การส่งออกยางของกัมพูชาเพิ่มขึ้น 30% ในปีที่แล้ว

กัมพูชาส่งออกยางพาราจำนวน 282,071 ตันในปี 2562 เพิ่มขึ้น 30% จาก 217,501 ตันในปีก่อนหน้า โดยประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีรายรับรวมราว 377 ล้านเหรียญสหรัฐจากการส่งออกผลิตภัณฑ์จากยางพาราในปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 31.8% จาก 286 ล้านเหรียญสหรัฐใน 2561 ซึ่งรายงานประจำปีของกระทรวงรายงานว่ายางแห้งหนึ่งตันมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1,336 เหรียญสหรัฐในปี 2562 หรือสูงกว่าปีก่อนประมาณ 19 เหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2561 โดยกัมพูชาส่งออกสินค้าส่วนจากยางพาราส่วนใหญ่ไปยังประเทศมาเลเซีย, เวียดนาม, สิงคโปร์และจีนเป็นหลัก ซึ่งประเทศกัมพูชาได้ปลูกต้นยางพาราบนพื้นที่รวม 406,142 เฮคตาร์ ซึ่งใน 247,113 เฮกตาร์หรือ 61% ของพื้นที่เพาะปลูกต้นยางมีอายุมากพอที่จะถูกเก็บเกี่ยวน้ำยางได้

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50684115/cambodias-rubber-export-up-30-percent-last-year

ความเคลื่อนไหวเชิงบวกของอนุพันธ์ในตลาดหลังจากมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น

ถึงตลาดอนุพันธ์ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ตลาดอนุพันธ์ก็ยังเดินหน้าต่อไปในเชิงบวกเนื่องจากผู้ค้าให้ความสนใจและทำความคุ้นเคยกับตลาดมากขึ้น โดยผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศกัมพูชา (SECC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของกัมพูชากล่าวว่าปริมาณการซื้อขายของตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2562 ปริมาณการซื้อขายสูงถึง 120 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบในปี 2561 มีปริมาณการซื้อขายเพียง 84 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในปีนี้คาดว่าปริมาณการซื้อขายของตลาดตราสารอนุพันธ์จะสูงถึงประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดย SECC มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมตลาด ซึ่งกล่าวว่านักลงทุนบางคนคิดว่าตลาดอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูงแต่ก็สร้างผลกำไรมากขึ้น ซึ่งผู้อำนวยการฝ่ายการแลกเปลี่ยนตราสารอนุพันธ์ของกัมพูชา (CDX) กล่าวว่าตลาดตราสารอนุพันธ์ในกัมพูชามีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆทุกปี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50683840/positive-move-of-derivatives-after-trading-volumes-rise

กาแฟพืชเศรษฐกิจในอนาคต

เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในเขตคูนแขวงเซี่ยกวงกำลังทำเงินได้ดีจากการเพาะปลูกกาแฟที่มีราคาปรับตัวสูงขึ้นจากอดีต จากข้อมูลของเว็บไซต์ laocoffeeproductprice.la เมล็ดกาแฟอาราบิก้าขายในราคาสูงสุดที่ 3,200 กีบ ต่อกิโลกรัมเพิ่มจากเดิม 1,200 กีบ สาเหตุของการที่ราคาสูงขึ้นมาจากความต้องการสูงจากร้านกาแฟจำนวนมากในเวียงจันทน์และหลวงพระบาง เกษตรกรมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ซื้อซึ่งช่วยให้พวกเขาผลิตกาแฟคุณภาพดีออกมาได้ กาแฟในอนาคตจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของปป.ลาวจากการเติบโตที่สูงและระดับราคาสามารถทำให้เกษตรกรมีชีวิตที่ดีขึ้นได้เป็นผลดีต่อประชาชนในประเทศเพราะประชาชนส่วนใหญ่สปป.ลาวทำอาชีพเกษตรกรหากรัฐบาลมีการสนับสนุนจะทำให้กาแฟเป็นพืชที่สำคัญที่จขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในอนาคตและมีศักยภาพมากพอที่จะแข่งขันกับนานาประเทศต่อไป

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/xieng-khuang-coffee-growers-profiting-quality-crop-112702

เมียนมามีรายได้จากการส่งออกข้าว 280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เมียนมามีรายได้จากการส่งออกข้าวมากกว่า 980,000 ตัน มูลค่า 280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมถึง 10 มกราคมปีนี้ โดยรายรับ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 684,000 ตันไปยัง 55 ประเทศและมากกว่า 78 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการส่งออกข้าวหักมากกว่า 302,000 ตันไปยัง 46 ประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว โดยส่งออกตลาดสหภาพยุโรปและแอฟริกาผ่านเส้นทางการค้าทางทะเล และจีนผ่านทางการค้าชายแดนมูเซ กลุ่มสหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) แจ้งว่ารายรับมากกว่า 709 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการส่งออกข้าวมากกว่าสองล้านตันในปี 61-62 ซึ่งในปี 60-59 และทำลายสถิติในประวัติศาสตร์กว่า 50 ปี ในการส่งออกข้าวมากกว่า 3 ล้านตัน

