ธนาคารร่วมพัฒนาด้านการแข่งขันในธุรกิจทางการเกษตรของกัมพูชา

ธนาคารเพื่อการเกษตรและการพัฒนาชนบทแห่งรัฐของกัมพูชา (ARDB) และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ได้ริเริ่มโครงการเพื่อส่งเสริมการพัฒนาการเกษตรผ่านการเพิ่มมูลค่าให้กับห่วงโซ่การผลิตของการทำฟาร์มในประเทศกัมพูชา โดยโครงการพัฒนาการเกษตรจะช่วยสนับสนุนเงินทุนให้กับเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อขยายสู่วงจรการผลิตทั้งหมด ซึ่งความคิดริเริ่มดังกล่าวได้เกิดขึ้นในการประชุมทางไกลระหว่าง ARDB และ ADB โดยอธิบดี ARDB กล่าวว่าโครงการนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการส่งเสริมการผลิตทางการเกษตรในท้องถิ่น วัตถุประสงค์ของโครงการนี้คือการมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับปัจจัยหลักแต่ละประการของห่วงโซ่การผลิตทางการเกษตรเพื่อส่งเสริมการพัฒนาของเกษตรกร โดยในการดำเนินการโครงการมูลค่า 110 ล้านดอลลาร์ จะได้รับการสนับสนุนในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าสำหรับเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตร รวมถึงจะดำเนินการในช่วงปี 2564 ถึง 2570 ตามที่ระบุว่าฐานการผลิตทางการเกษตรใน 6 จังหวัดจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50718266/banks-to-partner-on-competitive-agribusiness-development/

ญี่ปุ่นร่วมลงทุนในภาคพลังงานของกัมพูชา

บริษัท พลังงานหมุนเวียนของญี่ปุ่นสองแห่งวางแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแกลบและแผงโซลาร์เซลล์ในประเทศกัมพูชา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยของแหล่งจ่ายพลังงานปกติของกัมพูชา ซึ่งรายงานโดยสำนักข่าวญี่ปุ่น NNA กล่าวว่าทั้งสอง บริษัท คือ Aura Green Energy Co และผู้ให้บริการระบบแผงเซลล์แสงอาทิตย์ WWB Corp. ได้ร่วมมือกันเพื่อเปิดตัวธุรกิจผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานโดยใช้ชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์ในกัมพูชาภายในปี 2564 โดยการลงทุนในพลังงานทดแทนเช่นพลังงานเชื้อเพลิงแกลบจะช่วยให้ผู้ผลิตข้าวลดต้นทุนลง ซึ่งธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ในปี 2562 อนุมัติเงินกู้ 7.64 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการก่อสร้างสวนพลังงานแสงอาทิตย์ 100 เมกะวัตต์ (mW) ในประเทศกัมพูชาเพื่อช่วยในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและกระจายพลังงานให้ทั่วถึงไปยังชุมชนมากขึ้น รวมถึงเป็นการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันอีกด้วย

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50718101/japan-jumps-in-on-energy/

Covid-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้าในกัมพูชากว่า 130 แห่ง

อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและรองเท้าของกัมพูชาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของ COVID-19 อย่างต่อเนื่องกับการส่งออกที่ได้รับผลกระทบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกล่าวว่ามีโรงงานถึง 130 โรงงานที่ยื่นขอให้ระงับการผลิตและส่งผลกระทบต่อแรงงานกว่า 100,000 ราย ซึ่งสำหรับไตรมาสที่สองของปีนี้การส่งออกเสื้อผ้าและรองเท้าจะลดลง 50 ถึง 60% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยในปัจจุบันกัมพูชายังไม่ได้รับคำสั่งซื้อใดๆ จากผู้ซื้อในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนรวมถึงในอนาคตอันใกล้ ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าการส่งออกเสื้อผ้าและรองเท้าจะได้รับผลกระทบอย่างหนักในไตรมาสที่สองของปีนี้ สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางการตลาดหลักสำหรับการส่งออกเสื้อผ้าของกัมพูชาได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ CoVid-19 ด้วย โดยรัฐบาลและเจ้าของโรงงานตกลงที่จะให้ค่าจ้างขั้นต่ำ 70 เหรียญสหรัฐต่อเดือนสำหรับพนักงานที่ถูกระงับแต่ละราย ซึ่งรัฐบาลให้เงินสนับสนุน 40 เหรียญสหรัฐส่วนที่เหลืออีก 30 เหรียญสหรัฐจะเป็นภาระของเจ้าของโรงงาน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50717977/coronavirus-takes-its-toll-on-garment-industry-with-130-factories-suspending-operations-affecting-100000-workers/

