ผลผลิตเนื้อหมู ตอบสนองต่อความต้องการตลาดในประเทศ ในช่วงเดือนหน้า

ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน ผลผลิตเนื้อหมูจะอยู่ในทิศทางแจ่มใส ขณะที่ ความต้องการเริ่มเพิ่มระดับสูงขึ้นในช่วงปลายปีนี้ จากนั้นจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดร้อยละ 25 ในช่วงเทศกาลตรุษจีนเร็วๆนี้ ทางด้านผู้รักษาการอำนวยการกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทเวียดนาม (MARD) เปิดเผยว่าต้องมีการร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาคเกษตรกรรมกับภาคอุตสาหกรรมและการค้า ซึ่งราคาเฉลี่ยเนื้อหมูในภาคเหนือยังอยู่ในระดับเสถียรภาพอยู่ที่ 65,000-66,000 ด่องต่อกิโลกรัม ส่วนภาคใต้อยู่ที่ 60,000-61,000 ด่องต่อกิโลกรัม แต่เมื่อเร็วนี้ๆ ราคาพุ่งสูงขึ้นอยู่ที่ 75,000 ด่องต่อกิโลกรัม เป็นผลมาจากการสื่อสารที่ผิดพลาด และข้อผิดพลาดในการจำหน่ายสินค้า ทั้งนี้ จากรายงานของกรมอนามัยสัตว์ ระบุว่าโรคไข้หวัดหมูแอฟริกาได้แพร่กระจายไปยังกว่า 63 จังหวัดและทุกเมืองเวียดนาม โดยมีสุกรมากกว่า 5 ล้านตัว ได้ถูกการคัดแยกแล้ว เพื่อหยุดการแพร่กระจายเชื้อโรคดังกล่าว นอกจากนี้ ผู้ผลิตเนื้อหมูควรใช้มาตรการด้านความปลอดภัยทางชีวภาพและควบคุมปริมาณสุกรอย่างเข็มงวด

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/538566/pork-supply-to-meet-demand-on-domestic-market-next-months.html#0wkhBBOzr7y0VjeY.97

สหรัฐฯ ส่งเสริมภาคเกษตรในรัฐคะฉิ่น

เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาได้พบปะกับสมาชิกภาคเกษตรของรัฐคะฉิ่นกว่า 60 คนในเมืองมิตจีเกี่ยวกับกิจกรรมของหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา (USAID) ในการพัฒนาการเกษตรและการพัฒนาระบบอาหาร ในการปรับปรุงความเป็นอยู่ของเกษตรกร กิจกรรมพัฒนาระบบเกษตรและอาหารเป็นโครงการเกษตรซึ่งเป็นครั้งแรกของ USAID ที่ขยายไปสู่รัฐคะฉิ่น โครงการมีระยะเวลาห้าปีมูลค่า 38 ล้านเหรียญสหรัฐคาดเข้าถึงประชาชนกว่า 125,000 คนในรัฐคะฉิ่น รัฐฉาน และเขตแห้งแล้งส่วนกลาง การสนับสนุนมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มยอดขายและบริษัทเกษตรในพื้นที่ โดยเงินทุน 42 ล้านเหรียญสหรัฐ การลงทุนภาคเอกชนอยู่ที่ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐและช่วยสร้างงานได้ 3,500 ตำแหน่ง แนวทางดังกล่าวคาดจะสร้างโอกาสการทำมาหากินมากขึ้นสำหรับชุมชนที่หลากหลายในรัฐคะฉิ่น ซึ่งสหรัฐอเมริกามุ่งมั่นที่จะดำเนินการโครงการอย่างเปิดและเผยโปร่งใส

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/us-promotes-inclusive-agriculture-led-growth-kachin-state.html

พาณิชย์ ปั้นผู้ประกอบการโคนมไทย ใช้เอฟทีเอชิงเค้กส่วนแบ่งตลาดนมในจีนและอาเซียน ยกระดับสู่ฟาร์มโคนมยุคดิจิทัล นำเข้าเทคโนโลยี Smart Farming แห่งแรกในอาเซียน

