ด่านศุลกากรกัมพูชามีรายรับ 1.3 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก

กรมศุลกากรและสรรพสามิต (GDCE) ของกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน มีรายรับรวมกว่า 5,152,600 ล้านเรียล หรือ 1,272.2 ล้านดอลลาร์ ในช่วงครึ่งปีแรกลดลงร้อยละ 16.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งตัวเลขดังกล่าวได้รับการเปิดเผยในการแถลงข่าวล่าสุดเกี่ยวกับผลการประชุมทบทวนของ GDCE โดยมีผู้อำนวยการทั่วไปเป็นประธาน โดยรายได้นี้คิดเป็นร้อยละ 43.9 ของเป้าหมายที่ระบุไว้ในกฎหมายงบประมาณปี 2563 ซึ่งกล่าวว่ารายได้จากการนำเข้ายานพาหนะลดลงร้อยละ 31.7, วัสดุก่อสร้างลดลงร้อยละ 28.2 ขณะที่เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 และ สินค้าโภคภัณฑ์ลดลงร้อยละ 3.1 โดยในช่วงเวลาเดียวกันภาษีนำเข้าลดลงร้อยละ 19.8, ภาษีพิเศษลดลงร้อยละ 21.6 และภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 9.6 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการลดลงของรายได้ศุลกากรส่วนใหญ่มาจากผลของการระบาด COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออกของกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50746083/cambodian-customs-collects-1-3-billion-in-first-semester/

เกาหลีใต้ส่งออกไอศกรีมพุ่งไปเวียดนาม

จากรายงานของสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งประเทศเกาหลีในต่างประเทศ (KOTRA) เมื่อวันที่ 19 ก.ค. เปิดเผยว่าการส่งออกไอศกรีมไปเวียดนามของเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ในปี 2562 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกระแสนิยมวัฒนธรรมเกาหลีใต้ที่เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในปี 2562 มูลค่าส่งออกไอศกรีมไปเวียดนามอยู่ที่ 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อปีที่แล้ว เวียดนามนำเข้าไอศกรีมจากเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.6 ทั้งนี้ ทางฝั่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าการเติบโตดังกว่าว เป็นผลมาจากคลื่นวัฒนธรรมเกาหลี “ฮันรยู” ในแถบประเทศเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าบันเทิงและอาหาร รวมถึงเวียดนามเป็นแหล่งลงทุนสำหรับอุตสาหกรรมไอศกรีม เนื่องจากรายได้เฉลี่ยของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เวียดนามยังเป็นจุดมุ่งหมายของการส่งออกไปต่างประเทศอันดับที่ 3 ของเกาหลีใต้ ในปี 2562 รองจากจีนและสหรัฐฯ

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/korean-ice-cream-exports-to-vietnam-surge/178826.vnp

รายได้ของคนเวียดนามดิ่งลง 90% เหตุโควิด-19

การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทำให้รายได้ของคนเวียดนามลดลงถึงร้อยละ 90 และต้องลดค่าใช้จ่ายลง ซึ่งจากผลสำรวจของอิปซอสส์ (Ipsos) จำนวนตัวอย่าง 500 ราย พบว่ารายได้ของคนเวียดนามลดลงกว่าร้อยละ 20 ส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานไร้ฝีมือ ขณะที่ ผู้ที่มีรายได้น้อย ร้อยละ 17 (ประมาณ 323 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน) กล่าวว่าครอบครัวของเขาต้องลดค่าใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยว การกินอาหารนอกบ้าน เสื้อผ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่าง 2 ใน 3 คาดว่ารายได้อาจเพิ่มขึ้นในอนาคตอันเร็วๆนี้ เนื่องจากเวียดนามไม่พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อรายใหม่ในชุมชนนานกว่า 3 เดือน ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) แสดงให้เห็นว่าผู้คนตกงาน 31 ล้านคนหรือร้อยละ 57.3 ที่รายได้ปรับตัวลดลงจากโควิด-19 อีกทั้ง รายได้เฉลี่ยของคนเวียดนามลดลงร้อยละ 10.2 ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ อยู่ที่ 224 ดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/pandemic-lowers-incomes-of-90-of-vietnamese-416265.vov

