‘ศก.ดิจิทัลเวียดนาม’ จ่อทำรายได้แตะ 45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 68

จากรายงานของกูเกิล (Google) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของเวียดนามจะขยายตัว 20% ต่อปี ในช่วงปี 2566-2568 และมีแนวโน้มว่าจะทำรายได้สูงถึงประมาณ 45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 นับว่าเป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่นาย Nguyen Binh Minh คณะกรรมการบริหารของสมาคมอีคอมเมิร์ซเวียดนาม (VECOM) คาดการณ์ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจดิจิทัลมีพื้นฐานที่มั่งคง แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของอีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ ภาคธุรกิจต่างๆ ยังมีความมั่นใจในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของอีคอมเมิร์ซ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ด้วยเหตุนี้ แพลตฟอร์มดิจิทัลของเวียดนาม จึงได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการตอบสนองความต้องการการพัฒนาของธุรกิจท้องถิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/vietnam-likely-to-achieve-digital-economic-growth-of-around-us45-billion-by-2025-post1057628.vov

‘VinFast’ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเวียดนาม ตั้งโรงงานในอินโดนีเซีย 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ดร.มูลโดโก เสนาธิการประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย กล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 6 พ.ย. ว่าบริษัท ‘VinFast’ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากเวียดนาม วางแผนที่จะก่อสร้างโรงงานในอินโดนีเซีย 18.6 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี ยังไม่ได้เปิดเผยถึงรายละเอียดเพิ่มเติมของแผนการลงทุนดังกล่าว ทั้งนี้ สื่อของอินโดนีเซีย รายงานว่าในช่วงต้นเดือน ก.ย. ผู้บริหารของบริษัท VinFast ได้พบปะกับนายซุลกีฟลี ฮาซัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าอินโดนีเซีย ซึ่งให้คำมั่นที่จะอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานของผู้ผลิตรถยนต์

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnams-ev-maker-vinfast-to-invest-12-billion-usd-in-indonesia/270825.vnp

10 เดือนแรกของปี กัมพูชาส่งออกข้าวมูลค่าแตะ 450 ล้านดอลลาร์

การส่งออกข้าวสารของกัมพูชาในช่วง 10 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้นเป็นประมาณกว่า 530,000 ตัน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 450 ล้านดอลลาร์ ตัวเลขดังกล่าวเปิดเผยโดยกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง (MAFF) เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (6 พ.ย.) ขณะที่การส่งออกข้าวเปลือกไปยังประเทศเพื่อนบ้านสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 708 ล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะข้าวหอม ข้าวอินทรีย์ ข้าวขาว ข้าวนึ่ง และข้าวจาโปนิกา เป็นสำคัญ ซึ่งปริมาณการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นผลมาจากการเจรจาสิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างประเทศคู่ค้าสำคัญ รวมถึงมองหาตลาดส่งออกใหม่ๆ อย่างอินโดนีเซีย โดยทางการกัมพูชามุ่งมั่นที่จะผลักดันเป้าหมายการส่งออกให้มีการขยายตัวมากยิ่งขึ้นเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชา ด้าน Chan Sokheang ประธานสมาพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) ตั้งเป้าหมายการส่งออกสูงสุด 700,000 ตัน ภายในปี 2023

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501387897/rice-exports-rake-in-450-million-in-ten-months/

จำนวนผู้โดยสารซึ่งเดินทางมายังสนามบิน เสียมราฐ-อังกอร์ ขยายตัวเป็นประวัติการ

จำนวนผู้โดยสารทางอากาศที่เดินทางมายังสนามบินนานาชาติ เสียมราฐ-อังกอร์ (SAI) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังเปิดให้บริการได้ไม่นาน โดยจากตัวเลขสถิติในปัจจุบันมีผู้นักท่องเที่ยวเดินทางมายังสนามบินดังกล่าวอยู่ที่กว่า 3,200 คนต่อวัน เพิ่มขึ้นจาก 2,600 คนต่อวัน เมื่อเทียบกับช่วงวันที่ 24 ต.ค. รายงานโดยสำนักเลขาธิการการบินพลเรือนแห่งรัฐ (SSCA) ที่ได้เปิดเผยข้อมูลเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (6 พ.ย.) ซึ่งปัจจุบันมีสายการบิน 7 สายการบิน ให้บริการเที่ยวบินมายัง SAI สำหรับสนามบินดังกล่าว ตั้งอยู่ในจังหวัดเสียมราฐ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 50 กิโลเมตร โดยถือเป็นสนามบินนานาชาติระดับ 4E ที่สามารถรองรับเที่ยวบินระยะไกลจากทั่วโลกด้วยรันเวย์ยาว 3,600 เมตร และท่าเทียบเครื่องบิน 38 ท่า ซึ่งคาดว่าจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 7 ล้านคนต่อปี และคาดว่าจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้ถึง 12 ล้านคนภายในปี 2040

