บริษัท Sailun ตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตยางรถยนต์ 6 ล้านเส้นต่อปี

บริษัท Sailun (กัมพูชา) ตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ Qilu ในจังหวัดสวายเรียง ซึ่งบริหารจัดการโดย Cart Tyre วางแผนลงทุนเพิ่มมูลค่ารวมกว่า 1.47 พันล้านหยวน (ประมาณ 170 ล้านปอนด์) เพื่อขยายกำลังการผลิตยางเรเดียลกึ่งเหล็กในประเทศกัมพูชา ให้มีกำลังการผลิตสูงถึง 6 ล้านเส้นต่อปี หวังตอบสนองความต้องการของลูกค้า รวมถึงยังมุ่งมั่นที่จะเพิ่มการส่งออกยางไปยังตลาดต่างประเทศอย่างในโซนพื้นที่อเมริกาเหนือ สำหรับบริษัทดังกล่าวถือเป็นผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ของจีนที่ได้ขยายการลงทุนมายังกัมพูชา โดยเริ่มดำเนินการในกัมพูชาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2021 สร้างการจ้างงานให้กับคนในท้องถิ่นกว่า 4,000 ตำแหน่ง รวมถึงยังทำการซื้อแผ่นยางดิบเพื่อเป็นวัตถุดิบการผลิตยางกว่า 150,000 ตันต่อปี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501385870/sailun-cambodia-plant-increases-tyre-production-capacity-by-6-million-units/

CDC อนุมัติการลงทุนให้แก่บริษัท 12 แห่ง มูลค่า 66.6 ล้านดอลลาร์

สภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) ได้อนุมัติโครงการลงทุน 12 โครงการ มูลค่ารวม 66.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าจะสร้างโอกาสในการจ้างงานมากกว่า 12,000 ตำแหน่ง ครอบคลุมกิจกรรมการผลิตอุปกรณ์กีฬา โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า รองเท้า โรงงานผลิตอาหารสัตว์ โรงงานผลิตโคมไฟ และโรงงานผลิตสี โดย CDC ได้รายงานเสริมว่านับตั้งแต่ต้นปี 2023 จนถึงเดือนกันยายน ได้อนุมัติโครงการการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) รวม 191 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับจำนวนโครงการในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีทุนจดทะเบียนรวมกว่า 45.8 พันล้านดอลลาร์ ณ ไตรมาสแรกของปี 2023 ด้านธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) รายงานเสริมว่าแหล่งเงินทุนหลักยังคงมาจากทางประเทศ จีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เวียดนาม มาเลเซีย ไทย และสหราชอาณาจักร เป็นสำคัญ โดยการไหลเข้าของ FDI ครอบคลุมภาคส่วนสำคัญต่างๆ เช่น ภาคการเงิน การผลิต อสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและรีสอร์ท ไปจนถึงเกษตรกรรม พลังงานทดแทน และการก่อสร้าง

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501385590/cdc-nod-for-12-manufacturing-investments-worth-66-6m/

กรมการค้าต่างประเทศ ดัน 4 ยุทธศาสตร์ค้าชายแดน

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้เชิญหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง กับการค้าชายแดนและผ่านแดน มาประชุมเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การส่งเสริมการค้า การลงทุนชายแดนและผ่านแดน ปี 2567-2570 ใน 4 ยุทธศาสตร์ย่อย ได้แก่ 1.พัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันของไทย 2.ยกระดับศักยภาพ อำนวยความสะดวกของด่านชายแดน 3.ส่งเสริมและใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงและกรอบความร่วมมือต่างๆ 4.ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนเป็น 2 ล้านล้านบาท ในปี 2570

อย่างไรก็ดี มูลค่าการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน เดือน ก.ย. อยู่ที่ 148,564 ล้านบาท ลดลง 3.32% เป็นไทยส่งออก 87,480 ล้านบาท ลดลง 3.97% ไทยนำเข้า 61,084 ล้านบาท ลดลง 2.37% ได้ดุลการค้า 26,396 ล้านบาท ส่วน 9 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่า 1,311,372 ล้านบาท ลดลง 2.26% เป็นไทยส่งออก 755,206 ล้านบาท ลดลง 2.06% ไทยนำเข้า 556,167 ล้านบาท ลดลง 2.53% ได้ดุลการค้า 199,039 ล้านบาท

ที่มา : https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ/2737374

‘เวียดนาม’ ตั้งเป้าดันส่งออกสินค้าเกษตรไปยังแอฟริกา

นายห่า กิม หงอก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม กล่าวในที่ประชุมเมื่อวันที่ 1 พ.ย. ว่าแอฟริกายังคงเป็นเส้นทางการค้าระหว่างเวียดนามและตลาดโลก ในขณะที่เจ้าหน้าของกระทรวงฯ ได้อธิบายถึงข้อมูลในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ พบว่าการค้าระหว่างทั้งสองประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.7% มูลค่า 4.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ว่าการค้าระหว่างเวียดนามและตลาดโลก หดตัว 11% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ทั้งนี้ จากจำนวนประชาชนแอฟริการาว 1 พันล้านคน และความพร้อมของเวียดนามที่ต้องการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังแอฟริกา ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการเวียดนามควรใช้มาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมสินค้าเกษตรไปยังตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งด้านคุณภาพและราคาสินค้า

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-aims-to-promote-agricultural-exports-to-africa/270581.vnp

