ทยควง 4 ชาติร่วม’China-Asean Forum’ หวังผนึกกำลังร่วมกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว

ระหว่างวันที่ 19-21 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ณ มณฑล กวางสี  เมืองหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้จัดการประชุมด้านวัฒนธรรมจีน-อาเซียน ครั้งที่ 14 “The 14 th  China-Asean Cultural Forum” เพื่อสร้างแพลตฟอร์มสำหรับ การสื่อสารเชิงลึกและการคิดเชิงปะทะสำหรับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและความร่วมมือ ด้านการท่องเที่ยวระหว่างจีน – อาเซียน โดยมีตัวแทนภาครัฐบาล ทั้งจีน อีก 5 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย ลาว กัมพูชา เมียนมา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และภาคเอกชน ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจีน-อาเซียน เพื่อแบ่งปันแนวปฏิบัติในการพัฒนาอุตสาหกรรมวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ด้านรองผู้ว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและศิลปะของกัมพูชาเชื่อว่า “One Belt One Road” ไม่เพียง แต่จะส่งเสริม การบูรณาการและการพัฒนาของจีนและอาเซียน แต่ยังส่งเสริมวัฒนธรรมเอเชียไปทั่วโลก “One Belt One Road” ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศในเอเชีย

ที่มา : https://www.ryt9.com/s/nnd/3045081

พาณิชย์เร่งอัพเกรดเอฟทีเอ

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมกำลังอยู่ระหว่างการ เตรียมความพร้อมสำหรับการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างอาเซียนกับคู่เจรจา หลังจากที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้มีมติให้อาเซียนไปเจรจากับคู่เจรจาเพิ่มเติม หลังจากที่เอฟทีเอจับคู่เจรจาหลายกรอบ ทั้งอาเซียน-จีน, อาเซียน-อินเดีย, อาเซียน-เกาหลีใต้ และอาเซียน-ออสเตรเลียนิวซีแลนด์ ได้มีผลบังคับใช้มานานแล้ว และยังไม่มีการปรับปรุงความตกลง ยกเว้นอาเซียน-ญี่ปุ่น ที่ได้มีการอัพเกรดเอฟทีเอไปแล้ว ขณะนี้กำลังรอการบังคับใช้

ที่มา : https://www.ryt9.com/s/tpd/3041888

เอกชนชี้ตลาดโลว์คอสต์ไทยโตทะลุ 20%

ไทยเวียดเจ็ต เผยว่าปี 62 เป็นอีกปีที่สายการบินต้นทุนต่ำ (Low-cost Airline) เติบโตอย่างคึกคัก สวนทางตลาดท่องเที่ยวไทยที่เติบโตลดลงมาโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติถือว่าไม่ค่อยคึกคัก ส่งผลให้ไทยเวียดเจ็ตปรับเป้าการเติบโตจาก 10% เป็น 20% ในปีนี้ ทั้งนี้คาดว่าปริมาณผู้โดยสารทั้งปีจะอยู่ที่ 2.4 ล้านคน เติบโตจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 2.1 ล้่านคน ตลาดศักยภาพเกิดใหม่เป็นขุมทรัพย์และเป้าหมายการทำตลาด คืออินเดีย ในรอบ 10 ปีข้างหน้าผู้โดยสารจากอินเดียจะไหลทะลักไปทั่วโลกรวมถึงเข้ามาในไทยด้วย ทั้งนี้ส่วนในรอบ 5-10 ปีนั้นสายการบินโลว์คอสต์จะพุ่งเป้าไปในกลุ่มประเทศ CLMV โดยเฉพาะเวียดนามซึ่งมีดีมานต์ประชากรมากกว่า 70 ล้านคน ดังนั้นจึงสนใจเปิดเส้นทางบิน ไทย-ย่างกุ้ง (เมียนมา) และ ไทย-สปป.ลาว จากปัจจุบันมีเส้นทางบินแค่ ไทย-เวียดนาม รายงานข่าวกระทรวงคมนาคมระบุว่า ตลาดอินเดียมีการเติบโตเร็วที่สุดในโลก เฉลี่ย 20% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 61 ขยายตัว 18% ทิ้งห่างเจ้าตลาดจีนอย่างมากซึ่งเติบโตเพียง 11% ในปีก่อน ดังนั้นคาดว่าปริมาณผู้โดยสารของอินเดียจะมีมากกว่า 520 ล้านคนในปี 2037 และเติบโตต่อเนื่องมากกว่า 10% ในอีกหลายปี

