จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนยังกัมพูชาลดลงอย่างน่าตกใจ

ในช่วงหกเดือนแรกของปีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามากัมพูชาลดลงประมาณร้อยละ 65 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วตามรายงานของกระทรวงการท่องเที่ยว โดยรายงานระบุว่าในเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียวจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงถึงร้อยละ 97.3 ซึ่งกัมพูชาได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศประมาณ 1.183 ล้านคน ลดลงร้อยละ 64.6 เมื่อเทียบกับช่วงหกเดือนแรกของปีที่แล้ว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนลดลงร้อยละ 78.7 (275,673 คน) เวียดนามลดลงร้อยละ 55 (161,084 คน) สหรัฐลดลงร้อยละ 60 สาธารณรัฐเกาหลีลดลงร้อยละ 62 สหราชอาณาจักรลดลงร้อยละ 50 เป็นต้น ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวกำลังดำเนินการเพื่อฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวที่เสียหายโดยเตรียมแผน “Travel bubble” ไว้รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในระยะถัดไป

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/751716/visitor-numbers-to-kingdom-collapse/

ไทยนำอาเซียนหารือจีน ยกระดับความตกลงทางการค้า เร่งเปิดตลาดเสรีเพิ่มเติม หลังโควิด-19 คลี่คลาย

นางสาวทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการประชุมคณะกรรมการร่วมกำกับการดำเนินงานภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – จีน (ASEAN – China Free Trade Agreement – Joint Committee : ACFTA-JC) ครั้งที่ 13 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-14 กรกฎาคม 2563 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากประเทศสมาชิกอาเซียน สำนักงานเลขาธิการอาเซียน และ Ministry of Commerce สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่ง สศก. ได้เข้าร่วมประชุมในฐานะองค์ประกอบผู้แทนไทย ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการประชุมดังกล่าวที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับแผนการดำเนินการตามประเด็นที่จะเจรจาต่อไปในอนาคต (Future Work Programme) ภายใต้พิธีสารยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – จีน (ACFTA Upgrading Protocol) ได้แก่ การหารือแนวทางการเปิดตลาดสินค้าเพิ่มเติม การหารือการเปิดเสรีและการคุ้มครองการลงทุน รวมถึงการหารือความร่วมมือในสาขาใหม่ๆ เพื่อยกระดับความร่วมมือ ACFTA อาทิ อุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

ที่มา : https://www.ryt9.com/s/prg/3147253

องค์กรสื่อในสปป.ลาวกับการเปลี่ยนแปลงของโลก

สื่อในสปป.ลาวได้รับคำสั่งให้ทำการปรับเพื่อความอยู่รอดท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกและการเติบโตอย่างรวดเร็วของโซเชียลมีเดีย โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และท่องเที่ยว กล่าวว่าการปรับปรุงระดับความเป็นมืออาชีพ การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนทั่วไปและเพื่อผลประโยชน์ของชาติ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรสื่อ นักข่าวต้องรับผิดชอบต่อสาธารณะโดยให้ข้อมูลที่ทันเวลาและเป็นประโยชน์ ในขณะเดียวกันก็รับประกันความถูกต้องของข้อมูล จำเป็นต้องปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหาและประสิทธิภาพของการจัดการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย สื่อรูปแบบดั้งเดิมรวมถึงหนังสือพิมพ์จะไม่หายไปแม้ว่าแพลตฟอร์มสื่อใหม่ๆ มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่จะลดน้อยลง นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญของสื่อมวลชนในการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและกฎหมายซึ่งมีส่วนในการปลดปล่อยประเทศในปี 2518 และให้บริการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตลอด 70 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้สื่อยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความเข้าใจระหว่างสปป.ลาวกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Media150.php

รัฐบาลเกาหลีใต้ให้สนับสนุนเงิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับพัฒนาด้านการศึกษาของสปป.ลาว

รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีใต้ให้เงินสนับสนุนมากกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แก่สปป.ลาวผ่านโครงการหลักสูตรปริญญาโทปี 2563 โดยทุนการศึกษาดังกล่าวเป็นทุนสำหรับศึกษาหลักสูตรปริญญาโทประกอบด้วยค่าเล่าเรียนค่าครองชีพ ทุนการวิจัยและอื่น ๆ โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมนักศึกษาสปป.ลาวและพัฒนาเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศเพื่อขอรับทุนการศึกษาในการพัฒนาความรู้และความสามารถเพื่อสร้างทุนทางด้านทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของสปป.ลาว นายชินซองซุนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีใต้ย้ำว่าการพัฒนาทุนมนุษย์เป็นหนึ่งในประเด็นเร่งด่วนที่สุดของสปป.ลาวและเป็นคุณลักษณะสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จของเกาหลีใต้ และยังกล่าวเสริมอีกว่า “การพัฒนาประเทศขึ้นอยู่กับคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์มากกว่าคุณภาพของเศรษฐกิจเชิงวัตถุและนี่คือสิ่งที่การศึกษาให้ความสำคัญ” รัฐบาลของสาธารณรัฐเกาหลีใต้และสปป.ลาวหวังว่าทุนการศึกษาจะสร้างผู้นำในอนาคตและทำให้ทั้งสองประเทศใกล้ชิดยิ่งขึ้นโดยการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประชาชนกับประชาชนอย่างแข็งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนและความเจริญรุ่งเรืองร่วม

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Korea150.php

ถกความมั่นคงทางอาหารภูมิภาคอาเซียน

นางมนัสนิตย์ จิรวัฒน์ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมการค้าต่างประเทศในฐานะเลขานุการถาวรคณะกรรมการสำรองอาหารเพื่อความมั่นคงแห่งภูมิภาคอาเซียน (AFSRB Secretariat) ได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการสำรองอาหารเพื่อความมั่นคงแห่งภูมิภาคอาเซียน (AFSRB) ครั้งที่ 40 ผ่านระบบ VDO Conference เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ซึ่งมีเวียดนามเป็นเจ้าภาพ โดยปีนี้มีสมาชิกอาเซียน 8 ประเทศ (ยกเว้นมาเลเซีย และ สปป.ลาว) สำนักเลขานุการระบบข้อมูลสารสนเทศความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคอาเซียน (AFSIS) และองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (APTERR) เข้าร่วมประชุม อย่างไรก็ตาม ผลการประชุมครั้งนี้ประเทศสมาชิกแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์อาหารปัจจุบัน รวมทั้งคาดการณ์ผลผลิต การบริโภค การค้า และปริมาณสำรองอาหารของภูมิภาคและของโลก นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับรองกรอบนโยบายบูรณาการความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน (AIFS) และแผนกลยุทธ์ความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน ทั้งนี้ จากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งภัยธรรมชาติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดจนปริมาณความต้องการบริโภคตามจำนวนประชากรในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นนั้น ล้วนส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ความมั่นคงและยั่งยืนด้านอาหารของประเทศ ซึ่งรัฐบาลไทยไม่ได้นิ่งนอนใจในการกำหนดนโยบายเพื่อช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สินค้าเกษตรของไทย ตลอดจนแสวงหากลไกความร่วมมือกับนานาประเทศ