สปป.ลาวยังคงปิดชายแดนแต่อนุญาตให้บางกลุ่มสามารถเดินทางได้

สปป.ลาวยังคงปิดด่านเพื่อให้มั่นใจในการแพร่ระบาดของ COVID-19 ว่าชาวต่างชาติจะไม่นำเชื้อเข้ามาแพร่ระบาดในประเทศแต่ถึงอย่างไรก็ยังคงมีการเปิดเที่ยวบินสำหรับการเดินทางของแขกพิเศษของรัฐบาลเช่น นักการทูตและนักเรียนต่างชาติโดยต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยหากมีความประสงค์เดินทางออกนอกประเทศต้องแจ้งวัตถุประสงค์เฉพาะและรายละเอียดของการเดินทางของพวกเขามายังหน่วยงาน รวมถึงผู้ป่วยที่แสวงหาการรักษาพยาบาลในต่างประเทศจะได้รับอนุญาตให้ออกจากสปป.ลาวได้แต่จะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดในการเข้าประเทศปลายทาง ปัจจุบันเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ดำเนินการคือเที่ยวบินจากเวียงจันทน์ไปยังเมืองคุนหมิงของมณฑลยูนนานในประเทศจีน

ที่มา : https://www.thestar.com.my/aseanplus/aseanplus-news/2020/07/19/laos–borders-remain-closed-to-foreigners-but-resume-flights-on-vientiane-hanoi-route

สปป.ลาว, จีนเพื่อร่วมมือในโครงการลดการปล่อย CO2

สปป.ลาวและจีนจะร่วมมือในโครงการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยการสร้างพื้นที่สาธิตการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ (CO2) ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจไชยเชษฐา (SDZ) นครเวียงจันทน์ บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของสปป.ลาว และกระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมของจีน โดยลงนามทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งสองฝ่าย ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีทั้งสองและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความร่วมมือในการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระหว่างสองประเทศ พื้นที่สาธิตการปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำใน SDZ  โครงการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งรัฐบาลสปป.ลาวและจีนได้มอบหมายให้ SDZ ดำเนินการและพัฒนา มันเป็นหนึ่งใน 10 โครงการสาธิตการปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำของจีนในประเทศกำลังพัฒนา พื้นที่สาธิต SDZ จะดำเนินการตามแผนการปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำเป็นแบบจำลองสำหรับการขนส่งโดยใช้ยานพาหนะไฟฟ้าและช่วยเหลือภาคอื่น ๆ รวมถึงการสื่อสารโครงการสาธารณะเพื่อเสริมสร้างความพยายามในการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสปป.ลาวและสนับสนุนแผนการพัฒนาที่ยั่งยืน และจะมีการสนับสนุนพื้นที่ใน SDZ โดยการสร้างแผนโครงการรวมถึงจัดหาอุปกรณ์ก่อสร้างและยกระดับความเชี่ยวชาญในการปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำผ่านการฝึกอบรมและกิจกรรมอื่น ๆ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Lao_China_to138.php

เมียนมาเตรียมยื่นกู้เงินกว่า 480 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก ADB สร้างทางด่วนพะโค – ไจก์ทิโย

กระทรวงการก่อสร้างได้ยื่นข้อเสนอระหว่างการประชุมรัฐสภาของสหภาพที่จัดขึ้นในเนปิดอว์เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมเพื่อขอสินเชื่อ 483.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) เพื่อดำเนินโครงการทางด่วน พะโค – ไจก์ทิโย โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ในเขตเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตกถนนจะเชื่อมต่อท่าเรือ Darn ในเวียดนามและท่าเรือติวาล่า ในย่างกุ้งโดยผ่านลาวและไทย โครงการนี้จะมีการพัฒนาที่ยั่งยืนในฝั่งตะวันออกของย่างกุ้ง เช่น สิเรียม, ติวาล่า, โตน-กวะ, กะยัน, Thanetpin และถนนพะโค ซึ่งจะช่วยให้เกิดความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมของชาวเมียนมา ทางด่วน พะโค – ไจก์ทิโย เป็นถนน 4 เลนลาดยางยาว 62 กิโลเมตร

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/over-480m-loan-to-be-sought-from-adb-to-build-bago-kyaikhto-expressway