‘ราคาส่งออกข้าวเวียดนาม’ พุ่งแซงไทย

จากข้อมูลของสมาคมอาหารเวียดนาม (VFA) เปิดเผยว่าราคาส่งออกข้าวของเวียดนามยังคงแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ 117 เหรียญสหรัฐต่อตัน แซงหน้าข้าวไทย และจากข้อมูลเมื่อวันที่ 31 ต.ค. พบว่าราคาส่งออกข้าวเวียดนามปรับตัวเพิ่มขึ้น 5-10 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยเฉพาะราคาข้าวหัก 5% ที่เพิ่มสูงขึ้น 10 เหรียญสหรัฐต่อตัน อยู่ที่ 653 เหรียญสหรัฐ แซงหน้าข้าวไทยที่ 92 เหรียญสหรัฐต่อตัน

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ทางการอินเดียห้ามการส่งออกข้าวเมื่อปลายเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาข้าวเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแตะระดับสูงสุดใหม่ในรอบกว่า 15 ปี

นอกจากนี้ กรมศุลกากรเวียดนาม ระบุว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกข้าวมากกว่า 7.1 ล้านตัน มูลค่าราว 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 17% และ 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตามลำดับ

ที่มา : https://en.nhandan.vn/vietnams-seaport-throughput-rebounds-in-10-months-post130835.html

ราคาถั่วลิสงเมียนมามีแนวโน้มลดลงท่ามกลางความต้องการจากต่างประเทศ

ตามข้อมูลของตลาดค้าส่งมัณฑะเลย์ เมียนมามีการส่งออกเมล็ดพันธุ์น้ำมัน ได้แก่ เมล็ดงา และถั่วลิสง ไปยังต่างประเทศ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2023 ที่ผ่านมา ราคาถั่วลิสงแตะระดับสูงสุดอยู่ที่ 7,550-11,000 จ๊าดต่อ viss เนื่องจากมีอุปสงค์จากต่างประเทศและในประเทศที่แข็งแกร่ง ณ ปัจจุบัน ราคาลดลงอยู่ในช่วงระหว่าง 5,500 จ๊าดต่อ viss ถึง 6,100 จ๊าดต่อ viss ในตลาดภายในประเทศซึ่งขึ้นอยู่กับพันธุ์ของถั่ว ทั้งนี้ หากไม่มีอุปสงค์จากต่างประเทศ ราคาถั่วลิสงจะยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีถั่วลิสงที่เพิ่งเก็บเกี่ยวใกล้พื้นที่มัณฑะเลย์ และได้เข้าสู่ศูนย์ค้าส่งมัณฑะเลย์แล้ว ในขณะเดียวกันอุปสงค์ของผู้ซื้อรายใหญ่จากจีนก็ค่อนข้างจะชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี แม้ว่าราคาถั่วลิสงจะลดลง แต่ราคาน้ำมันถั่วลิสงก็ไม่ได้ลดลงตามไปด้วย และยังคงมีราคาสูงกว่า 15,000 จ๊าดต่อ viss

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/peanut-prices-on-downward-trend-amid-lack-of-foreign-demand/#article-title

‘สมาชิกสภาแห่งชาติลาว’ ขอรัฐบาลเพิ่มความเข้มงวดในการจัดการเงินตราต่างประเทศ

สมาชิกสภาแห่งชาติลาว กล่าวในการประชุมสามัญครั้งที่ 6 ขอให้รัฐบาล สปป.ลาว เพิ่มความเข้มงวดในการจัดการสกุลเงินต่างประเทศ เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อ ควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย โดยขอให้รัฐบาลดำเนินการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น ควรทำผ่านการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและการตรวจสอบการใช้สกุลเงินต่างประเทศโดยผู้นำเข้าและผู้ส่งออก การชำระค่าสินค้านำเข้าควรดำเนินการผ่านระบบธนาคาร และควรเก็บบันทึกรายรับที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศและการโอนไปยังประเทศอื่น อีกทั้งยังเสนอแนะว่าควรมีการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนอกระบบธนาคารให้เข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากร้านแลกเงินเอกชนบางแห่งยังคงเปิดดำเนินการผ่านระบบออนไลน์อยู่ รวมถึงยังขอให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการจัดเก็บรายได้ ควบคุมการใช้จ่ายในโครงการพัฒนาและการชำระหนี้ ตลอดจนเพิ่มผลผลิตในประเทศเพื่อทดแทนสินค้านำเข้า

ที่มา : https://english.news.cn/20231102/03a14c21757f49faac6caa12a1d0f976/c.html

‘ภาคบริการ’ เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ สปป.ลาว

คำเจน วงโพสี รัฐมนตรีกระทรวงการวางแผนและการลงทุน สปป.ลาว เผยอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของ สปป.ลาว ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2566 ขยายตัว 4.4% โดยการค้าส่งและค้าปลีก การขนส่ง และการบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ถือเป็นธุรกิจที่มีผลประกอบการดีที่สุด ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจภาคบริการขยายตัว 5.6% ซึ่งมีส่วนทำให้ GDP สปป.ลาว ขยายตัวได้ ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษี ขยายตัว 3.9%, ภาคการผลิตอุตสาหกรรม ขยายตัว 3.5% ภาคเกษตรกรรมและการป่าไม้ ขยายตัว 3.4% นอกจากนี้ รัฐมนตรีฯ ได้กล่าวเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองที่แข็งแกร่งและความสงบเรียบร้อยทางสังคม ทั้งนี้ ในปี 2567 คาดว่าภาคอุตสาหกรรมจะมีอัตราการเติบโตสูงสุดที่ 5% ตามมาด้วยภาคบริการ ขยายตัว 4.8% ภาษีและศุลกากร ขยายตัว 3.9% และภาคเกษตรกรรม ขยายตัว 2.6% หากบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ GDP สปป.ลาว ปี 2567 จะมีมูลค่า 293,786 พันล้านกีบลาว รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี 1,787 ดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://english.news.cn/20231102/f12f1f851a9440fc92b266c671b19d89/c.html