FTA อียู-เวียดนาม จะกระเทือนส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยในอียู?

สหภาพยุโรปและเวียดนาม ได้ลงนามข้อตกลงการค้าเสรี (EVFTA) เมื่อปลายปี 2558 ในสาระสำคัญของความตกลง EVFTA คือ การลดภาษีสินค้านำเข้ากว่าร้อยละ 99 ของสินค้านำเข้าทั้งหมด ซึ่งการลดภาษีสินค้าดังกล่าว จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเวียดนามมากขึ้น แต่หากพิจารณาเฉพาะหมวดสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับนั้น ในระยะสั้นถึงกลาง ไม่ได้ส่งผลให้เวียดนามได้เปรียบไทยมากนัก เพราะแม้ว่าไทยจะต้องเสียภาษีนำเข้าสินค้าประเภทนี้ในปัจจุบัน แต่อัตราภาษีนำเข้าในอียูก็อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ คืออยู่ที่ร้อยละ 0-4 ประกอบกับไทยมีฝีมือการเจียระไนอัญมณีที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับสากล จึงทำให้ไทยยังคงเป็นที่ต้องการจของตลาดโลกรวมถึงตลาดอียูอีกด้วย ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในระยะยาว EVFTA อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของไทย เพราะแม้ว่ามูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของเวียดนามไปยังอียูจะยังค่อนข้างต่ำ แต่ก็มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น หากเวียดนามได้พัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน และสินค้าอัญมณีเวียดนามก็อาจแย่งส่วนแบ่งการตลาดของไทยในอียูได้ในอนาคต เพราะฉะนั้น ผู้ประกอบการไทยควรเร่งพัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้า รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตและการตลาดเพิ่มมากขึ้น

ที่มา : https://infocenter.git.or.th/Content_View.aspx?id=2605&Lang=TH&mail=1

ธุรกิจ Training center ด้านการโรงแรม โอกาสของไทยในกัมพูชา

ในปี 2018 มีเม็ดเงินลงทุนถึง 2.6 หมื่นล้านบาท หรือเกือบ 16% ของการลงทุนทั้งหมด ในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรมทำให้ปัจจุบันขาดแคลนแรงงานภาคการบริการ Skilled labor เป็นจำนวนมาก จากผู้ประกอบการกว่า 1,700 แห่ง ไม่พอใจแรงงานถึง 78% พบว่าแรงงานส่วนใหญ่ขาดทักษะที่สำคัญ อย่าง การให้บริการ การทำงานร่วมกับผู้อื่น ภาษาและการสื่อสาร นี่จึงเป็นช่องทางของธุรกิจ Training center เพราะไทยมีขนาดอุตสาหกรรมติด 1 ใน 10 ของโลก โดยพื้นฐานหลักสูตรควรเน้นระดับพื้นฐานถึงระดับกลางอย่างเชฟ พนักงานขาย พนักงานต้อนรับถึงผู้บริหารระดับกลาง โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษา การตั้งเป็นสถาบัน การเปิดการสอนแบบมอบใบประกาศนียบัตร หรือแบบ Training course และสำคัญที่สุดคือ การร่วมมือกับคนท้องถิ่น ร่วมมือกับสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลกเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/news/582515?fbclid=IwAR3MbhOik1g0L2rSk0W_7Q8fhGuD84L9m9fgHSr5Mnb1sPwB9oCvgeQW2FM

7 มีนาคม 2562

4 กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมียนมา

การปฏิรูปเศรษฐกิจ ริเริ่มแผนการพัฒนาเมียนมาอย่างยั่งยืนและจัดตั้งคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลขึ้นในปี 2561 การลงทุน ตั้งเป้าหมายส่งเสริมการลงทุนที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเอื้อต่อการลงทุน ในสาขาโครงสร้างพื้นฐาน ภาคเกษตร ปศุสัตว์ การประมง การศึกษา สาธารณสุข การท่องเที่ยว โลจิสติกส์ การผลิตสินค้าในประเทศทดแทนการนำเข้า อุตสาหกรรมการส่งออก และการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมใหม่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ร่วมกับ ADB และ JICA ปรับปรุงคุณภาพทางหลวงเพื่อเชื่อมโยงพื้นที่เมืองและชนบท พัฒนาระบบไฟฟ้า โครงการพลังงานน้ำและโครงการแสงอาทิตย์ 2561 การส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพิ่มจำนวนโรงแรม ยกเว้นการตรวจลงตราให้นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ กำหนดมาตรการออก Visa on Arrival ให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน จึงเป็นที่มาของผู้ประกอบการที่จะเข้าไปดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะใน 4 ประเด็นหลักที่คาดว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญต่อไปในอนาคต เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ที่มา: https://www.bangkokbanksme.com/article/28721