ส่งออกข้าวไทยปี 63 เสี่ยงหล่นอันดับ 3 โลก

ผู้ส่งออกข้าวแนะ“ตลาดนำการผลิต” ไทยต้องเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ สู้ศึก ระบุกว่าจะเพียงพอความต้องการของเกษตรกรต้องใช้เวลา 3-5 ปี ปี 63 ไทยเสี่ยงสูงหล่นอันดับ 3 ส่งออกข้าวโลก จากที่กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศจับมือขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” เป้าหมายเพื่อสร้างประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตรและอาหารคุณภาพของโลก และผลักดันประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารติด 1 ใน 10 อันดับแรกของโลกนั้น สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ชี้ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต”เป็นเรื่องที่ไทยเองจะต้องเร่งดำเนินการ เนื่องจากการค้าของโลกในยุคโลกาภิวัตน์นี้มีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง ตลาดผู้บริโภคเองก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริโภคอยากจะได้คือสิ่งที่เราต้องมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำได้แค่ช่วงข้ามคืน ทั้งนี้ต้องเริ่มจากการพัฒนาไม่ว่าจะในการศึกษาวิจัยตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ จนมาถึงการทดลองปลูกจนมีผลเป็นที่น่าพอใจและลูกค้ายอมรับ จากนั้นก็ต้องขยายเมล็ดพันธุ์จนมีเพียงพอที่จะปลูกจนได้จำนวนที่สามารถนำไปจำหน่ายในตลาดได้ โดยรวมแล้วน่าจะใช้เวลาในส่วนนี้ไม่ต่ำกว่า 3-5 ปี เพราะฉะนั้นคงไม่สามารถที่จะทำให้บังเกิดผลได้ในปีนี้หรือปีหน้า ซึ่งยังไม่รวมถึงการพัฒนาในเรื่องการบริหารจัดการให้ความรู้ความเข้าใจกับเกษตรกรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรวมถึงภาคการแปรรูป ระบบสุขอนามัยและอื่น ๆ  อย่างไรก็ดีเป็นนิมิตหมายที่ดีถ้ามีการทำงานประสานกันระหว่างกระทรวงหลักรวมถึงภาคเอกชนที่จะมีข้อมูลที่ถูกต้องของตลาดซึ่งเอกชนจะใกล้ชิดมากกว่าหน่วยงานรัฐ แต่อย่างไรก็ตามก็มีหลายผลิตภัณฑ์การเกษตรที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นข้าวซึ่งปีนี้คาดว่าจะส่งออกได้ไม่เกิน 6.5 ล้านตันจาก 7.5 ล้านตันในปีที่แล้วและอาจจะหล่นไปเป็นที่ 3 ของโลกในเรื่องตัวเลขส่งออกรองจากอินเดียและเวียดนาม ด้วยเหตุผลที่ข้าวไทยมีราคาที่แพงกว่าคู่แข่งในระดับค่อนข้างมากและพันธุ์ข้าวที่ไม่หลากหลายเหมือนที่คู่แข่งมีทำให้ตลาดข้าวของไทยหดตัวมาโดยต่อเนื่อง เราต้องมีพันธุ์ข้าวที่หลากหลายและมีผลผลิตต่อไร่ที่สูงถึงจะสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอื่น ๆ ได้  สิ่งเหล่านี้จะต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ถึงจะช้าก็ต้องทำเพราะนี่คือความอยู่รอดของอุตสาหกรรมข้าวไทยในอนาคต หากมิเช่นนั้นข้าวไทยในตลาดโลกก็คงเหลือแค่เป็นตำนาน สิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูดว่าจะผลักดันให้ไทยกลับมาเป็นอันดับ 1 ผู้ส่งออกข้าวโลกโลกภายใน 2 ปีคงไม่ใช่สิ่งที่น่าจะทำได้ แต่ถ้าเรามีความตั้งใจและพยายามผลักดันสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นและต่อเนื่อง ในอนาคตก็อาจจะมีความเป็นไปได้ ข้อมูลในปี 2562  ผู้ส่งออกข้าวโลก 3 อันดับแรกได้แก่  อินเดีย ปริมาณ 9.7 ล้านตัน , ไทย 7.5 ล้านตัน และเวียดนาม 6.5 ล้านตัน ขณะที่ช่วง 6 เดือนแรกปี 2563 อินเดียส่งออกได้ 5.5 ล้านตัน, เวียดนาม 3.4 ล้านตัน และไทย 3 ล้านตัน

