เมียนมาพร้อมขยายตลาดกาแฟผ่านสิงคโปร์

รายงานของ Myanmar Coffee Association เผยเมียนมาขยายการส่งออกกาแฟผ่านสิงคโปร์เพื่อเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ จากการระบาดของ COVID-19 ความต้องการกาแฟในท้องถิ่นลดลงและผู้ค้าบางรายพยายามขยายตลาดในต่างประเทศและกำลังเชื่อมต่อกับตลาดใหม่ในภูมิภาคโดยผ่านสิงคโปร์ เมื่อเดือนที่แล้วสมาคมได้เข้าร่วมงาน Singapore Specialty Coffee Online Auction 2020 ซึ่งเป็นเวทีสำหรับผู้ผลิตเมล็ดกาแฟทั่วโลกเพื่อส่งเสริมเมล็ดกาแฟสู่ตลาดเอเชียโดยใช้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลาง เมียนมาเพิ่มความพยายามในการหาตลาดต่างประเทศหลังจากการส่งออกลดลงเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 การส่งออกลดลงครึ่งหนึ่งในปีงบประมาณ 62-63 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่ส่งออกมากกว่า 1,000 ตันไปยังสหรัฐฯ เยอรมนี จีน ไทยญี่ ปุ่นเกาหลี และยุโรป การส่งออกกาแฟอาจลดลงอีกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าตรงกันข้ามกับแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในช่วงห้าปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกกาแฟเพิ่มขึ้น 4 เท่าเป็น 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 62-63 จาก 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 57 ประชากรร้อยละ90 ของประเทศมีประชากรดื่มกาแฟสำเร็จรูปที่นำเข้าจากต่างประเทศและที่เหลือบริโภคกาแฟในท้องถิ่น

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-coffee-market-expand-through-singapore.html

ไทยเป็นตลาดส่งออกข้าวโพดเบอร์ต้น ๆ ของเมียนมา

นาย U Myo Thu รองอธิบดีองค์การส่งเสริมการค้าเมียนมาเผยปัจจุบันไทยเป็นนำเข้าข้าวโพดจากเมียนมาเป็นอันดับต้น ๆ โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของการเก็บเกี่ยวถูกส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ข้าวโพดที่ใช้ในอุตสาหกรรมหรืออาหารสัตว์เป็นที่ต้องการสูงในไทย จากการส่งออกไปยังจีนถูกระงับตั้งแต่ปี 61 ผลผลิตข้าวโพดส่วนใหญ่จึงถูกส่งออกไปยังไทย ซึ่งในปีงบประมาณ 62 – 63 มีการนำเข้ามากกว่ามากกว่าหนึ่งล้านตันเพิ่มขึ้นจาก 700,000 ตันในปีก่อนหน้า การส่งออกข้าวโพดเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 50 เมื่อเทียบเป็นรายปีในปีงบประมาณ 62 – 63 การส่งออกข้าวโพดต่อปีอยู่ที่ 2.5 ล้านตันเมื่อเทียบกับ 1.5 ล้านตันในปีก่อนหน้า ปัจจุบันเมียนมามีพื้นที่ปลูกข้าวโพด 1.5 ล้านเอเคอร์

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/thailand-becomes-top-corn-export-market-myanmar.html