ที่มา : https://tna.mcot.net/business-488996

ญี่ปุ่นแก้ไขข้อตกลงการค้าระหว่างอาเซียนรวมถึงกัมพูชา

ข้อตกลงการค้าเสรีที่มีการปรับปรุงระหว่างญี่ปุ่นและกลุ่มประชาคมอาเซียน โดยข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับ 5 ประเทศแล้ว ได้แก่ สปป.ลาว เมียนมา สิงคโปร์ ไทยและเวียดนาม ส่วนสมาชิกที่เหลืออีก 5 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไนและฟิลิปปินส์ จะเข้าร่วมเมื่อได้ข้อสรุปขั้นตอนต่างๆของแต่ละประเทศเสียก่อน ซึ่งภายใต้สนธิสัญญาฉบับปรับปรุงนี้ประเทศต่างๆ จะต้องรักษาความโปร่งใสในการควบคุมการให้บริการและไม่เลือกปฏิบัติต่อนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงกฎสำหรับผู้เดินทางชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาและพักอาศัยอยู่ในประเทศนั้นๆ โดยการค้าระหว่างประเทศของกัมพูชาและญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 ในปีที่แล้วสู่ 2,292 ล้านดอลลาร์ ตามรายงานล่าสุดจากองค์การการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ซึ่งการเพิ่มขึ้นนี้ชี้ให้เห็นว่าญี่ปุ่นเป็นหนึ่งใน 5 ประเทศผู้นำเข้าจากกัมพูชา ระหว่างเดือนมกราคมถึงธันวาคม 2019 กัมพูชาส่งออกสินค้าไปญี่ปุ่นมูลค่ารวมราว 1,730 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนการนำเข้าของกัมพูชาจากญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.4 เพิ่มขึ้น เป็น 562 ล้านดอลลาร์

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50751316/revised-trade-pact-between-japan-asean/

กัมพูชาจัดทำแผน “Travel bubble” ช่วยเหลือภาคการท่องเที่ยว

กระทรวงการท่องเที่ยวกำลังดำเนินการเพื่อฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดยได้เตรียมแผน “Travel bubble” รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแม้ว่ากัมพูชาจะพบกับผู้ติดเชื้อรายใหม่ จากการรายงานของกระทรวงสาธารณสุขพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในกัมพูชาทั้งหมดมีจำนวนถึง 240 คน มีผู้ป่วย 32 ราย กำลังทำการรักษาตัวอยู่ โดยกระทรวงเริ่มทำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญและกระทรวงสาธารณสุขในการออกแบบนโยบายการเดินทางที่เรียกว่า “Travel bubble” เพื่อเตรียมแพ็คเกจการท่องเที่ยวระหว่างประเทศให้มีความปลอดภัยสูงที่สุด ซึ่งคาดว่าหากแผนนี้ประสบความสำเร็จจะทำให้กัมพูชาสามารถสร้างความมั่นใจในการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและสร้างความมั่นใจแก่หลายๆภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ โดยอาเซียนและอาเซียนบวกสาม คือประเทศเป้าหมายหลัก ซึ่งกระบวนการจะต้องดำเนินการภายใต้การควบคุมอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยความเห็นชอบของกระทรวงสาธารณสุขและได้รับอนุญาตจากรัฐบาล

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50751509/cambodia-prepares-travel-bubble-plan-to-aid-tourism/

เวียดนามเผยการส่งออกรองเท้า 7 เดือนแรก พลาดเป้า 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากรายงานของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า เปิดเผยว่าในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2563 เวียดนามส่งออกเครื่องหนังและรองเท้าเพียง 9.53 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นสินค้าส่งออก 10 อันดับแรกจะมีมูลค่ามากกว่า 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้การส่งออกรองเท้าหดตัวลงร้อยละ 7.9 คิดเป็นมูลค่า 9.53 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ หลังจากตั้งเป้ายอดส่งออกเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อุตสาหกรรมเครื่องหนังและรองเท้าได้ตั้งเป้าที่จะส่งออก 24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ แม้ว่าจุดมุ่งหมายดังกล่าวมีความทะเยอทะยานก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ทางสมาคมเครื่องหนังและรองเท้าเวียดนามจึงปรับเป้าหมายการส่งออกลดลงร้อยละ 10 จากผลกระทบเชิงลบของการระบาด COVID-19 นอกจากนี้ ข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA จะช่วยให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตอีกครั้งในช่วงไตรมาสที่ 3-4 ในปีนี้ เพื่อที่ชดเชยความเสียหายในช่วงต้นปีนี้ และในปัจจุบันสหภาพยุโรปยังคงเป็นตลาดดั้งเดิมสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องหนังและรองเท้าเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของยอดส่งออกรวมต่อปี หรือประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/footwear-exports-in-seven-months-fails-to-break-us10-billion-mark-416895.vov