19 กุมภาพันธ์ 2562

ธุรกิจ E-commerce เวียดนามมีผู้ใช้กว่า 37 ล้านคน

ในปัจจุบัน การทำธุรกิจในเวียดนามผ่านทาง “E-Commerce” มีศักยภาพสูงและเป็นทางเลือกหนึ่งในการขยายตลาดสินค้าอุปโภคและบริโภคในเวียดนาม โดยเฉพาะทางภาคใต้ เนื่องจากคนเวียดนามชนชั้นกลางมีกำลังซื้อสูง ซึ่งในช่วงปี 2559-2563 ธุรกิจ E-Commerce ในเวียดนามจะเติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี และมีมูลค่าสูงถึง 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2563 โดยจำนวนผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าออนไลน์ใน 4 เมืองใหญ่ในเวียดนามเพิ่มขึ้น 8.8% จาก 5.4% ในปี 2560 ทำให้นักลงทุนต่างชาติหลายรายสนใจมาลงทุนด้าน E–Logistics ทั้งนี้ 5 อันดับสินค้าและบริการออนไลน์ส่วนใหญ่ที่ขายดีในเวียดนาม ได้แก่ เครื่องแต่งกายและผลิตภัณฑ์ความงาม รองลงมาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ในครัวเรือน การจองที่พักและตั๋วเครื่องบิน และอุปกรณ์สำนักงาน ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักเลือกชำระเงินปลายทางเนื่องจากการชำระเงินด้วยเงินสดยังคงเป็นวิธีการชำระเงินที่แพร่หลาย สะดวกและเชื่อถือได้มากที่สุด ซึ่งเห็นได้ชัดว่า วิธีการและขั้นตอนการชำระเงินและรับสินค้าในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทยกับเวียดนาม มีบริบทแตกต่างกัน นับว่าเป็นประเทศที่กระแสด้านอีคอมเมิร์ซแรงมากอีกประเทศ ด้านผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซของไทยควรศึกษาโอกาส เพื่อดูลู่ทางทำการค้าในอนาคต

ที่มา : https://www.bangkokbanksme.com/en/17759

พฤติกรรมการโอนเงินของชาวกัมพูชา เทคโนโลยีไม่ซับซ้อนแต่แก้ปัญหาได้ตรงจุด

ปัจจุบันเทคโนโลยีทางธุรกรรมทางการเงินล้ำหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ในกัมพูชาเองยังมีวิธีการโอนเงินด้วยวิธีที่ง่ายไม่ซับซ้อน ด้วยความที่ชาวกัมพูชาส่วนใหญ่ไม่มีบัญชีธนาคารเป็นของตัวเองจึงไม่สามารถทำธุรกรรมผ่าน ATM หรือระบบออนไลน์ได้ และยังรั้งตำแหน่งท้ายสุดในกลุ่ม CLMV ของจำนวนผู้มีบัญชีธนาคาร ปัจจุบันมีผู้ให้บริการโอนเงินผ่านโทรศัพท์มือถือรายใหญ่คือ Wing (Cambodia) มีสาขามากกว่า 6,000 แห่งทั่วประเทศ ให้บริการตั้งแต่โอนเงินส่วนบุคคล ชำระสินค้า และโอนเงินระหว่างประเทศ โดยมีค่าธรรมเนียม 0.38 – 2.5 เหรียญสหรัฐ โอนครั้งละไม่เกิน 1,000 เหรียญสหรัฐ และในปัจจุบันคนรุ่นใหม่เริ่มมีการใช้ระบบดิจิตอลกันมากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการ/นักลงทุนไทยควรทำความเข้าใจและติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด

ที่มา: http://www.exim.go.th/doc/newsCenter/50457.pdf

28 กุมภาพันธ์ 2562

อันดับการมีส่วนร่วมใน CLMV ของญี่ปุ่นแซงไทยขึ้นมาอยู่อันดับ 3 โดยเน้นลงทุนภาคบริการใน CLMV มากขึ้น (CLMV-EPI)