ไทยผนึก 26 ชาติจี้มะกันต่ออายุจีเอสพี อุ้มส่งออก8หมื่นล.645สินค้า

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ไทยได้ร่วมกับอีก 26 ประเทศที่รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ทำหนังสือถึงสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (ยูเอสทีอาร์) เพื่อขอให้มีการพิจารณาต่ออายุโครงการสิทธิพิเศษจีเอสพี 3,500 รายการ ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.63 ออกไป เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออกไทยและผู้นำเข้าสหรัฐ ให้สามารถลดภาระภาษี ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ รวมถึงให้ทางการสหรัฐ เร่งรัดกระบวนการพิจารณาต่ออายุโครงการให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ปัจจุบัน สหรัฐได้ให้สิทธิจีเอสพีสินค้าทั้งหมด 3,500 รายการ แต่ในจำนวนมีสินค้าที่ไทยได้รับสิทธิและใช้สิทธิจีเอสพีส่งออกไปจริง ประมาณ 645 รายการ คิดเป็นมูลค่า 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 83,200 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดจะหมดอายุช่วงสิ้นปีนี้  แต่กรมฯ ก็เชื่อมั่นว่าทางการสหรัฐจะต่ออายุจีเอสพีออกไป  แม้กระบวนการประกาศต่ออายุจะล่าช้าและเสร็จไม่ทัน 1 ม.ค.64 แต่ก็ขอให้ผู้ประกอบการไทยไม่ต้องตกใจ เพราะตามประวัติศาสตร์ ทางการสหรัฐจะประกาศช้าอยู่แล้ว แต่ก็จะให้สิทธิจีเอสพีย้อนหลังเริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. เป็นต้นไป โครงการจีเอสพี ที่สหรัฐ ให้สิทธิฯ แก่  119 ประเทศกำลังพัฒนา และพัฒนาน้อยที่สุด จะถึงรอบสิ้นสุดอายุโครงการในวันที่ 31 ธ.ค.63 พอดี โดยสหรัฐ กำลังพิจารณาต่ออายุโครงการออกไปอยู่  ซึ่งจะต้องออกเป็นกฎหมายจึงอาจมีความล่าช้าไปบ้าง หลายเดือน แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะสหรัฐ จะให้สิทธิต่ออายุโครงการย้อนหลัง เพื่อให้การให้สิทธิจีเอสพีเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เช่น การต่ออายุครั้งล่าสุดเมื่อปี 61 สหรัฐ ได้ประกาศต่ออายุเดือน มี.ค.61 แต่ให้มีผลใช้บังคับใช้ย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.61 ซึ่งผู้ส่งออกมีความเข้าใจเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/economic/804636

เวียดนามนำเข้าข้าวเปลือกจากกัมพูชา 1.4 ล้านตัน

กระทรวงเกษตรของกัมพูชา เปิดเผยว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ กัมพูชาส่งออกข้าวเปลือกมากกว่า 1.4 ล้านตันไปยังเวียดนาม การส่งออกดังกล่าวส่วนใหญ่มาจากจังหวัดกันดาล, ไพรแวง, สวายเรียง, ตาแก้ว, พระตะบองและกำปอต ในขณะที่ การเก็บเกี่ยวข้าวในปี 2562-2563 กัมพูชาผลิตข้าวเปลือก 10.88 ล้านตัน ซึ่งตัวเลขข้างต้นแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาไม่ต้องการที่จะหยุดการส่งออกข้าวไปเวียดนาม เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่มีตลาด ทั้งนี้ ทางเลาขาธิการสหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) กล่าวว่าข้าวเปลือกที่ส่งออกไปยังเวียดนาม ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ข้าวอายุสั้นที่ใช้ระยะเวลาในการเติบโต 3 เดือน นอกจากนี้ กัมพูชามีพื้นที่เพาะปลูกข้าวมากกว่า 2.7 ล้านเฮกตาร์ แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เกิดอุทกภัยทำให้พื้นที่เพาะปลูกได้รับความเสียหายมากกว่า 213,000 เฮกตาร์ ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกข้าวเปลือกของกัมพูชาไปยังเวียดนามลดลง

  ที่มา : https://vov.vn/en/economy/vietnam-imports-14-mln-tonnes-of-cambodian-rice-paddy-814397.vov

เวียดนามเผยยอดส่งออกคอมพิวเตอร์และเครื่องจักร พุ่ง 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ตามข้อมูลของกรมศุลกากรเวียดนาม ณ วันที่ 15 ต.ค. เผยว่ามูลค่าการส่งออกโดยรวมของเวียดนามสูงถึง 215.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าส่งออกสำคัญ 5 รายการที่มีมูลค่าราว 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่ โทรศัพท์และชิ้นส่วน, คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ, เครื่องนุ่งห่ม, เครื่องจักร ชิ้นส่วนและรองเท้า ทั้งนี้ มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ อยู่ที่ 34.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับปี 2562 อย่างไรก็ตาม สำหรับตลาดส่งออกของเวียดนาม ชี้ให้เห็นว่าคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบที่ส่งออกไปยังจีน มีมูลค่า 8.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว รองลงมาสหรัฐฯ สหภาพยุโรปและฮ่องกง ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน เครื่องจักรและชิ้นส่วน มีมูลค่า 19.568 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นประมาณ 5.76 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา มีมูลค่า 7.59 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 121 รองลงมาสหภาพยุโรป เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและจีน ตามลำดับ