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/myanmar-earns-us280-m-from-rice-and-broken-rice-export

การประชุมคณะรัฐมนตรีประจำเดือนมกราคม

การประชุมของคณะรัฐมนตรีประจำเดือนมกราคมได้เกิดขึ้นไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้มีการพูดคุยกันในหลายๆเรื่องทั้งเรื่องของอนาคตและสถานการณ์การปัจจุบันอย่างเช่นเรื่องมาตราการป้องกันเชื้อไวรัส  coronavirus โดยหนึ่งในหัวข้อที่สำคัญที่ได้มีการพูดคุยกันคือการที่รัฐบาลจะเข้ามาเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีในการดำเนินธุรกิจหรือเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มการลงทุน นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีเรียกร้องให้มีการจัดการด้านราคาอย่างมีประสิทธิภาพในตลาดท้องถิ่นเพื่อให้มั่นใจว่าราคาสินค้าสมเหตุสมผลจากที่ในปัจจุบันกำลังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ในด้านอุตสาหกรรมมีการเรียกร้องให้มีมาตราสนับสนุนเพิ่มมากกว่าและข้อเสนอที่ดีขึ้นเพื่อดึงดูดให้ต่างประเทศมาตั้งฐานการผลิตที่สปป.ลาว ในช่วงสุดท้ายของการประชุมมีการพูดถึงการเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดความร่วมมือระดับที่ 3 ของลังโคม – แม่โขง (LMC)และการประชุมสุดยอดยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจครั้งที่ 9 – แม่น้ำเจ้าพระยา – เจ้าพระยา – แม่น้ำโขงซึ่งจะจัดขึ้นที่เวียงจันทน์ในเดือนมีนาคม การประชุมดังกล่าวจะทำให้ สปป.ลาวได้ข้อเสนอแนะที่ดีที่ดีในการพัฒนาประเทศต่อไป

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_PM_demands_18.php

รัฐบาลสปป.ลาวคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างมั่นคงในปี 2563

รัฐบาลสปป.ลาวคาดหวังอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศจะขยายตัวที่ 9.5% คิดเป็นมูลค่า 54,080 พันล้านกีบในขณะที่รายรับเฉลี่ยต่อหัวจะอยู่ที่ 6,120 ดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ โดยมีเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายรอบด้านทั้งการเพิ่มการลงทุนจากทั้งภาครัฐและสนับสนุนเอกชนให้มีการลงทุนเพิ่ม ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการเม็ดเงินลงทุนสูงถึง 16,700 ล้านกีบนอกจากนี้การพัฒนาให้ภาคอุตสหกรรมสำคัญอย่าง ภาคเกษตร พลังงาน อุตสาหกรรมและบริการมีการขยายตัวจะเป็นปัจจัยที่สำคัญเช่นกันในการทำให้ GDP ขยายตัวได้ตามเป้าหมาย เป็นที่น่าจับตามองถึงอนาคตของสปป.ลาวถึงการเติบโตดังกล่าวเพราะหากทำได้ตามเป้าหมายจะเป็นผลต่อสปป.ลาวอย่างมาก ทั้งดานการลดปัญหาความยากจน การเพิ่มงานให้คนในประเทศจากการที่มีการลงทุนสร้างโรงงานมากขึ้น เศรษฐกิจที่ดีจะทำให้สปป.ลาวพัฒนาได้อย่างยั่งยืน

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/vientiane-expects-stable-economic-growth-2020-112703

โครงการการลงทุนใหม่ในกำปงสปือของประเทศกัมพูชา

สภาเพื่อการพัฒนาประเทศกัมพูชา (CDC) อนุมัติโครงการลงทุนใหม่สองโครงการมูลค่า 13.8 ล้านเหรียญสหรัฐในจังหวัดกำปงสปือ ตามรายงานของสภาฯ โครงการที่ได้รับการอนุมัติใหม่นั้นเป็นของ บริษัท เค.วาย โอดิสซีย์การ์เม้นท์ จำกัด ในอำเภอกงปิสซี และ บริษัท โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า King Lian (กัมพูชา) จำกัด ในอำเภอสำโรงตอง โดยโครงการลงทุนสองโครงการครอบคลุมการผลิตเสื้อผ้า ซึ่งจะสร้างงานทั้งหมด 3,022 ตำแหน่งสำหรับคนในท้องถิ่น โดยกำปงสปือกำลังมองหาการลงทุนเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีแรงงานจำนวนมากซึ่งปัจจุบันย้ายไปอยู่ที่อื่นเพื่อหางานทำ จากรายงานของ ASEAN Investment 2019 มีโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าอยู่ 17 แห่ง ตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชาในช่วงสองปีที่ผ่านมาสร้างงาน 11,502 ตำแหน่งในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนใหญ่คือนักลงทุนจากฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีนและออสเตรเลีย โดยโรงงานผลิตกระเป๋าถือ กระเป๋าสตางค์ ชุดกีฬา เสื้อยืด และแจ็คเก็ตรวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ เป็นสินค้าหลัก

