สถานการณ์สินเชื่อภายในประเทศกัมพูชายังคงทรงตัว

สำนักงานข้อมูลเครดิตกัมพูชา (CBC) เปิดเผยดัชนี Credit Consumer Index ประจำไตรมาสแรกท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการล็อกดาวน์ การปรับโครงสร้างเงินกู้ และการหยุดชะงักของภาคการผลิตภายในประเทศ โดยรายงานแสดงให้เห็นว่า “หนี้ที่พ้นกำหนดชำระแล้ว” (DPD) ในช่วง 30 วันเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.24 ทั่วกระดานถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่ยอดเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.44 เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส จากข้อมูลของสมาคมธนาคารในกัมพูชา (ABC) รวมถึงสถาบันการเงินรายย่อยได้รับคำขอกู้จำนวนมากระหว่าง 400,000 ถึง 500,000 คำขอในแต่ละเดือน ในจำนวนนี้ประมาณร้อยละ 50 ได้รับการอนุมัติ โดยสถาบันทางการเงินหรือธนาคารกำหนดจะอนุมัติเปิดบัญชีเงินกู้รายใหม่ประมาณ 200,000 บัญชีต่อเดือน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50855062/outstanding-loans-not-at-worrisome-level-abc/

สถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศกัมพูชาเริ่มเห็นการฟื้นตัว

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาระหว่างวันที่ 7 ถึง 9 พฤษภาคม โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ภายในประเทศประมาณ 19,709 คน รายงานโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ซึ่งในจำนวนนี้คิดเป็นนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชา 19,492 คน และเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอีกจำนวน 217 คน แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวภายในประเทศจะยังอยู่ในระดับต่ำแต่ก็ยังเห็นแนวโน้มการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จนถึงขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวได้แนะนำให้หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวตลอดจนหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ทราบถึงมาตรการป้องกันทางสุขภาพ เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและชุมชนโดยรอบ จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะดีขึ้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50855139/domestic-tourism-kicks-off-with-almost-20000-tourists-last-weekend/

ไทยร่วมถกอัปเกรดเอฟทีเอ “ออสซี-กีวี” ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมความตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ครั้งที่ 12 เพื่อปรับปรุงความตกลงให้ทันกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน หลังบังคับใช้มาครบ 10 ปี หรือตั้งแต่ปี 53 ว่า ที่ประชุมได้หยิบยกประเด็นที่ควรจะปรับปรุง เช่น มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี, กฎถิ่นกำเนิดสินค้า, การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตัวเอง, พิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า เป็นต้น ตั้งเป้าหมายปรับปรุงให้เสร็จภายในปี 65 สำหรับเอฟทีเอดังกล่าว มีบทบาทต่อการค้าและการลงทุนในภูมิภาค ซึ่งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้ยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าจากอาเซียนทุกรายการแล้ว ส่วนไทยได้ยกเลิกเก็บภาษีนำเข้าจาก 2 ประเทศในสัดส่วน 98% ของสินค้าที่ค้าขายกัน การส่งออกของไทยไป 2 ประเทศไตรมาสแรกของปีนี้ มีมูลค่า 3,432.75 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 21.57% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวปีก่อน สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น รถยนต์ขนส่งน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน, รถยนต์ขนาดเครื่องยนต์ 1,500-2,500 ซีซี,ปลาทูน่าแปรรูป เป็นต้น

ที่มา : https://www.thairath.co.th/business/economics/2090840

ญี่ปุ่นยกระดับความร่วมมือทางยุทธศาสตร์กับลาว

สถานทูตญี่ปุ่นได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการใหม่สำหรับความร่วมมือในอนาคตระหว่างสปป.ลาวและญี่ปุ่น เมื่อไม่นานมานี้ Mr.Yoshihide Suga นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นได้โทรศัพท์ไปหานายMr.Phankham Viphavanh นายกรัฐมนตรีสปป.ลาว การหารือกันครั้งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนทางโทรศัพท์ครั้งแรกระหว่างผู้นำสูงสุดของทั้งสองประเทศ ในโอกาสที่นี้ได้มีการประกาศ ‘แผนปฏิบัติการ’ เพื่อความก้าวหน้าของหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างญี่ปุ่นและสปป.ลาวต่อสาธารณะ แผนปฏิบัติการประกอบด้วยหัวข้อหลัก 5 หัวข้อ ได้แก่ ด้านการเมืองและความมั่นคง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจการพัฒนาเศรษฐกิจ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การค้าและการลงทุน ข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรม

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Japan_90.php

กองทัพเมียนมา อนุมัติการลงทุนต่างชาติ ผลาญงบประมาณกว่า8.7หมื่นล้าน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน รัฐบาลทหารเมียนมา อนุมัติการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ( เอฟดีไอ ) หลายโครงการ มีมูลค่ารวมเกือบ 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 87,235.40 ล้านบาท โดยโครงการใหญ่ที่สุดซึ่งมีการอนุมัติ คือ การก่อสร้างโรงงานก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) มูลค่า 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 77,888.75 ล้านบาท ) โดยไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการว่า ประเทศใดได้สัมปทานโครงการดังกล่าว เช่นเดียวกับโครงการอื่นอีก 15 โครงการ ในด้านการเกษตร การผลิต และภาคบริการ ซึ่งไม่มีการระบุชัดเจนว่า ผู้เสนอราคาจากประเทศใดได้รับการอนุมัติ