จากการลงพื้นที่ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 62 ที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อหารือผู้ประกอบการโคนมของไทย ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ “จัดทัพโคนมไทย บุกตลาดต่างประเทศด้วยเอฟทีเอ” ซึ่ง จัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพนมและผลิตภัณฑ์นมแปรรูปของไทยให้พร้อมแข่งขันได้ในยุคการค้าเพื่อขยายตลาดส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมแปรรูปไปต่างประเทศ โดยเฉพาะอาเซียน และจีน โดยได้ไปเยี่ยมชมโรงเลี้ยงโคนมของบริษัท แมรี่แอนด์แดรี่ โปรดักส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายนมและผลิตภัณฑ์นมแปร และยังได้รับรายงานว่าภายใต้โครงการดังกล่าว กรมเจรจาฯ ได้จัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯ เข้าร่วมอบรมบูธแคมป์ในเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการส่งออกโดยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ ตลอดสำรวจตลาด และจับคู่ธุรกิจกับผู้นำเข้าของจีน และสิงคโปร์ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก สามารถจับคู่ธุรกิจ และขยายการส่งออกไปจีนและสิงคโปร์ ยังมีโอกาสร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามสัญญาระหว่างบริษัท แมรี่แอนด์แดรี่ โปรดักส์ จำกัด กับบริษัท Delaval Export AB ของประเทศสวีเดน ซึ่งมีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยีการเลี้ยงโคนมสมัยใหม่และเป็นที่ยอมรับในยุโรป ในการบุกเบิกนำเข้าเทคโนโลยีการเลี้ยงโคนมแบบ smart farming ผ่านโปรแกรมการจัดการฟาร์มโคนมให้มีประสิทธิภาพด้วยระบบเดลโปร์ (Delpro Herd Management) เข้าสู่ภาคโคนมเป็นแห่งแรกในอาเซียน ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 62 มูลค่าการส่งออกนมและนมแปรรูปของไทยอยู่ที่ 410.7 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.9% สินค้าส่งออกหลัก คือ โยเกิร์ต บัตเตอร์มิลค์ นมและครีม โดยคู่ค้าหลักยังคงเป็นประเทศในแถบอาเซียน เช่น กัมพูชา ขยายตัว 19.4% ฟิลิปปินส์ ขยายตัว 26.3% และสิงคโปร์ขยายตัว 6.9% รวมทั้งฮ่องกงและจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีความตกลงเอฟทีเอกับไทยและได้ลดภาษีนำเข้าสินค้านมโคและผลิตภัณฑ์นมโคแปรรูปให้กับไทยแล้ว จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่ต้องเร่งใช้ประโยชน์ให้สินค้าไทยสามารถขยายตลาดได้อย่างต่อเนื่อง

ที่มา: https://www.ryt9.com/s/beco/3068625

มาเลเซียคาดมีผู้ป่วยเมียนมาเพิ่ม

สภาการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพของมาเลเซียคาดนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourist) สร้างรายได้ 22 ล้านริงกิต (8 พันล้านจัตหรือ 5.3 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยชาวเมียนมาที่เดินทางมามาเลเซียจะต้องจ่ายราคาเดียวกับชาวมาเลเซีย ปีที่แล้วโรงพยาบาลในมาเลเซียมีรายได้ 12.8 ล้านริงกิตจากผู้ป่วยชาวเมียนมาและจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มาเลเซียมีโรงพยาบาลเอกชน 200 แห่งไม่รวมถึงคลินิกทันตกรรมและศูนย์สุขภาพและสุขภาพ มีโรงพยาบาลพันธมิตรที่ดีที่สุด 78 แห่ง พันธมิตรยอดเยี่ยม 21 รายและสมาชิกสามัญ 52 ราย ส่วนใหญ่ชาวเมียนมาที่เดินทางไปมาเลเซียนั้นเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ มะเร็ง การทำเด็กหลอดแก้ว และโรคเบาหวาน ในปี 54 มีผู้ป่วยมากกว่า 2,000 รายที่มาจากเมียนมา ภายในปี 61 เพิ่มขึ้นเป็น 16,000 คน อนาคตอาจมีการร่วมมือกันสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์และทำงานร่วมกับโรงพยาบาล 7 แห่งรวมถึงโรงพยาบาลวิคตอเรีย ในย่างกุ้ง ทั้งนี้ยังได้รับรางวัล“ ประเทศที่ดีที่สุดในโลกด้านการดูแลสุขภาพ” และ“ประเทศอาเซียนที่ดีที่สุดสำหรับคนวัยเกษียณ” เร็ว ๆ นี้รายงานปี 61 มาเลเซียติดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพชั้นนำระดับโลก

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/malaysia-expects-more-myanmar-patients.html