ดัชนีบทบาททางเศรษฐกิจใน CLMV (CLMV-EPI) ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา ไทยหลุดจาก 1 ใน 3 ของกลุ่มประเทศที่ลงทุนใน CLMV โดยถูกแทนด้วยญี่ปุ่นที่เน้นการลงทุนโดยตรง (FDI) ในอุตสาหกรรมที่ไม่เน้นการผลิต ที่กลายเป็นอุตสาหกรรมการค้าปลีก การธนาคาร โลจิสติกส์ หรือภาคบริการสมัยใหม่ (Modern Service) มากขึ้น โดยเฉพาะกัมพูชาและเมียนมา หากเอ่ยถึงอุตสาหกรรมภาคบริการสมัยใหม่ (Modern Service) แม้ไทยจะมีการลงทุนอยู่แล้ว แต่เป็นแบบดั้งเดิมและไม่ซับซ้อน มีการคาดการณ์ว่าอนาคตเทคโนโลยีที่ใช้จะซับซ้อนขึ้น ใช้แรงงานที่มีทักษะสูง โลจิสติกส์ที่ทันสมัย ตัวอย่างคู่แข่งในอาเซียนสำคัญอย่าง Lazada จากสิงคโปร์ Grab ของมาเลเซีย หรือ traveloka จากอินโดนีเซีย ล้วนเป็นสิ่งท้าทายของไทยในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อรักษาตำแหน่งใน CLMV ให้ได้

ที่มา: https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-econ/economy/Pages/CLMV_0119.aspx

ปัญหาการขนส่งสินค้าในกลุ่ม CLMV มองผ่านเจ้าหน้าที่ GIZ คุณวิลาสินี ภูนุชอภัย

โครงการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ที่ยังยืนในลุ่มแม่น้ำโขงภายใต้การสนับสนุนของององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมนี (GIZ) วิลาสินี ภูนุชอภัย ชี้ระบบโลจิสติกส์ การคมนาคมขนส่ง เป็นพื้นฐานหลัก เพราะเชื่อมต่อระหว่างการส่งสินค้าไปขายที่ประเทศเมียนมาร์ กัมพูชาหรือ สปป.ลาว และมองว่าการคมนาคมเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อน ได้ระบุปัญหาสำคัญคือ การขนส่งด้วยรถบรรทุกของประเทศปลายทางที่มีสภาพเก่า เป็นรถมือสอง อายุ 10-15 ปี การทักษะในการขับรถบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ ทำให้เกิดอันตราย การสิ้นเปลืองของเชื้อเพลิง เส้นทางที่ไม่ได้มาตรฐาน กฎหมายคมนาคมในประเทศที่ไม่อำนวย ทางโครงการจึงเข้าไปช่วยเหลือ เช่น ร่วมปรับปรุงกฎหมายโดยใช้ต้นแบบเป็นมาตรฐานของยุโรป ร่วมมือกับภาคเอกชนอย่าง SCG ในการให้ความรู้และฝึกอบรมการขับรถอย่างถูกต้อง ประหยัดพลังงาน และปลอดภัย ผลลัพธ์ที่ผ่านมาพบว่า เมียนมาเป็นประเทศที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดเพราะความมีวินัยของคนในชาติ ดังนั้นไทยควรสนับสนุนเพราะสินค้าไทยในกัมพูชา เมียนมา หรือ สปป.ลาว แม้กระทั่งเวียดนาม มีมูลค่าการค้าหลายหมื่นล้านและกลุ่มประเทศดังกล่าวยังให้ความนิยมและเชื่อมั่นในคุณภาพอีกด้วย

ที่มา: http://www.komchadluek.net/news/economic/361772

7/02/2562

เค้าชอบเรา! 5 เหตุผลที่เวียดนามนิยมไทย

จากรายงานของสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอจิมินห์ เปิดเผยว่าสินค้าของประเทศไทยนับได้ว่าเป็นหนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากชาวเวียดนามไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องแต่งกาย รองเท้า อุปกรณ์ในครัวเรือน อาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น ถึงแม้ว่าราคาจะสูงกว่าคู่แข่งในตลาด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ชาวเวียดนามพิจารณาว่าสินค้าของไทยมีคุณภาพและราคาที่สมเหตุสมผลกว่าสินค้าจากประเทศอื่นๆ โดยเหตุผลที่ชาวเวียดนามชื่นชอบสินค้าไทย ประกอบไปด้วย 5 ปัจจัย ได้แก่ การลงทุนของกลุ่มผู้ประกอบการไทย,ราคาสมเหตุสมผล,ภาพลักษณ์สินค้าไทยที่มีคุณภาพสูง,บรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม และกระแสนิยมไทย นอกจากนี้เหตุผลข้างต้น ยังมีเหตุผลที่เกื้อหนุนที่ทำให้ชาวเวียดนามนิยมสินค้าไทย เช่น เศรษฐกิจยังพุ่งทะยานสูงขึ้น สังคมเมืองยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ รัฐบาลเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยเหตุนี้ จากปัจจัยดังกล่าว เชื่อว่าคงเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการที่ต้องการขายสินค้าในเวียดนาม ได้กำหนดกลยุทธ์ในการบุกตลาดที่ถูกต้อง