ที่มา : https://customsnews.vn/exports-of-computers-and-machines-increase-nearly-13-billion-16326.html

เวียดนามเผยส่งออกซีเมนต์และปูนเม็ดพุ่ง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

จากรายงานอุตสาหกรรมซีเมนต์ในประเทศที่เผยแพร่โดยบริษัท FPT Securities Joint ระบุว่าปริมาณการส่งออกซีเมนต์และปูนเม็ดของเวียดนาม เพิ่มขึ้น 30 เท่าในปี 2553-2562 มีสัดส่วนร้อยละ 32 ของการบริโภครวม และการส่งออกสินค้าดังกล่าวมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าการส่งออกจะอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากธุรกิจในประเทศส่วนใหญ่ส่งออกปูนเม็ดและวัตถุดิบที่ทำมาจากซีเมนต์ ทั้งนี้ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 38.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งราคาส่งออกต่ำกว่าในประเทศร้อยละ 10 เป็นผลมาจากธุรกิจต้องลดราคา เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งตลาดต่างประเทศได้ นอกจากนี้ จากตัวเลขสถิติของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า เปิดเผยว่าเวียดนามส่งออกซีเมนต์กว่า 28 ล้านตันในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ในแง่ของปริมาณ เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 และในแง่ของมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

  ที่มา : https://vov.vn/en/economy/cement-and-clinker-exports-skyrocket-over-past-decade-812483.vov

เวียดนามส่งออกไปอาเซียน โตต่ำ 5.26%

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MoIT) เปิดเผยว่าในปีนี้ เวียดนามส่งออกไปยังอาเซียนอยู่ที่ 23.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่อัตราการขยายตัวในปี 2559-2563 คาดว่าจะขยายตัวในระดับต่ำที่ร้อยละ 5.26 ซึ่งจากตัวเลขสถิติ ชี้ให้เห็นว่ามูลค่าการค้าระหว่างประเทศของเวียดนามไปอาเซียน คาดว่าจะอยู่ที่ 55.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.4 ของยอดการส่งออกและนำเข้าของเวียดนามทั้งหมด โดยอาเซียนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของเวียดนามอันดับที่ 5 ของคู่ค้าต่างประเทศ หากแบ่งรายประเทศ พบว่าไทยและมาเลเซียเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนามกว่า 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาอินโดนีเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา ฟิลิปปินส์และสปป.ลาว ทั้งนี้ สินค้าส่งออกสำคัญของเวียดนามไปอาเซียน ได้แก่ โทรศัพท์และชิ้นส่วน, เหล็กทุกชนิด, คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักรและส่วนประกอบ, ยานยนต์และอะไหล่, เสื้อผ้า สิ่งทอและข้าว เป็นต้น ในขณะเดียวกัน สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ ผักและผลไม้, ขนมและธัญพืช, อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม, ยาง,  วัสดุพลาสติก เป็นต้น นอกจากนี้ นอกจากนี้ ในปี 2562 มูลค่าการนำเข้า-ส่งออกของเวียดนามไปยังอาเซียนอยู่ที่ 57.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลการค้ากับอาเซียน 6.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับปี 2561

ที่มา : http://export.vccinews.com/detail/26004/vietnamese-exports-to-asean-grow-at-low-rate-of-5-26.html