MoneyGram และ Wing เปิดตัวบริการกระเป๋าเงินบนมือถือใหม่ในกัมพูชา

Money Gram International, Inc. หนึ่งใน บริษัท โอนเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกประกาศเป็นพันธมิตรกับ Wing (กัมพูชา) จำกัด Specialized Bank ผู้ให้บริการธนาคารบนมือถือชั้นนำของประเทศกัมพูชาเพื่อเสนอบริการใหม่ที่จะช่วยให้ลูกค้าได้รับเงินโดยตรงในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของพวกเขา โดยประธานและซีอีโอของ MoneyGram กล่าวว่า 80% ของการทำธุรกรรมออนไลน์ทำบนอุปกรณ์พกพา ซึ่ง Wing อยู่ในระดับแนวหน้าของการให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยอนุญาตให้ผู้ใช้งานส่งเงินข้ามเขตแดนได้อย่างสะดวกและเชื่อถือได้ผ่านแอพพลิเคชั่น Wing Money ซึ่งลูกค้ายังมีตัวเลือกในการจ่ายเงินโดยใช้ช่องจ่ายเงินสด Xpress WING กว่า 7,000 แห่งในกัมพูชา โดยธนาคารแห่งประเทศกัมพูชาระบุว่าเงินที่ส่งกลับเข้ามาในประเทศจากแรงงานข้ามชาติชาวกัมพูชามีมูลค่ารวม 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 ตัวเลขดังกล่าวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากเงินที่ส่งกลับบ้านจากชาวกัมพูชาที่ทำงานในต่างประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญ

ที่มา: https://www.khmertimeskh.com/50660686/moneygram-and-wing-to-launch-a-new-mobile-wallet-service-in-cambodia/

การทดสอบความผิดปกติของทองคำในดินในมณฑลคีรีให้ผลลัพธ์ที่เป็นบวก

โปรแกรมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบความผิดปกติของทองคำในดินที่ใบอนุญาต Koan Nheak ในจังหวัดมณฑลคีรีให้ผลลัพธ์ที่เป็นบวก โดยบริษัทของแคนาดาถือใบอนุญาตในการสำรวจ แต่โปรแกรมการสำรวจและขุดเจาะที่เกิดขึ้นจริงนั้น ดำเนินการโดย Emerald Resources ผ่านทาง Renaissance Minerals ในเครือกัมพูชา ภายใต้ข้อตกลง Earn-In ที่ชัดเจนเป็นครั้งแรกเมื่อสองปีก่อน ซึ่งโปรแกรมการฝึกซ้อมมีจุดประสงค์เพื่อทดสอบความผิดปกติของทองคำในดินและความผิดปกติของโพลาไรเซชันที่เกิดขึ้นทางธรณีฟิสิกส์ในอนาคต โดยโปรแกรมการฝึกซ้อมประกอบด้วย 15 หลุม เจาะลงไปที่ความลึกเฉลี่ย 80 เมตร ซึ่งแบ่งเขตควอทซ์เบคคาเรียกับแร่ซัลไฟด์ โดยแต่ละโซนเหล่านี้ยืนยันการมีอยู่ของแร่ทองคำ ซึ่งใบอนุญาต Koan Nheak เป็นหนึ่งในห้าใบอนุญาตสำรวจแร่ครอบคลุม 983 ตารางกิโลเมตรที่ Angkor Resources Corp ถืออยู่ในประเทศกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50660695/gold-in-soil-anomaly-test-in-mondulkiri-yields-positive-results/

นายกรัฐมนตรีเล็งเห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ในสปป.ลาว

นายกรัฐมนตรีสปป.ลาว แสดงความมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นในปีหน้าเนื่องจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งจะเริ่มเปิดตัว เช่น รถไฟสปป.ลาว – จีนซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 64 และทางด่วนทางรถไฟและสะพานที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยการเปลี่ยนแปลงของสปป.ลาวจากประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลเป็นเส้นทางเชื่อมโยงภูมิภาคจะนำไปสู่การเพิ่มการลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะในภาคธุรกิจการเกษตรและการท่องเที่ยว ตามรายงานของรัฐบาล เศรษฐกิจจะเติบโตเพียง 6.4% ในปี 62 ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขที่รับรองโดยสมัชชา 0.3% เพื่อให้มั่นใจว่าในปี 63 เศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง รัฐบาลได้ให้คำมั่นที่จะแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการเติบโตและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีจะพบกันในวันที่ 18 พ.ย.เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการบริการการลงทุนแบบครบวงจร ปรับปรุงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและสร้างเงื่อนไขให้กับธุรกิจเพื่อให้บริการด้านการท่องเที่ยวที่หลากหลายและดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูงให้มากขึ้น จะเร่งปรับปรุงระบบการจัดเก็บรายได้ให้มีความทันสมัย นอกจากนี้รัฐบาลจะรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและอัดฉีดเงินเข้าสู่ธุรกิจ SMEs เพื่อกระตุ้นการเติบโตและการสร้างงาน