ที่มา : https://www.bangkokbanksme.com/en/vietnam-thai-products

จับตาเศรษฐกิจเมียนมาร์ เมื่อแบรนด์หรูตบเท้าเข้ามาลงทุน

เมียนมาเหมือนหลายประเทศกำลังพัฒนาที่ยังมีช่องว่างระหว่างชนชั้น กลุ่ม HNWI หรือ high net worth individual เริ่มเปิดตัวมากขึ้น คือผู้ที่มีทรัพย์สินเป็นเงินสดหรือเงินลงทุนมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ บริษัทที่ปรึกษาแห่งหนึ่งในเมียนมาระบุเศรษฐีเหล่านี้เมีเชื้อสายจีนเสียเป็นส่วนใหญ่ และมักมีสายสัมพันธ์กับผู้นำทางทหาร กับนักธุรกิจในแวดวงค้าอัญมณี หรืออุตสาหกรรมตัดไม้ขนาดใหญ่ หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2012 เศรษฐกิจก็เริ่มกระเตื้องอันเป็นผลจากการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟู เศรษฐกิจที่โตปีละ 7% ทำให้ธุรกิจค้าปลีกในประเทศโตไปด้วย อย่างไรก็ตามการผุดขึ้นของห้างสรรพสินค้าดูเน้นไปที่ผู้บริโภคระดับรากหญ้าและชนชั้นกลางมากกว่า ส่วนกลุ่มเศรษฐีก็ยังนิยมบินไปช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมที่ต่างประเทศ เช่น ไทย ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือไม่ก็ยุโรป เนื่องจากนาฬิกาและรถยนต์เป็นสิ่งที่แสดงฐานะทางสังคม ช่วงไม่กี่ปีมานี้ แบรนด์สินค้าหรูได้ให้ความสนใจและเริ่มเข้ามาบุกเบิก เช่น นาฬิกาแฟรงก์ มุลเลอร์ ตามด้วยร้าน Swiss Time Square ซึ่งเป็นศูนย์รวมนาฬิกาหรูหลากหลายยี่ห้อ และยังมีค่ายรถยนต์ที่มาเปิดโชว์รูม เช่น จาร์กัวร์ แลนด์โรเวอร์ บีเอ็มดับบลิว และเมอร์เซเดสเบนซ์ ยังไม่นับรวมเครื่องสำอางแบรนด์ไฮเอนด์ที่เข้ามาทำตลาด ธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้ตอบสนองเฉพาะกลุ่มเศรษฐี หากยังรวมถึงกลุ่มชาวเมียนมาโพ้นทะเลที่เคยอพยพไปตั้งรกรากในต่างประเทศแล้วกลับมาดำเนินธุรกิจในบ้านเกิด และชนชั้นระดับกลางค่อนไปทางสูงซึ่งเป็นกลุ่มใหม่และกำลังเพิ่มจำนวนขึ้น สำหรับผู้ประกอบการไทยลองประเมินดูว่านอกจากอสังหาริมทรัพย์ และบริการทางการแพทย์ (โรงพยาบาลเอกชน) เรามีสินค้าหรือบริการอะไรที่พอจะดึงดูดลูกค้ากระเป๋าหนักจากเมียนมาได้บ้าง 

ที่มา: https://www.smethailandclub.com/aec-1924-id.html

การลงทุนจากต่างชาติในไมโครไฟแนนซ์กัมพูชา แรงส่งการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ

ไมโครไฟแนนซ์ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว วัตถุประสงค์คือขยายสินเชื่อให้กับประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ปี 2560 มียอดปล่อยสินเชื่อประมาณ 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 1 ใน 4 ของธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด ปัจจุบันมีผู้ให้บริการทั้งหมด 68 ราย มี 5 รายที่ครองส่วนแบ่ง 80% โดยการปล่อยสินเชื่อจะแบ่งเป็น ภาคครัวเรือน 33% การเกษตร 30% และค้าปลีก 19% จากประชากรที่ใช้สินเชื่อ 1.7 ล้านคน ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กัมพูชาได้เพิ่มทุนจดทะเบียนไมโครไฟแนนซ์ ทำให้ต้องหาพันธมิตรจากต่างประเทศมากขึ้น ผลดีคือ การบริการที่หลากขึ้นเพราะแข่งขันสูง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การบริโภคภาคครัวเรือนเพิ่ม ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นนักลงทุนไทยควรปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับโอกาสทางธุรกิจ เช่น พัฒนาระบบ e-payment เพื่อขยายช่องทางและเชื่อมต่อพื้นที่ห่างไกล โดยเฉาะสินค้าที่เป็นที่นิยมอย่างมอเตอร์ไซค์หรือเครื่องจักรทางการเกษตร

ที่มา: http://www.exim.go.th/doc/newsCenter/50318.pdf

31 ธันวาคม 2561