งาน Smart Farm Korea 2024 ต้อนรับนักธุรกิจชาวเมียนมาร์

องค์การส่งเสริมการค้าเมียนมาร์ ระบุว่า Smart Farm Korea 2024 (SFKOREA) จะจัดขึ้นที่ Changwon Convention Center (CECO) ระหว่างวันที่ 12 ถึง 14 มิถุนายน 2567 และนักธุรกิจชาวเมียนมาร์จะได้รับเชิญให้เข้าร่วม เพื่อยกระดับภาคการเกษตรและปศุสัตว์ เพื่อแนะนำการทำฟาร์มอัจฉริยะ เทคโนโลยี และช่วยให้เกษตรกรชั้นนำหันมาใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการเกษตรและปศุสัตว์แห่งอนาคต อย่างไรก็ดี งานแสดงสินค้าจะประกอบด้วยบูธ 400 บูธจาก 120 บริษัท และคาดว่าจะดึงดูดผู้เข้าชมได้ประมาณ 20,000 คน สิ่งของที่จัดแสดงประกอบด้วย เกษตรกรรมแห่งอนาคต (ระบบอัตโนมัติ) สิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์โรงงานอัจฉริยะ การเกษตรในเมือง การกลับสู่เกษตรกรรมหมู่บ้านในชนบท วัสดุและอุปกรณ์ปศุสัตว์เกษตร ผลิตผลทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์อาหาร บรรจุภัณฑ์ การจัดจำหน่าย ระบบโลจิสติกส์ และการศึกษาในด้าน ICT, การฝึกปฏิบัติภาคสนามอัจฉริยะ, การจัดการโรคพืชและสัตว์, การศึกษาข้อมูลการเกษตรและชนบท เป็นต้น นอกจากนี้ นักธุรกิจชาวเมียนมาร์ที่สนใจเทคโนโลยีฟาร์มอัจฉริยะและผลิตภัณฑ์ของเกาหลียังสามารถเข้าร่วม Business Matching ของผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติเพื่อยกระดับความเป็นอัจฉริยะ ภาคเกษตรกรรมในอนาคต

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/smart-farm-korea-2024-welcomes-myanmar-businesspersons/

ธนาคาร SME Bank กัมพูชา พร้อมสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวเสียมราฐ

ธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของรัฐกัมพูชา (SME Bank) พร้อมสนับสนุนด้านเงินทุนแก่ผู้ประกอบการ โดยได้เริ่มให้เงินทุนแก่ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวในจังหวัดเสียมราฐ ร่วมกับการให้ความร่วมมือระหว่าง SME Bank, สมาคมการท่องเที่ยวกัมพูชาในเสียมราฐ, สมาคมชมรมการท่องเที่ยวเสียมราฐ, สมาคมผู้ประกอบการ รุ่นเยาว์แห่งกัมพูชา และสมาคมผู้ประกอบการสตรีเสียมราฐ ซึ่งได้ร่วมกันจัดสัมมนา โดยมีผู้ประกอบการธุรกิจด้านการท่องเที่ยวกว่า 160 ราย ทั่วจังหวัดเสียมราฐเข้าร่วมงาน สำหรับวิสาหกิจในภาคการท่องเที่ยวเสียมราฐ ซึ่งให้บริการโดยตรงแก่นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ สามารถสมัครขอสินเชื่อได้วงเงินสูงสุดถึง 600,000 ดอลลาร์ พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.50 ต่อปี ภายใต้งบประมาณจัดสรรของรัฐบาล ที่ได้จัดสรรเงินเบื้องต้นจำนวน 50 ล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการดังกล่าว

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501415862/sme-bank-boosts-siem-reap-tourism/

กัมพูชาส่งออกไปยังอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นกว่า 112%