ที่มา : https://www.naewna.com/inter/572062

เวียดนามเผยไตรมาสแรก ความต้องการพื้นที่เชิงพาณิชยกรรมพุ่ง

กระทรวงการก่อสร้าง เผยว่าความต้องการพื้นที่เชิงพาณิชยกรรมในไตรมาสที่ 1 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากผู้คนซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นในช่วงวันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติและยอดขายของสินค้าแบรนด์ดังระดับโลกยังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องในเวียดนาม ทั้งนี้ ย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) มีค่าเช่าเฉลี่ย 108.1 ดอลลาร์สหรัฐ/ตารางเมตร/เดือน เพิ่มขึ้น 0.4 % จากไตรมาสก่อนหน้าและ 10.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/demand-for-commercial-space-increases-in-q1/201308.vnp

เวียดนามคาดรักษาตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวที่ 2 ของโลก

กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) คาดการณ์ว่าเวียดนามสามารถรักษาตำแหน่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับที่ 2 ของโลกในปีนี้ ตามรายงานของสำนักงาน ระบุว่าเวียดนามข้าว 6.4 ล้านตันในปี 2554 เพิ่มขึ้นกว่า 233,000 ตันเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทั้งนี้ อินเดียมีแนวโน้มว่ายังคงเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยปริมาณการส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศ อยู่ที่ 15.5 ล้านตัน ขณะที่ ไทยอยู่ในอันดับที่ 3 ของโลก ปริมาณการส่งออกประมาณ 6.1 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม ปีที่แล้ว เวียดนามส่งออกข้าว 6.15 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 3.07 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 3.5% ในแง่ของปริมาณ แต่เพิ่มขึ้น 9.3% ในแง่ของมูลค่า เมื่อเทียบเป็นรายปี นอกจากนี้ สมาคมอาหารของเวียดนาม เผยว่าโครงสร้างการส่งออกข้าวของเวียดนามได้เปลี่ยนมาเป็นมุ่งเน้นไปที่คุณภาพ ด้วยราคาและมูลค่าอยู่ในระดับสูง

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/vietnam-predicted-to-retain-its-position-as-worlds-second-largest-rice-export-856736.vov

ลิ้นจี่พร้อมออกขาย ที่ตลาดกะตา เขตซะไกง์

ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 64 ลิ้นจี่ที่ปลูกในเมืองกะตาเขตซะไกง์พร้อมวางขายในตลาดเมืองซะไกง์ และมีการส่งไปขายที่เมืองมัณฑะเลย์และเมืองที่-กไหย่ง์ (Htigyaing) โดยราคาจะอยู่ที่ ตะกร้าละ 45,000 จัต สำหรับแพ็กเกจขนาดใหญ่และ 35,000 จัต สำหรับแพ็กเกจขนาดเล็ก แม้ลิ้นจี่ที่ปลูกในเขตเมืองกะตาจะไม่ได้ราคาดีเหมือนปีที่แล้ว แต่ยอดขายยังพอไปได้ ทั้งจากกำลังซื้อของผู้ซื้อและผลผลิตลิ้นจี่ที่ลดลงจากปีก่อน

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/lychee-for-sale-in-markets-in-katha-sagaing-region/

วัคซีนซิโนแวก 5 แสนโดส ถึงกัมพูชาแล้ว

รัฐบาลกัมพูชาภายใต้แผนการฉีดวัคซีนให้ได้กว่าร้อยละ 80 ของจำนวนประชากรภายในประเทศ โดยล่าสุดวัคซีนซิโนแวกได้ถูกขนส่งมายังกัมพูชาเพิ่มเติมอีก 500,000 โดส ซึ่งถือว่าเป็นการส่งมอบวัคซีนซิโนแวกครั้งที่ 3 จนถึงปัจจุบันกัมพูชาได้รับวัคซีนมาแล้วรวม 4 ล้านโดส โดยรวมถึงวัคซีนจาก ซิโนฟาร์ม จำนวน 1.7 ล้านโดส ซึ่งกัมพูชาได้เริ่มฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาจำนวนกว่า 1.8 ล้านคน อีกทั้งนายกรัฐมนตรีฮุนเซนระบุว่ารัฐบาลกำลังเร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มอีกมากกว่า 20 ล้านโดส ในระยะนี้เพื่อกระจายฉีดให้กับคนภายในประเทศให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันแบบหมู่ต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงระบาดอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยหวังว่าหากประชาชนภายในประเทศได้รับการฉีดวัคซีนตามเป้าหมายที่รัฐบาลได้ตั้งไว้แล้ว จะนำไปสู่การเปิดประเทศที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในระยะถัดไป

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50854850/another-500000-doses-of-sinovac-vaccine-has-landed-in-cambodia/

บริษัทสัญชาติเวียดนามลงทุนในกัมพูชาเพิ่มขึ้น ในช่วง 4 เดือนแรก

บริษัทสัญชาติเวียดนามอัดเม็ดเงินลงทุนกว่า 545.9 ล้านดอลลาร์ ในต่างประเทศหลายโครงการ โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2021 ปริมาณการลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 7.9 เท่า เมื่อเทียบเป็นรายปี ตามรายงานของกระทรวงการวางแผนและการลงทุนของเวียดนาม ซึ่งกัมพูชาได้รับเงินลงทุนจากเวียดนามจำนวน 89.1 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นประเทศอันดับที่สองในแง่ของปริมาณเงินลงทุนในช่วงสี่เดือนแรกของปี โดย ณ วันที่ 20 เมษายน เวียดนามมีโครงการในต่างประเทศที่ถูกต้องตามกฎหมายกว่า 1,417 โครงการ รวมมูลค่า 21.8 พันล้านดอลลาร์ โดยส่วนใหญ่อยู่ในภาคการทำเหมืองแร่และวัตถุดิบ (ร้อยละ 36 ของทุนทั้งหมด) ไปจนถึงการประมง เกษตร และป่าไม้ เป็นสำคัญ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50854578/vietnamese-firms-invest-close-to-90-million-in-cambodia-in-first-four-months/