เวียดนามเกินดุลการค้า 3 เท่า ช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MoIT) เปิดเผยว่าในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามมียอดเกินดุลการค้าอยู่ที่ 6.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 328 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งในเดือน ก.ค. ตัวเลขเกินดุลการค้าอยู่ที่ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 แต่ว่าในปีนี้ เวียดนามยังคงเกินดุลการค้าพุ่งสูงขึ้น เนื่องมาจากมีการนำเข้าน้อยลง สำหรับภาคการลงทุนจากต่างประเทศนั้น (รวมน้ำมันดิบ) พบว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดเกินดุลการค้าขยายตัวอย่างมาก จากยอดเกินดุล 17.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ สินค้าส่งออกหลักที่มีการขยายตัวอย่างมากในช่วงเวลาดังกล่าว ได้แก่ คอมพิวเตอร์และเครื่องจักร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24 ของยอดส่งออกรวม เติบโตขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก ในขณะที่ กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีมูลค่าลดลง อีกทั้ง สหรัฐฯ ยังเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ด้วยมูลค่าราว 38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาจีน ยุโรปและอาเซียน ตามลำดับ นอกจากนี้ ทางกระทรวงฯ คาดว่าภาคการส่งออกจะเผชิญกับความลำบากอีกในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปีนี้ จากผลกระทบของ COVID-19 แต่ด้วยข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA จะช่วยให้ธุรกิจเวียดนามสามารถเข้าถึงตลาดที่มีมูลค่า GDP ถึง 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://e.vnexpress.net/news/business/economy/seven-month-trade-surplus-triples-4140917.html

อิรวดีและฉานมีแผนส่งเสริมการลงทุน

เมียนมากำลังขยายทางเลือกสำหรับธุรกิจที่จะลงทุนในประเทศ เมื่อไม่นานมานี้อนุญาตให้นักลงทุนขยายสาขาการลงทุนออกไปนอกกรุงย่างกุ้งและมัฑะเลย์และภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศแม้จะมีการระบาดของ COVID-19 คณะกรรมการการลงทุนของอิรวดี ได้อนุญาตให้ลงทุนในโรงแรมและการท่องเที่ยว การผลิต และการก่อสร้างมูลค่าประมาณ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐและ 3 พันล้านจัต คาดว่าจะสร้างงานได้มากกว่า 2,000 ตำแหน่ง โดยได้ให้การสนับสนุน 35 นักลงทุนจากในประเทศและต่างประเทศลงทุนในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันรัฐฉานเดินหน้าด้วยแผนการส่งเสริมการลงทุน 10 ปี สำหรับปีงบประมาณ 2562-2563 ถึงปีงบประมาณ  2573 – 2574 เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจโดยการจ้างแรงงานในสัดส่วนที่สูงขึ้น โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น และการให้บริการที่สามารถรองรับนักลงทุนและธุรกิจ แผนส่งเสริมการลงทุนของรัฐฉาน (SSIPP) มีเป้าหมายที่จะเพิ่มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในเป็น 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 และ 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2573 โดยรัฐฉานสามารถดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมูลค่า 780 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2561-2562 ส่วนใหญ่เป็นภาคพลังงานคิดเป็นร้อยละ 70 แม้ว่ารัฐฉานจะมีทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานจำนวนมาก แต่ยังไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้เนื่องจากขาดทักษะ โครงสร้างพื้นฐาน และระบบตลาดที่ใช้ได้จริง ท่ามกลางความไม่แน่นอนในภูมิภาคและในพื้นที่แนวชายแดน

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/ayeyarwady-shan-advance-investment-promotion-plans.html