การส่งออกของกัมพูชาไปยังอินโดนีเซียและอินเดียเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก สำหรับในช่วงเดือน ม.ค.-พ.ย. 2023 คิดเป็นการเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 111.7 และ 55.1 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2022 โดยสหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ของกัมพูชาคิดเป็นกว่าร้อยละ 39.7 ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นการปรับตัวลดลงร้อยละ 0.9 เทียบกับสัดส่วนการนำเข้าของสหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันของปี 2022 ที่สัดส่วนร้อยละ 40.6 ของการส่งออกกัมพูชาในช่วงปี 2022 รายงานกรมศุลกากรและสรรพสามิต (GDCE) ขณะเดียวกันการเติบโตด้านการส่งออกไปยังอินโดนีเซียและอินเดียกลับขยายตัวอย่างมาก สะท้อนจากการส่งออกของกัมพูชาไปยังอินโดนีเซียมีมูลค่าสูงถึง 70.56 ล้านดอลลาร์ และส่งออกไปยังอินเดียมีมูลค่าสูงถึง 264.5 ล้านดอลลาร์ โดยทางฟากฝั่งรัฐบาลกัมพูชาพร้อมดันภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มการเชื่อมต่อทางอากาศโดยตรงระหว่างอินเดียและกัมพูชา ภายในปี 2024 และการขยายทางหลวงไตรภาคี อินเดีย-เมียนมา-ไทย (IMT) ไปทางตะวันออก ด้วยความช่วยเหลือด้านเงินกู้จากอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการค้าระหว่างทั้งสองประเทศได้เป็นอย่างมากในอนาคต

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501415859/cambodias-exports-to-indonesia-jump-112-percent/

เรือคอนเทนเนอร์กว่า 600 ลำมามาถึงและมีการค้าขายที่ท่าเรือย่างกุ้งในปี 2566

การท่าเรือเมียนมาร์ (MPA) ระบุว่า ในปี 2566 ตลอดทั้งปีมีเรือมากกว่า 600 ลำเดินทางมาถึงท่าเทียบเรือระหว่างประเทศย่างกุ้งเพื่อทำการค้า โดย MPA ได้ขยายการเดินทางตู้คอนเทนเนอร์มากขึ้นเพื่อตอบสนองข้อกำหนดในการส่งออกและนำเข้า ทั้งนี้ เรือขาเข้าตลอดทั้งปี 2566 ตั้งแต่เดือน มกราคม-ธันวาคม มีเรือเข้าเทียบท่าทั้งสิ้น รวม 629 ลำ ซึ่งประกอบด้วย สายการเดินเรือระหว่างประเทศ ได้แก่ Sealand Maersk Asia, SITC, MSC, Samudera, Ever Green, PIL, BLPL, RCL, Land and Sea, CMA-CGM, COSCO, IAL, ONE, Ti2 Container และ BAY เป็นต้น อย่างไรก็ดี การท่าเรือเมียนมาร์ ได้แจ้งให้ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าของเมียนมาร์ทราบว่ามีเรือ 49 ลำจะเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือย่างกุ้งในเดือนมกราคม 2567 นอกจากนี้ ท่าเรือย่างกุ้งให้บริการด้วยท่าเทียบเรือ 27 ท่าซึ่ง สามารถรองรับเรือที่ มีความยาวได้ถึง 200 เมตรและมีน้ำหนัก 3,000 ตัน ท่าเรือติลาวามีท่าเทียบเรือ 19 ท่าซึ่งสามารถ รองรับเรือที่ มีความยาวสูงสุด 250 เมตรและน้ำหนัก 3,500 ตัน

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/over-600-container-ships-arrive-and-trade-at-yangon-port-in-2023/#article-title

เขตการค้าเมียวดีมีมูลค่าการค้ากว่า 8.985 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 18 วันของเดือนธันวาคม

ตามรายงานสถิติของกระทรวงพาณิชย์เมียนมาร์ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมถึง 18 ธันวาคม เขตการค้าเมียวดีสามารถส่งออกมูลค่า 1.976 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และการนำเข้ามูลค่า 7.009 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมมูลค่าการค้า 8.985 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ดี ตามการรายงานของกระทรวงฯ พื้นที่การค้าข้ามพรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศ (เมียนมาร์-ไทย) ได้ให้ความสำคัญกับกระบวนการตรวจสอบสินค้าเพื่อความสะดวกในการส่งออกโดยเฉพาะสินค้าประมงผัก หัวหอม และพริก ที่เน่าเสียง่าย และปัจจุบันผลิตภัณฑ์อาหารของไทยมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย ส่งผลให้ความต้องการเพิ่มขึ้น ตลอดจนการส่งออกวัตถุดิบอาหาร ทั้งนี้ ในบรรดาสินค้าส่งออกทั้งหมดของเมียนมาร์ พริก หัวหอม และผลิตภัณฑ์ CMP เป็นสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกมากที่สุด ด้านสินค้านำเข้ามากที่สุด ได้แก่อะไหล่รถจักรยานยนต์ กระดาษพิมพ์ สบู่ วัสดุเหล็กและเหล็กกล้า แบตเตอรี่แห้ง ชุดผ้าฝ้าย ยางและท่อยาง เครื่องจักรและอุปกรณ์