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_PM_sees_251.php

จำปาสักพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวกว่าล้านคนในปีนี้

ในความพยายามที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้นผ่านบริการที่ดีขึ้นและจำนวนผู้เข้าชมในฤดูกาลนี้คาดว่าจะสูงกว่า 1 ล้านคน รองผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของจังหวัดกล่าวว่าจังหวัดได้ปรับปรุงมาตรฐานของโรงแรม ร้านอาหารและแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เป้าหมายคือเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นหลังจากที่ตัวเลขลดลงในช่วงน้ำท่วมในช่วงปลายเดือนส.ค.และต้นเดือนก.ย. ซึ่งกำลังทำการโฆษณาแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น โดยทำให้ผู้เข้าชมตระหนักถึงสถานที่ที่สวยงามและกิจกรรมที่น่าสนใจที่นี่ อีกทั้งตลอดทั้งปีแขวงจำปาสักยังเป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลอาหารสปป.ลาว งานแสดงสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (ODOP) งานแสดงสินค้าผ้าไหมและผ้าฝ้ายสปป.ลาว งานประกวดความงาม การแข่งขันกีฬาและงานแข่งเรือประจำปี ผู้เข้าชมยังสามารถเพลิดเพลินกับผลผลิตออร์แกนิกอีกด้วย

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/feature-champassak-track-welcome-one-million-tourists-year-108408

เวียดนามตั้งเป้ายอดส่งออกข้าว 6.5 ล้านตัน ภายในปี 2562

จากข้อมูลของสมาคมอาหารเวียดนาม (VFA) คาดว่าจะส่งออกได้ 6.5 ล้านตัน ในปี 2562 โดยประเทศจีนเป็นตลาดส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ประกอบกับเวียดนามส่งออกไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เฉลี่ยอยู่ที่ 2 ล้านตันต่อปี คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของยอดส่งออกข้าวรวมทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าเวียดนามจะมีส่วนแบ่งการตลาดสูงและมีขนาดตลาดใหญ่ แต่ในช่วงตั้งแต่ปี 2561 มีแนวโน้มลดต่ำลง เนื่องมาจากกฎระเบียบทางด้านคุณภาพสินค้า และข้อกำหนดทางด้านเทคนิคที่เข็มงวด ด้วยเหตุนี้ จึงต้องหันมาส่งออกไปยังตลาดอื่น ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม (MoIT) ระบุว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกข้าวไปยังประเทศจีน ลดลงร้อยละ 67 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ถึงแม้ว่าสถานการณ์การส่งออกข้าวลดลงก็ตาม แต่คาดว่าในปีนี้ จะสามารถส่งออกข้าวรวมตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/rice-exports-set-to-reach-65-million-tonnes-during-2019-406267.vov

ผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าเวียดนาม เผชิญกับการบริโภคที่ตกต่ำ ในช่วงเดือนตุลาคม

จากข้อมูลของสมาคมเหล็กเวียดนาม (VSA) เปิดเผยว่าการบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าลดลง โดยเฉพาะเหล็กแผ่นเคลือบสี (Colour-coated steel) ในช่วงเดือนตุลาคมของปีนี้ ขณะที่ ผลผลิตยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากจำแนกผลิตภัณฑ์เหล็กที่มีผลผลิตและการบริโภคเพิ่มขึ้น พบว่ามีเพียงผลิตภัณฑ์เหล็กก่อสร้างชนิดเดียว ส่วนผลิตภัณฑ์ชนิดอื่น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดเย็นมีผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่การบริโภคหดตัวลงร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นเคลือบสีที่มีผลผลิตลดลงมากที่สุดในช่วงเดือนตุลาคม แตะระดับ 348,902 ตัน ลดลงร้อยละ 15.3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เช่นเดียวกับการบริโภคที่หดตัวลงร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทั้งนี้ จากการส่งออกลดลงอย่างมากของผลิตภัณฑ์เหล็กขั้นกลาง ขณะที่การนำเข้ายังคงเพิ่มขึ้นทุกๆปี ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และอินเดีย ด้วยเหตุนี้ ทางกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม ตัดสินใจในการป้องกันการทุ่มตลาดของผลิตภัณฑ์เหล็กเคลือบสีบางชนิดที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศเกาหลีใต้ และจีน นอกจากนี้ ยังขยายการตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์สเตนเลสรีดเย็น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/steel-products-experience-slow-consumption-in-october/163815.vnp