ที่มา : https://www.thaipost.net/main/detail/45720

สปป.ลาว-ไทย ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิตอลสำหรับอุตสาหกรรม

สปป.ลาวและไทยได้ตกลงที่จะร่วมมือในการประยุกต์ใช้และพัฒนาเทคโนโลยีดิจิตอลเพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4  – อุตสาหกรรม 4.0 อธิบดีกรมเทคโนโลยีดิจิตอล สปป.ลาว กล่าวว่าบทบาทของพวกเขาคือการจัดการพัฒนาส่งเสริมและให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลและธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ทั่วประเทศ รวมทั้งกำหนดกลยุทธ์และนโยบายเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล กระทรวงได้อำนวยความสะดวกให้หน่วยงานและสถาบันในการวิจัยและพัฒนาเครื่องมือสำหรับการจัดการสาธารณะและการบริหารเพื่อประโยชน์สูงสุดของเทคโนโลยีดิจิตอล ได้เซ็นสัญญากับหน่วยงานเพื่อทำการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับประโยชน์ของเทคโนโลยีดิจิตอลเพื่อการเกษตรและการพัฒนาอุตสาหกรรมในสปป.ลาวตามการใช้งานของอุตสาหกรรม 4.0 ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวทั้งสองฝ่ายจะเผยแพร่และส่งเสริมการประยุกต์ใช้การวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิตอลรวมทั้งแบ่งปันประสบการณ์ในสาขาที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งจะใช้เทคโนโลยีดิจิตอลเป็นเครื่องมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมและความทันสมัย พร้อมกับการปรับปรุงคุณภาพการบริการและบริหารของรัฐบาล

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/laos-thailand-agree-digital-tech-cooperation-industry-103704

อาเซียน-จีน หารือเปิดตลาดสินค้า-ลงทุนเพิ่มเติม ไทยเสนอจีนหนุนเชื่อมเส้นทางคุนหมิง-เชียงราย เพิ่มโอกาสการค้า

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีน และอาเซียน-ฮ่องกง โดยระบุว่าจากการหารือระหว่างอาเซียนกับจีนนั้น เนื่องจากมีข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ตั้งแต่ปี 2548 มูลค่าการค้าระหว่างอาเซียน-จีน อยู่ที่ระดับดับ 4.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าจีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของอาเซียน โดยจะยกระดับความร่วมมือในอีก 3 เรื่องสำคัญ คือ 1.การเปิดตลาดสินค้าเพิ่มเติม 2.การปรับปรุงกฎระเบียบเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้าให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น เพื่อรองรับกับการค้ายุคใหม่ และ 3.การเตรียมเปิดเสรีการลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งทางจีนมีกองทุนสำหรับช่วยสนับสนุนการดำเนินการของอาเซียนด้วย และที่ผ่านมาสนับสนุนเงินกองทุนแก่อาเซียน 300 ล้านหยวน โดยจะเพิ่มอีก 50 ล้านหยวน ในโครงการต่างๆ เช่น โครงการแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการท่องเที่ยวในอาเซียน โครงการฝึกอบรมผู้ประกอบการรวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องกฎระเบียบถิ่นกำเนิดสินค้า เป็นต้น ทางการไทยได้เสนอใช้เงินจากกองทุนของจีนใน 3 โครงการสำคัญ คือ 1.โครงการเส้นทาง R3A ซึ่งเชื่อมเส้นทางระหว่างคุณหมิงกับเชียงราย โดยได้เสนอเรื่องนี้เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าระหว่างกัน เป็นการค้าข้ามพรมแดนที่จะเป็นประโยชน์กับไทยต่อไปในอนาคต 2.โครงการพัฒนานักธุรกิจรุ่นใหม่ และ 3.โครงการแพลตฟอร์มสำหรับการค้าและนักธุรกิจรุ่นใหม่

