เวียดนามก้าวขึ้นแท่นเป็นประเทศต้นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อการลงทุน

จากรายงานของสำนักข่าว US News & World Report เปิดเผยว่าประเทศเวียดนามก้าวเข้าสู่ประเทศที่น่าลงทุนของปีนี้ อยู่ในอันดับที่ 8 จาก 29 ประเทศ, เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่อยู่ในอันดับที่ 23 ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซียอยู่ในอันดับที่ 13, 14, 18 ตามลำดับ ทางด้านรายงานปฏิรูปเศรษฐกิจของนโยบายโด่ยเหม่ย (Doi Moi) ที่ก่อตั้งในปี 2529 ได้ช่วยให้เวียดนามมีความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศมากขึ้น และมีความทันสมัย รวมไปถึงมีการดำเนินการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ และสังคมมาอย่างต่อเนื่อง โดยแสดงให้เห็นถึงการเข้าร่วมกับองค์กรการค้าโลก (WTO) และภายในปี 2553 ได้เข้าร่วมเจรจาในข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership: TPP) นอกจากนี้ ยังเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ และฟอรั่มอาเซียน เป็นต้น ซึ่งข้อมูลของกระทรวงการวางแผนและการลงทุนเวียดนาม ระบุว่าตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงเดือนสิงหาคม เวียดนามดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงต่างประเทศรวมอยู่ที่ 22.63 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ยังคงเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม รองลงมาญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน และฮ่องกง ตามลำดับ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/535610/viet-nam-ranked-in-top-countries-for-investment.html#aCBCVJlxoKaxLKaS.97

ย่างกุ้งวางแผนศูนย์กลางโลจิสติกส์สถานีรถบรรทุกเพื่อลดความแออัด

ย่างกุ้งวางแผนสร้างศูนย์กลางโลจิสติกส์และสถานีรถบรรทุกในเขตชานเมืองเพื่อลดความแออัดและจัดหาพื้นที่จอดรถให้เพียงพอ ปัจจุบันมีบริษัทขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุก 22 ล้อ, 12 ล้อและ 6 ล้อจากโรงงานโดยตรงไปยังเมืองต่างๆ อย่างไรก็ตาม การขนย้ายสินค้าไปยังคลังสินค้าที่สถานีขนส่งทางหลวงบุเรงนอง ในเขตการปกครอง Mayangone ก่อนที่จะโหลดสินค้าลงบนรถบรรทุก ทำให้การจราจรหนาแน่นและสถานีที่ไม่สามารถรองรับจำนวนรถบรรทุกที่เพิ่มขึ้นได้ เครือข่ายการขนส่งสินค้าของประเทศครอบคลุมโดยรถบรรทุกเป็นส่วนใหญ่นอกเหนือจากช่องทางรถไฟและทางทะเล ในช่วงปีงบประมาณ 60-61 มีรถบรรทุกสินค้ารวม 530,000 คันขนย้ายสินค้าไปทั่วย่างกุ้ง ปริมาณการขนส่งสินค้าทางรถไฟมีจำนวน 526,000 ตันในขณะที่ 422,000 ตันและ 1,400 ตันถูกขนย้ายโดยเรือและเครื่องบินตามลำดับ

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/yangon-plans-logistics-hub-truck-terminal-ease-congestion.html

อินโดนีเซีย – เมียนมาหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านอาหาร สิ่งทอ และภาคบริการ

จากรายงานของสหพันธ์การค้าและอุตสาหกรรมสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (UMFCCI) นักธุรกิจอินโดนีเซียและเมียนมากำลังหารือเพื่อร่วมมือในอุตสาหกรรมอาหารสิ่งทอและบริการ การจับคู่ทางธุรกิจจัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมา เป็นการอำนวยความสะดวกระหว่างนักธุรกิจในการซื้อขายปุ๋ย ยาฆ่าวัชพืช บรรจุภัณฑ์ อาหารและยาซีเมนต์ ปูนซีเมนต์ กระดาษและเยื่อกระดาษ สิ่งทอรวมถึงผ้าบาติก การค้าและบริการ จากข้อมูลพบว่าการค้าของสองประเทศมีมูลค่า 523.147 ล้านเหรียญสหรัฐในระหว่าง เม.ย.ถึงก.ย.2561 เมียนมาส่งออก 62.822 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีการนำเข้ามูลค่า 460.325 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีงบประมาณ 60-61 การค้ากับอินโดนีเซียมีมูลค่า 1,025.278 ล้านเหรียญสหรัฐ- ส่งออก 123.909 ล้านดอลลาร์สหรัฐและ นำเข้า 901.369 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ 1 ต.ค. 61 ถึง ก.ค. 62 มีมูลค่า 863.091 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การจัดงาน UMFCCI Centennial International Expo 2019 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีการลงทุนในประเทศและต่างประเทศและโอกาสทางเศรษฐกิจโดยจัดแสดงผลิตภัณฑ์สินค้ารวมถึงยานพาหนะจากเยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลี จีน มาเลเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/indonesia-myanmar-discuss-cooperation-in-foodstuff-textile-service-sectors