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501388197/siem-reap-angkor-intl-airport-records-new-high-number-of-daily-passengers/

‘สปป.ลาว ประสบปัญหาขาดดุลการค้า’ 7 เดือนจาก 9 เดือนแรกของปี 2566

สปป.ลาว ประสบปัญหาขาดดุลการค้า 7 เดือนจาก 9 เดือนแรกของปี 2566 มูลค่ารวม 675 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และข้อมูลล่าสุดดุลการค้าในเดือนกันยายน ขาดดุล 218 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นการขาดดุลสูงสุดในรอบ 9 เดือนของปีนี้ โดยสาเหตุหลักเกิดจากการนำเข้าที่ยังคงแซงหน้าการส่งออก โดยมูลค่าการส่งออกมีเพียง 394 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้าสูงถึง 612 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ สินค้าส่งออกสำคัญ คือ ทองคำผสมและทองคำแท่งที่มีมูลค่าส่งออกรวม 53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกที่สำคัญรายการอื่นๆ ได้แก่ กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ แร่ทองคำ เกลือโพแทสเซียม ยาง เยื่อกระดาษและเศษกระดาษ แร่เหล็ก น้ำตาล เสื้อผ้า และกล้วย ตลาดส่งออกหลัก คือ จีน เวียดนาม ไทย ออสเตรเลีย และอินเดีย ในขณะสินค้าการนำเข้ามากที่สุด คือ น้ำมันดีเซลที่มีมูลค่า 69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  สินค้านำเข้าที่สำคัญรายการอื่นๆ เช่น อุปกรณ์เครื่องจักรกล ยานพาหนะทางบก ผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ พลาสติก น้ำมันเบนซิน และเยื่อและเศษกระดาษ ตลาดนำเข้าหลัก คือ ไทย โดยมีมูลค่า 264 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วยจีน เวียดนาม สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย

ที่มา : https://laotiantimes.com/2023/11/07/laos-records-seven-months-of-trade-deficit-in-2023-totaling-usd-675-million/

สปป.ลาว สร้างสถิติ ‘จำนวนนักท่องเที่ยวพุ่ง 285% ในปี 2566’

กระทรวงสารสนเทศ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว สปป.ลาว เผยยอดจำนวนนักท่องเที่ยว 9 เดือนแรกปี 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวใน สปป.ลาว มากกว่า 2.4 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 285% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นี่เป็นข้อพิสูจน์ถึงความน่าดึงดูดที่เพิ่มขึ้นของลาวในเวทีโลก โดยแบ่งเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศในกลุ่มอาเซียนมากกว่า 1.6 ล้านคน และอื่นๆ มาจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยสาเหตุของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น เกิดจากสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางที่รวดเร็วขึ้นบนทางหลวงและทางรถไฟลาว-จีน ซึ่งกลายเป็นวิธีเดินทางยอดนิยมในปัจจุบัน ทั้งนี้ สปป.ลาวได้กำหนดแผนการส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลสำหรับการเยือน สปป.ลาว ปี 2567 ในวาระที่ สปป.ลาว ดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน โดยตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2567 ไว้ที่ 4.6 ล้านคน สร้างรายได้ 712 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://laotiantimes.com/2023/11/07/laos-sets-tourism-record-boasting-285-percent-surge-in-2023/

การก่อสร้างท่าเทียบเรือ Union National Race Village (Yangon) มีกำหนดแล้วเสร็จในเดือน พ.ย

การก่อสร้างท่าเทียบเรือที่หมู่บ้าน Union National Races Village (ย่างกุ้ง) เพื่อความสะดวกของนักท่องเที่ยวที่จะมาที่หมู่บ้าน Union National Races Village (ย่างกุ้ง) ในเมือง Thakayta เขตย่างกุ้ง ผ่านทางแม่น้ำพะโค โดยโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือแม้ว่าจะมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 แต่คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน โครงการดังกล่าวได้รับการพัฒนาในปีงบประมาณ 2565-2566 ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 449.505 ล้านจ๊าด ท่าเทียบเรือดังกล่าวมีความยาว 96 ฟุต กว้าง 12 ฟุต และมีสะพานโครงเหล็กขนาด 80 ฟุต ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้ำ ป่าชายเลน ระหว่างการเดินทางทางทะเล และยังสามารถล่องเรือเที่ยวได้อีกด้วย นอกจากนี้ ท่าเรือดังกล่าวยังสามารถเชื่อต่อกับท่าเทียบเรือ Botahtaung และ Pansodan และผู้ที่มาจากตอนบนของแม่น้ำพะโค

