เมียนมาขาดดุลการค้าในรอบ 3 เดือนกว่า 670 ล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับปีก่อน

มูลค่าการส่งออกในช่วงสามเดือนครึ่งของปีงบประมาณนี้เกินกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วขณะที่ยอดขาดดุลการค้าลดลงกว่า 670 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.62 ถึง 10 ม.ค. 63 มูลค่าการค้ารวม 10.443 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะที่ปีที่แล้วมีมูลค่า 8.953 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ดังนั้นปีนี้มีจำนวนเกิน 1.489 พันล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการส่งออกในรอบระยะเวลาสามเดือนของปีงบประมาณนี้สูงถึง 5.061 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสูงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะเดียวกันมูลค่าการนำเข้าสูงกว่า 256.723 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นการขาดดุลการค้าอยู่ที่ 256.723 ล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วแตะระดับ 935.452 ล้านดอลลาร์ การขาดดุลการค้าในปีงบประมาณปัจจุบันคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีการขาดดุลการค้า 1.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 61-62 แม้ว่าการขาดดุลทางการค้าคาดว่าจะลดลงเหลือ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/trade-deficit-in-over-3-months-this-fy-falls-over-670m-compared-with-last-year

การลงทุนจากต่างประเทศของเมียนมาเพิ่มเป็นสองเท่า

เมียนมาอนุมัติการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในช่วงสามเดือนแรกของปีงบประมาณ 62-63 เพิ่มเป็นสองเท่าในช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณที่ผ่านมา ณ วันที่ 10 มกราคม คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของเมียนมา (MIC) ได้อนุมัติการลงทุนในโครงการมูลค่ารวม 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 62-63 ในวันที่ 1 ต.ค. 62 ตามข้อมูลของสำนักงานบริหารจัดการบริษัทและทะเบียนบริษัท (DICA) ในช่วงเวลาดังกล่าวได้อนุมัติเงินลงทุนจำนวน 800 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับโครงการ 60 โครงการ ล่าสุดปฏิเสธโครงการลงทุนสองโครงการที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมในการประชุมเมื่อวันที่ 10 มกราคม รายงานของธนาคารโลกระบุว่ากระแสการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีสัญญาณการฟื้นตัวในปี 62 อย่างไรก็ตามรายงานเพิ่มเติมว่าการลงทุนที่ยั่งยืนนั้นขึ้นอยู่กับการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเพื่อดึงดูดเงินลงทุน DICA รายงานว่า FDI เพิ่มขึ้นเป็น 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณ 61-63 จาก 3.3 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณ 60-61 และคาดว่าจะสูงถึง 5.8 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณปัจจุบัน สิงคโปร์ยังคงเป็นนักลงทุนต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดตามด้วยจีน และฮ่องกง สาขาที่ได้รับการลงทุนจากต่างประเทศมากที่สุด ได้แก่ น้ำมันและก๊าซรองลงมา ได้แก่ หมวดพลังงานและภาคอุตสาหกรรม

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/foreign-investment-inflows-double-myanmar-govt.html

บริษัทฮ่องกงลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าในเจาะพยู มูลค่ากว่า 172 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากข้อมูลของคณะกรรมการการลงทุนและกำกับดูแลบริษัท (DICA)  บริษัท CNTIC VPower KY3 Limited จากฮ่องกงวางแผนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนและผลิตเชื้อเพลิงด้วยเงินลงทุน 172 ล้านดอลลาร์สหรัฐในจาะพยูเพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 658,800,000 กิโลวัตต์/ชั่วโมง คณะกรรมการการลงทุนแห่งเมียนมา (MIC) อนุญาตการลงทุนด้วยสี่ข้อเสนอและการลงทุนใน 17 รายการมูลค่า 310.451 ล้านดอลลาร์สหรัฐและสามารถสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่นได้ถึง 10,102 คน MIC อนุมัติการลงทุนจากต่างประเทศมูลค่า 1,546.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐและ 716.451 พันล้านจัตรวมถึงการลงทุนในท้องถิ่น 128.4 ล้านเหรียญสหรัฐตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมถึง 10 มกราคมในปี 62-63  ทั้งนี้กระทรวงที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาการลงทุนภาคเหมืองในปี 63 จากข้อมูลของ DCA พบว่าจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 62 มีการลงทุนในภาคเหมืองแร่มากกว่า 2.904 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/hong-kong-company-invests-us172-m-to-build-a-power-station-in-kyaukphyu