สปป.ลาว, จีนเตรียมจัดงานแสดงเทคโนโลยีร่วมกัน

นิทรรศการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสปป.ลาว – ​​จีนจะจัดขึ้นที่เวียงจันทน์ตั้งแต่วันที่ 11-16 ต.ค.นี้เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้ง 2 ประเทศได้แสดงนวัตกรรมล่าสุดสู่สาธารณะ งานแสดงสินค้าที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติ เป็นเวทีสำหรับภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของทั้ง 2 ประเทศภายใต้หัวข้อ “Fostering Smart Technology Application to Achieve the Goal of Industrialisation and Modernisation”  มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้โอกาสแก่บริษัทและสถาบันการวิจัยในการแบ่งปันข้อมูลสร้างเครือข่ายเพื่อส่งเสริมการผลิตและจุดประกายโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยี และยังมีการจัดแสดงงานฝีมือพร้อมกับอาหารท้องถิ่นและเทคโนโลยีล่าสุดสำหรับผู้บริโภคและอิเล็กทรอนิกส์  การจัดงานในครั้งนี้มีความสำคัญสำหรับการสร้างมูลค่าเพิ่มในความรู้และเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการจัดการและประสิทธิภาพที่นำไปสู่ธุรกิจใหม่และส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม เหตุการณ์จะช่วยให้การแลกเปลี่ยนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการวิจัยและการถ่ายโอนเทคโนโลยีระหว่างรัฐบาลภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/laos-china-stage-joint-technology-expo-104461

สปป.ลาว – ไทยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความร่วมมือและประสบการณ์ระหว่างสองประเทศ

คณะผู้แทนสื่อสปป.ลาวเดินทางมาเยือนประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 10-13 ก.ย.ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างสองประเทศ การเรียกประชุม เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘ สื่อสปป.ลาวเยี่ยมชมประเทศไทย ‘ ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มของกระทรวงการต่างประเทศและดำเนินการโดยสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำสปป.ลาว โครงการนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความเข้าใจที่มากขึ้นระหว่างผู้คนของทั้งสองประเทศผ่านสื่อ ในระหว่างการเยือนคณะผู้แทนได้มีการพบปะกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศสมาชิกสมาคมนักข่าวไทยและเยี่ยมชมองค์กรสื่อไทยรวมถึง บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ผู้ประกาศข่าวสาธารณะของไทย และช่อง 7HD แบ่งปันบทเรียนเกี่ยวกับการทำธุรกิจในอุตสาหกรรมสื่อ การเยี่ยมชมครั้งนี้ยังรวมถึงการทัศนศึกษาดูสถานที่สำคัญต่างๆ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Lao_Thai_210.php

กัมพูชาและไทยลงนามในข้อตกลงการจดทะเบียนข้ามพรมแดน

กัมพูชาและไทยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นข้ามพรมแดน เพื่อปูทางให้ บริษัท ไทย และ บริษัท กัมพูชา เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ท้องถิ่นได้ โดยได้ลงนามกันที่กรุงเทพฯระหว่างผู้อำนวยการตลาดหลักทรัพย์ประเทศกัมพูชา (SECC) และ เลขาธิการ ก.ล.ต. ประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมถึงแนวทางช่วยเหลือผู้ออกตราสารที่ต้องการเสนอขายหลักทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นตราสารทุนหรือตราสารอนุพันธ์ทั้งในประเทศไทยและประเทศกัมพูชา โดยเชื่อว่า MoU เป็นขั้นตอนสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือในตลาดทุนระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลสองแห่งทั้งด้านของความเชื่อมั่นและการดำเนินการจดทะเบียนข้ามพรมแดนให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์กัมพูชาเปิดตัวในปี 2555 มี บริษัท จดทะเบียน 5 แห่ง โดยมีการระดมทุนทั้งหมด 120 ล้านเหรียญสหรัฐใน CSX นับตั้งแต่เปิดตัว

ที่มา : https://www.b2b-cambodia.com/news/cambodia-thailand-sign-agreement-on-cross-border-listings/

กัมพูชาเปิดตัวแผนแม่บทเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวใน 2 สถานที่มรดกโลก

กรุงพนมเปญของกัมพูชา ได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ 4 ยุทธศาสตร์รวมถึงการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเพื่อการพัฒนาและสร้างความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ฟื้นฟูในส่วนพื้นที่อุทยานโบราณคดีอังกอร์และวัดพระวิหารในจังหวัดทางตอนเหนือ โดยแหล่งท่องเที่ยวหลักสองแห่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง 9.7% และ 5.5% ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปีนี้ ซึ่งเชื่อมั่นว่า การพัฒนาผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวใหม่เป็นสิ่งที่จำเป็นในการดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังจังหวัด จากรายงานระบุว่าในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปีนี้กัมพูชาให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 3.84 ล้านคนเพิ่มขึ้น 11.1% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนถึง 1.5 ล้านคนในช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบเป็นรายปีนักท่องเที่ยวเวียดนามพุ่งขึ้นเกือบ 480,000 คนเพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบเป็นรายปีและนักท่องเที่ยวสปป.ลาวเกือบ 220,000 คนลดลง 1.9%

