือนมกราคม 2021 ซึ่งลดลงร้อยละ 10.6 เมื่อเทียบเป็นรายปีจากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ของไทย โดยกัมพูชาส่งออกสินค้าไปยังไทยในเดือนมกราคมมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 113 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบเป็นรายปี ในขณะที่กัมพูชานำเข้าสินค้าจากไทย 540 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 11.7 เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมปี 2020 ซึ่งปีที่แล้วการค้าทวิภาคีระหว่างสองประเทศมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 7.236 พันล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้วลดลงร้อยละ 23 จากปี 2019 โดยขณะนี้ความพร้อมของวัคซีนโควิด-19 กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะมีความเคลื่อนไหวในการฟื้นตัวของกิจกรรมการค้าภายในประเทศที่ดีขึ้นในช่วงปี 2021

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50818390/cambodia-thailand-trade-continues-contraction/

ค้าทวิภาคี ไทย – เมียนมา พร้อมดำเนินการหลังไทยเปิดชายแดน

การค้าที่ประตูพรมแดนชั่วคราวพิเศษเมืองหินขุนบริเวณชายแดนระหว่างเมียนมาร์และไทยกลับมาดำเนินการอีกครั้งในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 64 หลังจากฝ่ายไทยเปิดด่านอีกครั้ง ประตูด่านมุต่อง  (Mawtaung) ในเขตตะนาวศรีประตูพรมแดนหินขุนในประเทศไทยถูกหลายครั้งเนื่องจากการระบาดของ COVID -19 ไทยตัดสินใจเปิดประตูอีกครั้งในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ แต่เริ่มการค้าได้ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในเมียนมา การค้าทวิภาคีเมียนมาเปิดประตูชายแดนมะแว้ง แต่ไทยเปิดประตูพรมแดน Hsinkhu ชั่วคราวซึ่งหลังจากปิดบ่อยครั้งบ่อยครั้งจากการระบาดของโควิด -19

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/bilateral-trade-resumes-after-thailand-reopened-its-border-gate

จุรินทร์ เผยค้าชายแดนไทย-เมียนมา ยังไม่สะดุด ชี้สัญญาณส่งออกไทยดีต่อเนื่อง

กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าในส่วนการประท้วงในเมียนมาเมื่อวานนี้ ยังไม่ได้รับผลกระทบการส่งสินค้าข้ามแดนระหว่างไทยกับเมียนมา ไม่ว่าจะเป็นที่ด่านระนองด่านพุน้ำร้อน หรือด่านเจดีย์สามองค์ที่กาญจนบุรี ทั้งนี้ เมื่อวานสถานการณ์ยังปกติยกเว้นที่ด่านแม่สาย ท่าขี้เหล็ก จุดเดียวที่มีการชุมนุมของผู้ชุมนุมในฝั่งเมียนมา การขับรถข้ามแดนส่งสินค้า อาจชะลอตัวบ้าง แต่เนื่องจากผู้ส่งออกของไทยคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้าแล้ว จึงได้เร่งการส่งสินค้าข้ามแดนในช่วงเช้าไปได้จำนวนมาก และการจราจรทางด้านการส่งสินค้ายังเคลื่อนตัวไปได้ “ในภาพรวมยังถือว่ายังอยู่ในสถานการณ์ปกติ จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่กระทรวงติดตามใกล้ชิด ในอนาคตถ้ามีปัญหาอะไรจะเรียนให้ทราบต่อไป”

ที่มา : https://www.matichon.co.th/economy/news_2592463

สรรพสามิต เร่งรื้อภาษีรถยนต์ ฟื้นกองทุนแบตฯ

สรรพสามิต เตรียมฟื้นกองทุนแบตฯ พร้องเร่งทบทวนโครงสร้างภาษีรถยนต์ทั้งระบบ หวังดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ดันไทยเป็นศูนย์กลางฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เผย เตรียมรื้อการจัดตั้งกองทุนแบตเตอรี่ ขึ้นมาใหม่ แนวคิดในการจัดตั้งกองทุนเกิดขึ้นตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว โดยจะมีการทบทวนแนวทางให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในปัจจุบันที่พัฒนาก้าวหน้าไปมาก ล่าสุดได้มีการหารือกับผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าชั้นนำของประเทศ พบกว่า การผลิตแบตเตอรี่มีความก้าวหน้าไปจากเดิมมากๆ เพราะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพียงปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์บางชนิด ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นแบตเตอรี่ในบ้านได้ หรือเปลี่ยนแค่แผงเซลไฟฟ้าบางชิ้น ก็สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม แนวทางในการจัดตั้งกองทุนแบตเตอรี่ต้องสอดคล้องกับแนวทางส่งเสริมการลงทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งขณะนี้กรมอยู่ระหว่างการพิจารณาการปรับโครงสร้างภาษีใหม่  เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาใช้ประเทศไทย เพื่อดันไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค

ที่มา: https://www.thansettakij.com/content/money_market/469660