เมียนมาส่งออกหยกมากกว่า 2,000 ตัน รายได้ทะลุ 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เมียนมามีรายได้กว่า 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการส่งออกหยกเกือบ 2,000 ตันในปีงบประมาณ 2562-2563 มากกว่า 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการส่งออก 410 ตันเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ปีนี้เส่งออก 1,964.488 ตันมูลค่า 420.036 ล้านเดอลลาร์สหรัฐฯ ปีที่แล้วมีรายได้ 356.876 ล้านเหรียญสหรัฐจากการส่งออกหยก 1,548.452 ตัน ในช่วง 56 เดือนที่ผ่านมามีรายได้มากกว่า 2,496 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการส่งออกหยกรวมถึงสูงเป็นประวัติการณ์กว่า 971 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2560-2561

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/india-proposes-oil-refinery-expand-presence-myanmar-energy.html

เวียดนามเผยการส่งออกผักผลไม้ดิ่งลง ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ระบุว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการส่งออกผักและผลไม้ของเวียดนามอยู่ที่ 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ถึงแม้ว่าส่วนแบ่งการตลาดมะพร้าวของประเทศไทยจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในเดือนสิ.ค. แก้วมังกรเป็นสินค้าเกษตรที่มีการเติบโตเร็วที่สุดของเวียดนามในบรรดากลุ่มผลไม้ต่างๆ คิดเป็นยอดส่งออกร้อยละ 51.8 ของมูลค่าส่งออกผลไม้รวม โดยเฉพาะตลาดจีน ที่มีมูลค่าส่งออกพุ่งร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ด้วยมูลค่า 127.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ จากรายงานของสำนักงานนำเข้า-ส่งออก เผยว่ายอดส่งออกแก้วมังกรที่เติบโตอย่างรวดเร็วไปยังจีน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเอื้ออำนวยของพิธีการศุลกากร และความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดจีน นอกจากนี้ ข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA คาดว่าจะช่วยให้ยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจเวียดนามเมื่อเทียบกับภูมิภาคเดียวกัน อย่างเช่น ไทย ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย เป็นต้น นอกเหนือจากนี้ก็กลุ่มประเทศอเมริกาใต้ เช่น เปรูและเอกวดอร์

ที่มา : https://vov.vn/en/economy/fruit-and-vegetarble-exports-plummet-over-nine-months-783688.vov

น้ำตาลเมียนมาล้นตลาดทำราคาตกต่ำในรอบ 10 ปี

สมาคมผู้ประกอบการน้ำตาลและอ้อยของเมียนมาเผยปริมาณน้ำตาลที่มากเกินไปทำให้ราคาตกต่ำในรอบ 10 ปี เนื่องจากขณะนี้น้ำตาลสำหรับการส่งออกยังคงค้างอยู่ในประเทศเป็นจำนวนมาก ตามการคาดการณ์อาจมีสินค้าคงเหลือในประเทศ 150,000 ถึง 200,000 ตันและราคาอยู่ระหว่าง 840-860 จัตต่อ viss ซึ่งต่ำที่สุดในรอบทศวรรษ การบริโภคลดลงอย่างมากเพราะไม่มีงานเทศกาลหรืองานอีเว้นท์ในช่วง COVID-19 เนื่องจากผู้คนจับจ่ายน้อยลงจึงส่งผลกระทบต่อตลาดขนมและเครื่องดื่มที่ทำจากน้ำตาลซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำตาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะนี้เมียนมากำลังพยายามจะทำทุกทางเพื่อการส่งออกไปยังจีน แม้พื้นที่เพาะปลูกอ้อยจะลดลงแต่ผู้ค้าคาดว่าราคาจะยังคงลดลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเป็นผลมาจากปริมาณที่มากเกินไปและการบริโภคที่ลดลง ขณะนี้มีไร่อ้อยในเมียนมาไม่ถึง 50,000 เอเคอร์และลดลงจากหน้านี้ที่มีประมาณ 460,000 เอเคอร์ ซึ่งถูกทดแทนโดยถั่วชนิดต่าง ๆ  เนื่องจากสินค้าคงเหลือมีจำนวนมากเกษตรกรจึงขอจำกัดการนำเข้าน้ำตาลจากต่างประเทศ ทั้งนี้ความต้องการและพื้นที่ปลูกอ้อยที่ลดลงยังส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลต่อไปตามห่วงโซ่คุณค่า

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/sugar-glut-myanmar-leads-prices-10-year-low.html