ที่มา : https://english.cambodiadaily.com/business/cambodia-unveils-masterplan-to-boost-tourism-in-2-world-heritage-sites-153334/

พัฒนาเชิงพื้นที่เชื่อมโลกยกระดับเศรษฐกิจ

การสัมมนาประจำปีของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปี 2562 ชูแนวคิดพัฒนาพื้นที่ไทย เชื่อมไทยก้าวไกลเชื่อมโลกโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เน้นย้ำขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ให้เป็นรูปธรรม เพื่อเกิดการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ลดความเหลือมล้ำในสังคม และให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางภูมิภาคนี้ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การศึกษาและสาธารณสุข ทั้งนี้การพัฒนาเชิงพื้นที่มุ่งเน้นการเข้าถึงและการเชื่อมโยงเป็นสำคัญ ซึ่งไทยมีภูมิศาสตร์ที่ดีแต่ต้องเสริมโครงสร้างพื้นฐาน เช่นถนน รถไฟ สนามบิน โครงข่ายอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงแต่ละภูมิภาค ซึ่งโครงการรถไฟทางคู่จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมส์สำคัญทั้งการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร รวมถึงการเชื่อมโยงสู่ต่างประเทศ เช่น การพัฒนาท่าเรือระนองเป็นประตูสู่เอเชียใต้ ซึ่งมีหัวใจสำคัญที่ไทยต้องปรับตัว 2 บริบท คือ 1.การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีหรือดิสรัปชั่น 2.การเตรียมตัวรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรม

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/847742

‘หม่อมเต่า’ เผย ที่ประชุม รมต.แรงงาน CLMTV เห็นชอบการเคลื่อนย้าย-คงสิทธิประกันสังคมต่างด้าว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ปลัดกระทรวงแรงงาน รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีแรงงานในกลุ่มประเทศ CLMTV ครั้งที่ 3 ณ อัปสรา พาเลส รีสอร์ทและคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัดเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ในหัวข้อ “Toward the Protection of Migrant Workers in CLMVT Countries: Social Security Cooperation” โดยสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน เป็นประธานในพิธีเปิด การประชุมในครั้งนี้ได้มีการให้ความเห็นชอบร่วมกันในหลักการของแผนงาน เพื่อการเคลื่อนย้ายและการคงสิทธิทางประกันสังคมสำหรับแรงงานต่างด้าวในกลุ่มประเทศ CLMTV และร่างแถลงการณ์ร่วมเพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการจะร่วมกันพัฒนาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการเคลื่อนย้ายและคงสิทธิทางประกันสังคมสำหรับแรงงานต่างด้าวกลุ่มประเทศ CLMTV ให้เป็นรูปธรรมต่อไป ซึ่งจะมีการตั้งคณะทำงานร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรี โดยจะมีการรับรอง ในการประชุมระดับรัฐมนตรีแรงงานในกลุ่มประเทศ CLMTV ครั้งที่ 4 ณ สปป.ลาว ต่อไป

ที่มา : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-372745

เวียดนามตั้งเป้าหมายเจาะตลาดฮาลาล

จากข้อมูลของงานส่งเสริมการลงทุนและการค้า (ITPC) ณ นครโฮจิมินห์ ระบุว่าหากเวียดนามไม่ทำการค้าในกลุ่มตลาดฮาลาล จะเสียมูลค่าการส่งออกไปกว่า 23.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งทางผู้อำนวยการศูนย์การค้าและการลงทุน มองว่าตราสินค้าที่ได้รับรองตามมาตรฐานฮาลาลนั้น จะแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของชาวมุสลิมในการบริโภคผลิตภัณฑ์ได้ นับว่ามีส่วนสำคัญในการปกป้องผู้บริโภค เพราะไม่เพียงแต่ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางศาสนา แต่ยังสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยของอาหารที่เข็มงวดของชาวมุสลิม ผ่านการรับรองจากเครื่องหมายรับรองฮาลาล จากสถิติประชากร ระบุว่าชาวมุสลิมทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 1.8 พันล้านคนทั่วโลก คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23 ของประชากรโลก ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มประชากรชาวมุสลิมอยู่ในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทำให้ประเด็นดังกล่าวข้างต้น จะทำให้เวียดนามได้เปิดโอกาสในการขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น และช่วยส่งเสริมขีดความสามารถในการส่งออกไปยังต่างประเทศ รวมไปถึงเวียดนามมีข้อได้เปรียบในด้านวัตถุดิบ ในการผลิตสินค้าฮาลาล เช่น กาแฟ ข้าว อาหารทะเล เครื่องเทศ ถั่ว ผัก เป็นต้น และได้ยอมรับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยว ด้วยเหตุนี้ การเติบโตของร้านอาหารและโรงแรม จึงเป็นไปตามมาตรฐานฮาลาล

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/535542/viet-nam-needs-to-target-halal-markets.html#jG1m6ZpFBfmp8ztb.97