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/union-national-race-village-yangon-jetty-construction-set-to-be-completed-in-nov/#article-title

เมียนมาและอินเดียลงนามบันทึกความเข้าใจภายใต้โครงการ Quick Impact Project (QIP)

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 ได้มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ 3 ฉบับระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดียภายใต้โครงการ Quick Impact (QIP) ประกอบด้วย บันทึกความเข้าใจเรื่องการจัดหาน้ำโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในเขตแห้งแล้งตอนกลางของเมียนมา บันทึกความเข้าใจสำหรับโครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ของจังหวัด และบันทึกความเข้าใจเพื่อการใช้พลังงานไฟฟ้าของหมู่บ้านในชนบทด้วยพลังงานลมขนาดเล็กในเมืองกูนจานโกน ย่างกุ้ง ซึ่งจัดขึ้นที่กระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่างประเทศ กรุงเนปิดอว์ โดยมี ดร.คาน ซอ รัฐมนตรีสหภาพว่าการกระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่างประเทศ นายดอ ตัน ทัน ลิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการวางแผนและการเงิน นายอู ลวิน อู รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดร. วาวา หม่อง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่างประเทศ ดร. Htain Lin Oo รัฐมนตรีช่วยว่าการและรองอัยการสูงสุดฝ่ายกฎหมาย เจ้าหน้าที่อาวุโสจากกระทรวงที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้ง นาย Ashish Sharma รองหัวหน้าคณะผู้แทนสถานทูตอินเดีย และเจ้าหน้าที่จากสถานทูตอินเดีย เข้าร่วมในพิธี โดยรัฐบาลอินเดียจะมอบเงินช่วยเหลือให้โครงการ Quick Impact (QIP) โครงการละ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ รวม 150,000 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินช่วยเหลือนี้จะนำไปบริจาคให้กับการประปาโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในเขตแห้งแล้งตอนกลางของเมียนมา และโครงการที่คล้ายกันจะต้องได้รับการเจรจากับรัฐบาลอินเดีย เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของเมียนมา

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-india-sign-mous-under-quick-impact-projects-qip/

Moc จับมือบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน IT จากจีน หวังกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจกัมพูชา

กระทรวงพาณิชย์กัมพูชา (MoC) ร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของจีนอย่าง บริษัท Converge Cloud Co., Ltd. หวังดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาและส่งเสริมทรัพยากรมนุษย์ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล นำโดย Someth Somnea ปลัดกระทรวงกระทรวงการต่างประเทศ ในระหว่างการเป็นประธานในพิธีเปิดตัวบริษัท Converge Cloud ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (3 พ.ย.) ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีคลาวด์ให้เกิดการแพร่หลายและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบันบริษัทมีบริษัทคลาวด์รายใหญ่ อย่างเช่น Google, Amazon, Huawei, Alibaba, Tencent, Basihan และ Azure เป็นหลัก ร่วมถึงรัฐบาลให้ความสำคัญด้านอีคอมเมิร์ซ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่เป็นก้าวสำคัญต่อไปในการเร่งความร่วมมือในระดับทวิภาคี พร้อมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501387364/moc-join-hands-with-chinese-it-firms-to-boost-economic-growth/

นักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนกัมพูชาโต 211%

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี กัมพูชาให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 3.92 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 211% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการรายงานของกระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา โดยนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยยังถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชา ตามมาด้วยเวียดนามและจีน ซึ่งมีการขยายตัวกว่า 189%, 156% และ 549% ตามลำดับ ขณะที่รูปแบบการเดินทางส่วนใหญ่ยังคงใช้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศที่จำนวนกว่า 1.34 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่า 186% และเดินทางผ่านทางบกและทางน้ำที่กว่า 2.58 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 224% ด้าน Top Sopheak รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและโฆษกกระทรวงการท่องเที่ยว กล่าวเสริมว่า ณ สิ้นปีคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศอย่างน้อย 5 ล้านคน เดินทางมายังกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501387581/international-tourists-to-cambodia-shoot-up-211/