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50683495/investments-in-kampog-speu-touted

ธนาคาร SME ขนาด 100 ล้านเหรียญสหรัฐ จะเริ่มดำเนินการในครึ่งปีหลัง

หลังจากนายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวเป็นครั้งแรกในช่วงการประชุมภาครัฐและเอกชนครั้งที่ 18 เมื่อปีที่แล้วว่าจะมีการเปิดดำเนินการธนาคาร SME ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 โดยซีอีโอได้รับการว่าจ้างพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีที่มีประสบการณ์และมีความรู้รวมถึงผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าธนาคารจะประสบความสำเร็จในการดำเนินการ ซึ่งรัฐบาลจะเป็นเจ้าของธนาคาร 100% ผ่านกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน โดยจะมีวัตถุประสงค์หลักคือการช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยเหตุนี้ธนาคารจะดำเนินโครงการเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม SME เกี่ยวกับการธนาคารและเรื่องการเงินที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะดำเนินงานบนพื้นฐานของธนาคารพาณิชย์ที่สมบูรณ์และจะออกสินเชื่อเพื่อการค้าและบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้อง เป้าหมายคือการให้บริการทางการเงินที่เหมาะสมแก่ภาค SME ซึ่งอาจจะมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าที่ตลาดเสนอในปัจจุบัน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50683510/100-million-capitalized-sme-bank-to-commence-in-second-half-of-this-year

ผู้ประกอบการในประเทศร่วมลงนามกับอุตสาหกรรมปศุสัตว์

อุตสาหกรรมปศุสัตว์เวียดนามคาดว่าจะดึงดูดผู้ผลิตที่มีความเชี่ยวชาญในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยข้อตกลงความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการในประเทศที่มีศักยภาพจะช่วยให้อุตสาหกรรมฯ สามารถยกระดับความสามารถในการแข่งขันได้ ด้วยความร่วมมือและห่วงโซ่อุปทานระหว่างผู้ผลิต โรงฆ่าสัตว์และร้านค้าปลีก ทั้งนี้ จากกรายงานของกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท (MARD) เปิดเผยว่าปริมาณการผลิตเนื้อสัตว์รวมอยู่ที่ประมาณ 5.14 ล้านตันในปีที่แล้ว ลดลงร้อยละ 4.1 ซึ่งเนื้อหมูเป็นสินค้าที่จำเป็นและมีสัดส่วนของโครงสร้างการบริโภคขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามผลผลิตเนื้อหมูลดลงราว 380,000 ในปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9-10 เมื่อเทียบกับปี 61 ส่งผลให้ตลาดอาหารในประเทศอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ ทางผู้เชี่ยวชาญมองว่าการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานสำหรับสินค้าปศุสัตว์และความร่วมมือของผู้ประกอบการในประเทศ เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อการพัฒนาและความยั่งยืนต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์ที่ต้องเผชิญกับการนำเข้าเนื้อสัตว์ด้วยข้อตกลงการค้าเสรีรูปแบบใหม่

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/591526/domestic-companies-sign-deals-in-livestock-industry.html

เมืองดานัง ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากับเรือท่องเที่ยว 1,250 คน

ในวันที่ 26 มกราคมของปีนี้ เรือสำราญภายใต้ขื่อ “Westerdam” ได้บรรทุกผู้โดยสารที่เป็นชาวต่างชาติ 1,250 คน เข้าเทียบท่าเรือเตียนซา (Tien Sa) ณ กรุงฮานอย ซึ่งเป็นเรือสำราญลำแรกที่เดินทางมายังเมืองดานังในช่วงฉลองรับปีนักษัตรชวด ทั้งนี้ ผู้อำนวยการกระทรวงการท่องเที่ยว ระบุว่าพิธีต้อนรับนักท่องเที่ยวในครั้งนี้ เพื่อทำให้เมืองดานังเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติมากยิ่งขึ้น โดยในปีที่แล้ว เมืองดานังได้ต้อนรับเรือสำราญ 101 ลำ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สำหรับนักท่องเที่ยวร่วมเดินทางมายังเซ็นทรัลบีชอยู่ที่ 8.69 ล้านคน ในปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.5 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อีกทั้ง เป้าหมายในการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวมายังเมืองดายัง อยู่ที่ 9.8 ล้านคน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะเปลี่ยนภาคการท่องเที่ยวให้เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจท้องถิ่น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/da-nang-welcomes-first-1250-foreign-cruise-visitors/167798.vnp