ที่มา: https://www.thansettakij.com/content/Macro_econ/442502?utm_source=sub_category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=trade

INFOGRAPHIC : เวียดนามไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ติดต่อกัน 92 วัน

เมื่อวันที่ 17 ก.ค. คณะกรรมการระดับชาติว่าด้วยการป้องกันและควบคุมโควิด-19 แห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The National Steering Committee for COVID-19 Prevention and Control) เปิดเผยว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในเวียดนาม นับเป็นเวลา 92 วันติดต่อกันแล้วไม่พบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ในเวียดนาม

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-enters-92nd-day-without-covid19-community-transmission/178726.vnp

ออสเตรเลียเริ่มทำการสอบสวนการทุ่มตลาดเหล็กของเวียดนาม

คณะกรรมการตรวจสอบการทุ่มตลาดของออสเตรเลีย (Anti-Dumping Commission: ADC) เริ่มดำเนินการตรวจสอบ 2 คดีที่เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการทุ่มตลาดและการตอบโต้การอุดหนุนแก่เหล็กเคลือบโลหะผสมจากเวียดนามและอีกหลายประเทศ ซึ่งรหัสสินค้าข้างต้น “7210.61” และ “7225.99” ที่มีความกว้างอย่างน้อย 600 มม.หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับการตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2562 – 31 มี.ค. 2563 ขณะที่  ระยะเวลาในการสอบสวนตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2016 จนถึงปัจจุบัน พบว่าเวียดนาม ไต้หวันและเกาหลีได้ถูกดำเนินการสอบสวนเรื่องการทุ่มตลาด โดยเฉพาะเวียดนามและจีนที่ถูกดำเนินเรื่องการตอบโต้การอุดหนุนและการทุ่มตลาดในหมวดหมู่นี้ ทั้งนี้ หน่วยงานกำกับดูแลด้านมาตรการค้าของเวียดนาม แนะนำให้ทางสมาคมหัตถกรรมและธุรกิจเพื่อส่งออกร่วมมือกับคณะกรรมการ ADC อย่างใกล้ชิด รวมถึงเร่งการตรวจสอบเนื้อหาจากมาตรการดังกล่าว

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/australia-initiates-dumping-probe-into-vietnamese-steel-416169.vov

เวียดนามหันมานำเข้าถ่านหินจากสหรัฐฯ

บริษัท Vinacomin ผู้ผลิตถ่านหินหลักของเวียดนาม แถลงการณ์เมื่อวันพุธถึงปริมาณการนำเข้าถ่านหินจากแคลิฟอร์เนียไปยังจังหวัดกว่างนิญ ในเดือนนี้กว่า 21,700 ตัน ซึ่งจากข้อมูลของกรมศุลกากร ระบุว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ การนำเข้าถ่านหินของเวียดนามเพิ่มขึ้นร้อยละ 53.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แตะระดับสูงสุด 31.57 ล้านตัน ส่วนใหญ่จะนำเข้าจากออสเตรเลีย อินโดนีเซียและรัสเซีย เป็นต้น ถึงแม้ว่ารัฐบาลพยายามที่จะลดการพึ่งพาถ่านหิน เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ทั้งนี้ สมาคมพลังงานเวียดนาม ระบุว่าในปีที่แล้ว เวียดนามผลิตกระแสไฟฟ้าร้อยละ 36.1 จากโรงงานไฟฟ้าถ่านหิน เวียดนามหันจากผู้ส่งออกถ่านหินเป็นผู้นำเข้าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากโรงไฟฟ้าถ่านหินมีจำนวนเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นและอีกเหตุผลหนึ่ง คือการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เวียดนามมีความต้องการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น เนื่องมาจากจำเป็นที่จะต้องรักษาเสถียรภาพทางการค้าระหว่างสองประเทศ

ที่มา : https://e.vnexpress.net/news/business/economy/vietnam-begins-coal-import-from-us-4131170.html