กัมพูชาบันทึกการไหลเข้าของ FDI เพิ่มขึ้น 21% ในภาคอสังหาริมทรัพย์

การไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้าสู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ (รวมอสังหาริมทรัพย์และคอนโดมิเนียมทุกประเภท) ในกัมพูชามีมูลค่ามากกว่า 437.3 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562 ตามข้อมูลจากรายงานNBC’s Annual Banking Supervision Report 2019 ในบรรดาการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้าสู่ภาคอสังหาริมทรัพย์จีนมีการลงทุนมากสุดในกัมพูชา คิดเป็นส่วนแบ่งประมาณ 58.8% (หรือมากกว่า 262 ล้านเหรียญสหรัฐ) จาก FDI ทั้งหมดตามมาด้วยสิงคโปร์ 15.2% จากสหรัฐ 53.5 ล้านเหรียญสหรัฐ, เกาหลีใต้ 27.25 ล้านเหรียญสหรัฐ, ญี่ปุ่น 15.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และจากประเทศอื่นๆ 19.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น การก่อสร้างและการจำนองส่วนบุคคล โดยการเติบโตของสินเชื่อสำหรับการจำนองอยู่ที่ 41.7%

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50717905/cambodia-logged-21-percent-increase-in-inflow-of-fdi-into-the-real-estate-sector-in-2019/

โควิด-19 กระทบเศรษฐกิจ CLMV เติบโตต่ำสุดในรอบ 2 ทศวรรษ ประเทศยิ่งพึ่งพารายได้จากต่างประเทศมาก ยิ่งกระทบหนัก (กระแสทรรศน์ ฉบับที่ 3100)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์เรื่อง COVID-19 กระทบเศรษฐกิจ CLMV เติบโตต่ำสุดในรอบ 2 ทศวรรษ ประเทศยิ่งพึ่งพารายได้จากต่างประเทศมาก ยิ่งกระทบหนัก โดยระบุว่า การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจ CLMV ผ่านทางการพึ่งพารายได้จากต่างประเทศในธุรกิจท่องเที่ยว และภาคการส่งออก โดยประเทศที่พึ่งพารายได้จากต่างประเทศมาก ยิ่งได้รับผลกระทบในเชิงลบมาก      