CSOs ร้องให้รัฐบาลเมียนมาระงับสัญญาโครงการท่าเรือน้ำลึกจ่าวผิว

กลุ่มเฝ้าระวังเขตเศรษฐกิจพิเศษจ่าวผิว ซึ่งเป็นพันธมิตร 18 องค์กรภาคประชาสังคม (CSOs) ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 16 มกราคมเรียกร้องให้มีการระงับแผนการลงนามข้อตกลงในการดำเนินการโครงการท่าเรือน้ำลึกจ่าวผิว ในเมืองจ่าวผิว รัฐยะไข่ ในความขัดแย้งทางอาวุธที่ดำเนินอยู่ในรัฐยะไข่มีผู้พลัดถิ่นมากกว่า 100,000 คน รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขข้อพิพาทเรื่องที่ดินในโครงการวางท่อส่งน้ำมันและก๊าซที่เริ่มในปี 53 พบว่ารัฐบาลไม่เห็นถึงสิทธิของคนในท้องถิ่น ซึ่งควรทำการประเมินสภาพแวดล้อมทางยุทธศาสตร์ (SEA) และไม่มีการเปิดเผยข้อมูลกับชาวบ้าน นอกจากนี้ควรมีการเตรียมการเพื่อรับรู้ถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสร้างงานทดแทนที่เพียงพอเมื่อมีการลงนามข้อตกลง และยังเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการขายป่าชายเลนและที่ดินอีกครั้ง

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/csos-demand-suspension-of-contract-signing-for-kyaukphyu-deep-seaport-project

เมียนมาปรับปรุงสนามบินฟะลัมด้วยระบบนำทาง

สนามบินฟะลัม Falam (Surbung) ซึ่งเป็นประตูสู่รัฐชินได้รับการยกระดับด้วยระบบนำทางที่ใช้สำหรับสนามบินในพื้นที่ที่เป็นภูเขาตามที่กรมการบินพลเรือนของเมียนมา (DCA) ระบุ การก่อสร้างจะแล้วเสร็จในปี 63-64 และเครื่องบิน ATR-72 ชนิดต่างๆ สามารถลงจอดได้ สนามบินตั้งอยู่ในใจกลางของรัฐชิน มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการนำทางที่จะติดตั้ง เช่น สถานีวิทยุเครื่องช่วยการเดินอากาศ (DVOR) , เครื่องมือตรวจอากาศอัตโนมัติ (AWOS), ตัวบ่งชี้เส้นทางแม่นยำ (PAP), ไฟทางวิ่ง, สัญญาณไฟหมุน, ระบบ HF และ VHF โดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนของรัฐ กระทรวงของบประมาณ 141,112,000,000 จัต สำหรับโครงการนี้ซึ่งจะรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศและขอสินเชื่อในปีงบประมาณ 62-63 ปี ในปัจจุบันมีรันเวย์ยาวกว่า 4,000 ฟุตจาก 6,000 ฟุตของสนามบินที่สร้างเสร็จ

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/falam-airport-upgrades-with-navigation-facilities

โรงถลุงเหล็กในเมียนมากำลังรอการลงทุน

กระทรวงแผนงาน การเงิน และอุตสาหกรรม กำลังมองหาการการลงทุนจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ที่สนใจลงทุนโรงงานเหล็กของมยินจาน เมืองมยินจานในเขตมัณฑะเลย์ ซึ่งมีกำลังการผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี ตอนนี้นิติบุคคลของรัฐที่ดำเนินงานในมยินจาน คือ Heavy Industrial Enterprise กำลังมองหานักลงทุนเข้าร่วมลงทุน คาดว่าจะต้องใช้เงินประมาณ 225 พันล้านจัตในการดำเนินการรวมทั้งนักลงทุนกำลังหาทางช่วยโรงงานให้เสร็จและดำเนินการ ปัจจุบันมีการนำเข้าเหล็กถึง 90% ของประเทศและอีก 10% มาจากการผลิตเองในท้องถิ่น สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประมาณการว่าความต้องการใช้เหล็กของเมียนมาจะยังคงขยายตัวในอัตรา 8% ต่อปีโดยความต้องการใช้เหล็กในประเทศอาจเกิน 3 ล้านตันในปี 2563 และสูงถึง 5 ล้านตันในปี 2568

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/state-owned-steel-mill-seeks-investors.html

ธนาคารโลก ชี้การเติบโตของเมียนมาจะดีขึ้นในปีนี้

การเติบโตคาดว่าพิ่มขึ้น 6.4% ในปีงบประมาณ 62-63 จาก 6.3% ในปี 61-62 และ 6.2% ในปี 60-61 เนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นและการลงทุนภาคเอกชนด้านโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและการสื่อสาร จากรายงานของธนาคารโลก การเติบโตได้รับการสนับสนุนจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่สูงขึ้นในด้านการขนส่งและการสื่อสาร  การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่มีมากขึ้นในการก่อสร้างคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการเติบโต ภาคธนาคารได้รับประโยชน์จากการก่อสร้าง การผลิต และการซื้อขายที่สูงขึ้นผ่านการกู้ยืมกับธนาคารต่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวและบริการเช่นเดียวกับการค้าส่งและค้าปลีก ภาคเกษตรควรได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์การส่งออกที่สูงขึ้นและการขาดดุลการค้าที่ลดลง ในขณะเดียวกันแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะรุนแรงมากขึ้นในปีนี้เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นและการขาดแคลนพลังงานอย่างต่อเนื่อง ยังคงมีความเสี่ยงรวมถึงการเติบโตของโลกที่ชะลอตัวจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงวิกฤตในยะไข่ซึ่งทั้งหมดนี้อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างประเทศ

ที่มา:https://www.mmtimes.com/news/world-bank-says-growth-myanmar-improve-year.html