ที่มา: https://www.ryt9.com/s/iq03/3039204

ดีไอทีพี เปิดเวทีรวมกลุ่มผู้นำเศรษฐกิจ CLMVT

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ คณะกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (ที่ 3 จากซ้าย)เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “CLMVT PLUS EXECUTIVE PROGRAM ON NEW ECONOMY 2019” เวทีแลกเปลี่ยนกลยุทธ์จาก 69 ผู้นำทางเศรษฐกิจของกลุ่มอาเซียน เพื่อส่งเสริมนโยบายในการสร้างเครือข่ายผู้นำทั้งภาครัฐและเอกชน ในการสร้างแนวคิดและความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับการยกระดับศักยภาพธุรกิจในภูมิภาค โดยมีนายวิทยากร มณีเนตร รองอธิบดีกรมส่งเสริม การค้าระหว่างประเทศ(คนที่ 2 จากซ้าย) และนายนันทพงษ์    จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่(NEA) (คนที่ 1 จากซ้าย) ร่วมพิธีเปิด สำหรับกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมมิลเลนเนียมฮิลตัน กรุงเทพฯ

ที่มา : https://www.ryt9.com/s/prg/3035058

DEMCO เดินหน้าขยายธุรกิจใน CLMV พร้อมชิงงานใหม่ต่อเนื่อง แม้ตุน Backlog ได้แล้วกว่า 3 พันลบ.

บมจ.เด็มโก้ (DEMCO) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการขยายธุรกิจไปยังประเทศ CLMV ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนามมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศมีการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก ถือเป็นโอกาสในการเข้าไปบุกตลาด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้รับงานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า และสถานีไฟฟ้าย่อยมาแล้ว เพื่อเพิ่มฐานรายได้ และกระจายความเสี่ยงธุรกิจต่อไป นอกจากนี้ยังมีแผนจะยื่นประมูลงานใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากโครงการทั้งภาครัฐและเอกชนที่เปิดให้ยื่นประมูลราว 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ล่าสุดได้งานโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินมูลค่า 958.078 ล้านบาท ส่งผลให้มีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.3 พันล้านบาทเป็น 3.2 พันล้านบาท สำหรับงานโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินดังกล่าวนั้น บริษัทได้เข้าทำสัญญากับกิจการร่วมค้าเอดับบลิวดี ให้ดำเนินการงานออกแบบวิศวกรรม จัดหา ก่อสร้าง โครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 2 ของบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (ครอบคลุมถนนสายหลัก สายรอง ถนนโครงข่ายและซอย พื้นที่เขตดินแดง วัฒนา ห้วยขวาง สะพานสูง หนองจอก รวมถึงพื้นที่บางส่วนของเขตสวนหลวง มีนบุรี ลาดกระบัง ราชเทวี คลองเตย วังทองหลาง บางกะปิ ประเวศ คลองสามวา ) ระยะทางรวม 121 กิโลเมตร มีระยะเวลาในการก่อสร้างรวม 2 ปี

ที่มา: https://www.ryt9.com/s/iq05/3030389

รมว.คลังมั่นใจ GDP ปีนี้เติบโตได้ถึง 3%

รมว.คลัง มั่นใจ GDP ปีนี้ยังโตได้ร้อยละ 3 เตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 3.16 แสนล้านบาท เข้า ครม. พรุ่งนี้ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของปี 2562 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 นั้น มองว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ไม่ได้ต่ำเกินความคาดหมาย เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีความผันผวนมาก สงครามการค้า และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐบาลต้องมีการออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยประคองให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตต่อไปได้ สำหรับวันพรุ่งนี้ กระทรวงการคลังเตรียมเสนอชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 3.16 แสนล้านบาท เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ 1.ช่วยเหลือค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2.บรรเทาค่าครองชีพสำหรับเกษตรกรผู้ประสบปัญหาภัยแล้ง และ 3.กระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในประเทศ โดยเชื่อว่าหาก ครม. เห็นชอบมาตรการทั้งหมด จะช่วยกระตุ้น GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.55 ทำให้ยังมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ร้อยละ 3 ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้จะเริ่มใช้ได้ปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน

ที่มา: https://mgronline.com/stockmarket/detail/9620000079184

ตั้งวอร์รูมกู้วิกฤตส่งออก เจาะ 5 ตลาดเป้าหมาย-เร่งค้าชายแดน

ภายหลังจากช่วงครึ่งปีแรกส่งออกไทยติดลบ 2.91% จากพิษสงครามการค้า และอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าอย่างหนักในรอบ 6 ปี กลไกการทำงานรัฐ-เอกชน ที่เรียกว่า “คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ หรือ กรอ.พาณิชย์” ตามนโยบายของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ได้เริ่มประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบในการตั้งคณะกรรมการวอร์รูม (War Room) เพื่อทำหน้าที่ติดตามประเมินสถานการณ์และวางแนวทางเจาะตลาดเป้าหมาย รวมถึงสินค้าเป้าหมายในแต่ละตลาดอย่างเร่งด่วนให้เห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรมภายใน 3-6 เดือน สำหรับตลาดมี 5 ตลาดหลัก คือ ตลาดกลุ่มอาเซียน และกลุ่ม CLMV จีน อินเดีย และตลาดตะวันออกกลาง เช่น ตลาดอิรัก ซึ่งที่เป็นตลาดสำคัญในการส่งออกข้าว รวมไปถึงกาตาร์ จอร์แดน คูเวต เป็นต้น ผลักดันและเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน ลดอุปสรรค ด้านสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เสนอให้ผลักดันการส่งออกควบคู่กับการตั้งวอร์รูม ผลักดันการเปิดตลาดและเจรจาการค้า เน้นเปิดตลาดใหม่ และฟื้นตลาดเดิมที่ซบเซา ขณะที่ นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ยื่น 6 ข้อเสนอสมุดปกขาว ประกอบด้วย 1.การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน 2.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเอกชน ยกระดับเอสเอ็มอี สินค้า บริการ ให้มีคุณภาพและมาตรฐานสากล 3.การพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ 4.สนับสนุนโครงการที่สำคัญของภาครัฐให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง 5.เสริมสร้างธรรมาภิบาล และความรับผิดชอบต่อสังคม และ 6.ยกระดับทักษะความรู้และคุณภาพชีวิตทรัพยากรมนุษย์

ที่มา: https://www.prachachat.net/economy/news-361651

กระทรวงพลังงานเร่งศึกษาเปิดสัมปทานแหล่งสำรวจปิโตรฯใหม่

รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมมอบนโยบายด้านพลังงาน โดยการเปิดประมูลสัมปทานแหล่งสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 63 ส่วนปัญหาพื้นที่ทับซ้อนแหล่งขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ไทย กัมพูชา จะเร่งทำให้แล้วเสร็จก่อนปี 65 โดยจะดำเนินภารกิจในการใช้พลังงานสร้างเศรษฐกิจฐานราก และเดินหน้าเรื่อง “พลังงานชุมชน” ที่อยู่ระหว่างการศึกษา โดยมีเป้าหมายลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน และมีนโยบายเปิดกว้างให้กับนักลงทุน หรือผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี ในการร่วมลงทุนร่วมกับชุมชน รวมถึงนโยบายผลักดันสินค้าเกษตรสร้างมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ไบโอแก๊ส ไบโอแมส ที่อยู่ระหว่างการจัดทำแผนให้สอดรับกับนโยบายการผลิต ทั้งนี้ในมิติที่ 2 กระทรวงฯ จะเน้นสร้างการเป็นผู้นำด้านพลังงานอาเซียนโดยจะทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมต่อกับผู้เชี่ยวชาญบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ให้ได้โนวฮาวที่ดี และเข้มแข็ง เพื่อยกระดับด้านพลังงานในระดับสากล ไม่เฉพาะแค่ใน CLMV เพื่อให้เติบโตเร็วขึ้น

ที่มา : https://www.mitihoon.com/2019/08/15/129235/