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myawaddy-trade-zone-made-us8-985million-trade-over-18-days-of-december/

ไทยตั้งเป้ารายได้จากการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท ในปี 2567

รัฐบาลมุ่งเน้นส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้
3.5 ล้านล้านบาท ในปี 2567 ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวตลอดทั้งปี โดยข้อมูลในปี 2566 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวมากกว่า 27 ล้านคน นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงธันวาคม 2566 พบว่า มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงถึง 27.25 ล้านคน นักท่องเที่ยวที่สำคัญมาจากมาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวในลำดับต้นๆ ของตัวเลขนักท่องเที่ยวในปีที่ผ่านมา สำหรับปี 2567 รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวโดยเน้นสถานที่ยอดนิยมและไม่ค่อยมีคนรู้จัก โดยตั้งเป้ารายได้แบ่งเป็นการท่องเที่ยวในประเทศ 1 ล้านล้านบาท และการท่องเที่ยวต่างประเทศ 2.5 ล้านล้านบาท การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และหอการค้าไทยกำลังส่งเสริมจังหวัดแพร่ ลำปาง และนครสวรรค์ ในด้านศักยภาพการท่องเที่ยวที่ยังไม่ได้ใช้ ททท. เน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงบวกของนโยบายปลอดวีซ่าสำหรับประเทศต่างๆ เช่น คาซัคสถาน จีน และรัสเซีย โดยมีแผนจะขยายสิทธิประโยชน์ให้กับนักท่องเที่ยวจากประเทศเหล่านี้ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการการท่องเที่ยวยังเรียกร้องให้รัฐบาลให้การสนับสนุนเพิ่มเติม เน้นย้ำถึงความสำคัญทางเศรษฐกิจของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาค เช่น นครราชสีมา ซึ่งขึ้นชื่อในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกถึงสามแห่ง

ที่มา: https://thainews.prd.go.th/en/news/detail/TCATG240101171841247

รัฐบาล สปป.ลาว ‘ตั้งเป้าลดปัญหาเงินเฟ้อในปี 2567’

รายงานล่าสุดจากสำนักงานสถิติลาวเผยว่า ในเดือนธันวาคม 2566 อัตราเงินเฟ้อ สปป.ลาว อยู่ที่ 24.4% แม้ว่าจะปรับลดลงเล็กน้อยจาก 25.24% ในเดือนก่อน โดยเงินเฟ้อใยหมวดหมู่โรงแรมและร้านอาหารมีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบเป็นรายปีที่ 35.9% ตามมาด้วยหมวดเสื้อผ้าและรองเท้า การรักษาพยาบาล และของใช้ในครัวเรือน สาเหตุหลักเกิดจากเงินกีบที่อ่อนค่าลง ผลผลิตในประเทศปรับลดลง มูลค่าการนำเข้าที่สูง และความยากลำบากในการควบคุมราคาในตลาดท้องถิ่น ทำให้ความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมราคาสินค้ายังเผชิญกับความท้าทาย ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่กำลังดำเนินอยู่ ธนาคารแห่งลาว (BOL) ให้คำมั่นที่จะใช้นโยบายการเงินเข้มงวด โดยมุ่งเน้นที่การรักษาเสถียรภาพของค่าเงินกีบ ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการควบคุมต้นทุนสินค้าและบริการ ซึ่งสอดคล้องกับแผนของรัฐบาลที่จะลดอัตราเงินเฟ้อลง 9% ในปี 2567 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26-27 ธันวาคม 2566 นายกรัฐมนตรี สอนไซ สีพันดอน ได้สั่งการให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับปรุงระบบการจัดเก็บรายได้ให้ทันสมัย ​​ระบุแหล่งรายได้ใหม่ และลดการรั่วไหลทางการเงิน นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงกฎระเบียบด้านเงินตราต่างประเทศ เพิ่มรายได้จากการส่งออก และดึงดูดการลงทุนเพื่อรักษาเสถียรภาพของมูลค่าเงินกีบและลดอัตราเงินเฟ้อ

ที่มา: https://laotiantimes.com/2023/12/29/government-targets-lower-inflation-rates-in-2024/

‘เวียดนาม’ เผยภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 3.2%

สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) เปิดเผยว่าในปีที่แล้ว การเติบโตของมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูป เพิ่มขึ้น 3.62% การผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 3.79% การจัดการน้ำและการบำบัดของเสียเพิ่มขึ้น 5.18% แต่ว่าภาคการทำเหมืองแร่ลดลง 3.17% ทั้งนี้ ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (IIP) เพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี เป็นผลมาจากการเติบโตของผลิตภัณฑ์พลาสติก เคมีภัณฑ์และการทำเหมืองแร่โลหะ เป็นต้น

ที่มา : https://english.thesaigontimes.vn/industry-sees-3-2-growth-in-added-value/

‘เวียดนาม’ ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 12.6 ล้านคน โกยรายได้พุ่ง 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 66

จากรายงานทางสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) ระบุว่าผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศไปยังเวียดนามในเดือน ธ.ค. มีจำนวนราว 1.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 93.9% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยหากพิจารณาทั้งปีนี้ พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเยือนเวียดนาม จำนวนรวมทั้งสิ้น 12.6 ล้านคน สูงกว่าตัวเลขในปี 2565 กว่า 3.4 เท่า และยังเกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ก่อนหน้าที่ 8 ล้านคน อย่างไรก็ดี ตัวเลขของนักท่องเที่ยวดังกล่าวยังคงมีสัดส่วนเพียง 70% ของตัวเลขในปี 2562 ช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ รายได้จากกิจกรรมการท่องเที่ยวในปี 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 52.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องมาจากมีการจัดกิตกรรมทางด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรมและการกีฬาต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/vn-welcomed-12-6-million-foreign-tourists-revenue-hits-1-5b-in-2023-2233632.html

การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในเมียนมาร์ทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าพุ่งสูงขึ้น

จากการสำรวจต้นทุนการขนส่งสินค้าจากคนขับรถบรรทุก และพ่อค้า พบว่าต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องมาจากความท้าทายในการจัดหาเชื้อเพลิง แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าระหว่างย่างกุ้งและพะสิมจะเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันต้นทุนระหว่างย่างกุ้งและฮีนตาดายังคงทรงตัว อย่างไรก็ดี ปัญหาดังกล่าวได้ส่งผลต่อต้นทุนการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น การขนส่งอ้อยจากรัฐฉานไปยังย่างกุ้งมีค่าใช้จ่ายระหว่าง 130-170 จ๊าดต่อ viss ขึ้นอยู่กับระยะทาง ในทางกลับกันการจัดส่งสินค้าที่เน่าเสียง่าย เช่น กะหล่ำปลีและมะเขือเทศมีราคาอยู่ที่ 200 จ๊าดต่อ viss เพื่อการจัดส่งที่รวดเร็วค่าใช้จ่ายในการขนส่งหัวหอมจากมยี่นชานไปยังย่างกุ้งได้เพิ่มขึ้นเป็น 155 จ๊าดต่อ viss เพื่อการจัดส่งที่รวดเร็ว ในทางกลับกันการขนส่งหัวหอมจากเซะพยูไปยังย่างกุ้งจะมีราคาอยู่ที่ 120 จ๊าดต่อ viss สำหรับการจัดส่งแบบมาตรฐาน นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการขนส่งพริกจากย่างกุ้งไปยังเมียวดี เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 175 จ๊าดต่อ viss เป็น 550 จ๊าดต่อ viss เนื่องจากมีการปิดถนน และมีสิ่งกีดขวางถนนตลอดเส้นทาง ทำให้มีเพียงยานพาหนะขนาดเล็กเท่านั้นที่สามารถผ่านสถานการณ์ดังกล่าวได้ ส่งผลให้มีข้อจำกัดในรอบการจัดส่งพริก

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/fuel-shortage-drives-commodity-transport-costs-upsurge/