  • กัมพูชา เป็นประเทศที่ได้รับรับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากพึ่งพารายได้จากต่างประเทศทั้งในธุรกิจท่องเที่ยวและภาคการส่งออก โดยคาดว่าธุรกิจท่องเที่ยวจะหดตัวประมาณ 60% ในปีนี้ ส่วนภาคการส่งออกนั้น กัมพูชายังพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาด EU และสหรัฐฯ มากที่สุด ซึ่งในปัจจุบัน ประเทศสหรัฐฯ และประเทศในกลุ่ม EU คือประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 มากที่สุดในเวลานี้ จึงคาดว่ามูลค่าส่งออกจะหดตัวถึง 10% ในปีนี้ ส่งผลให้เศรษฐกิจกัมพูชาโดยรวมจะหดตัวกว่า 0.9% ในปี 2563
  • เวียดนาม เวียดนามได้รับผลกระทบปานกลาง เนื่องจากพึ่งพารายได้จากต่างประเทศในภาคการส่งออกเท่านั้น และยังโชคดีที่ เวียดนามมีประเทศคู่ค้าหลักที่หลากหลายทำให้การกระจายความเสี่ยงในการส่งออกค่อนข้างดี ประกอบกับสินค้าส่งออกหลักของเวียดนาม คือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะได้รับอานิสงค์จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปด้วยการทำงานที่บ้าน (Work From Home) จึงทำให้อุปสงค์ของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ แผงวงจรไฟฟ้า เพิ่มขึ้น และทำให้ภาพรวมการส่งออกของเวียดนามหดตัวไม่มากนัก คาดว่ามูลค่าการส่งออกของเวียดนามจะหดตัวประมาณ 5% ในปีนี้ ประกอบรัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบเงินให้เปล่า และการลดภาษี คาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามจะยังคงเติบโตได้ในระดับ 3.6% ในปีนี้
  •  เมียนมา  เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ค่อนข้างน้อย เพราะมีรายได้จากภาคการส่งออกและธุรกิจท่องเที่ยวค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกของเมียนมาก็ได้รับผลกระทบค่อนข้างหนัก เนื่องจากสินค้าส่งออกหลักของเมียนมา คือ ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้รับผลกระทบหนักจากราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ สินค้าส่งออกสำคัญอันดับสองของเมียนมา คือ เสื้อผ้าและสิ่งทอ ก็ได้รับผลกระทบหนักทั้งจากการปิดโรงงานในจีน และจากอุปสงค์สินค้าที่ลดลงในตลาด EU จึงคาดว่ามูลค่าการส่งออกของเมียนมาจะหดตัวถึง 10% ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม EU ได้จัดตั้งกองทุนเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน (Quick Assistance Fund) มูลค่า 500 ล้านยูโร เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมสิ่งทอในเมียนมาที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งจะช่วยอุดหนุนการจ้างงานและการบริโภคของครัวเรือน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่ากองทุนเงินช่วยเหลือฉุกเฉินของ EU ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1% ของ GDP จะช่วยพยุงรายได้ของประชาชน และทำให้การบริโภคในครัวเรือนยังเติบโตได้ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของเมียนมาก็ยังคงเป็นไปตามกำหนดการเดิม จึงคาดว่าในภาพรวมเศรษฐกิจเมียนมาจะยังเติบโตได้ในระดับ 4.3% ในปี 2563
  • สปป.ลาว ก็เป็นอีกประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้พึ่งพารายได้จากธุรกิจท่องเที่ยว หรือภาคการส่งออกมากนัก อย่างไรก็ตาม ธุรกิจท่องเที่ยวของลาวพึ่งพานักท่องเที่ยวไทยมากที่สุด ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หนักที่สุดในอาเซียนในปีนี้ จึงคาดว่าธุรกิจท่องเที่ยวของลาวน่าจะได้รับผลกระทบหนักตามไปด้วย ส่วนภาคการส่งออกของสปป.ลาวคาดว่ามูลค่าการส่งออกจะหดตัวประมาณ 5% ในปีนี้ ยังโชคดีที่ ภาคการส่งออกของสปป.ลาวส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเหมืองแร่และการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดการจ้างงานกับผู้คนจำนวนมาก ส่วนธุรกิจท่องเที่ยวก็เพิ่งเริ่มพัฒนาและยังมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับ GDP จึงทำให้รายได้ของประชากรส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และทำให้การบริโภคในครัวเรือนยังเติบโตได้ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 นอกจากนี้ การลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงซึ่งมีมูลค่ากว่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ยังคงดำเนินไปตามกำหนดการเดิม จึงทำให้เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 มากนัก เมื่อดูภาพรวมแล้ว คาดว่าเศรษฐกิจสปป.ลาวจะยังเติบโตได้ในระดับ 3.9% ในปี 2563

แม้ว่าวิกฤตโควิด-19 จะทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทLกลุ่ม CLMV อยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ แต่เศรษฐกิจ CLMV ก็ยังสามารถเติบโตได้ในระดับ 3.4% ในปีนี้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจ CLMV ดยรวมยังมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วใน 1-2 ปีข้างหน้า โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่ระดับ 6.4% ในปี 2564และ 6.5% ในปี 2565

ที่มา : https://kasikornresearch.com/th/analysis/k-econ/economy/Pages/z3100.aspx

กัมพูชาส่งออกไปยังไทยเพิ่มขึ้น 115%

การส่งออกของกัมพูชาไปยังประเทศไทยพุ่งสูงขึ้นในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้แม้ว่าทั้งสองประเทศจะมีการขนส่งที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับการค้าข้ามพรมแดนเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมปีนี้การส่งออกทั้งหมดของกัมพูชาไปยังประเทศเพื่อนบ้านมีมูลค่า 612 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 115% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยข้อมูลจากทางการของกระทรวงพาณิชย์ของกัมพูชาระบุว่ากัมพูชานำเข้าสินค้า 1,891 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบเป็นรายปี ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 ในช่วงสามเดือนแรกเป็น 2,503 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการค้าทวิภาคีที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองประเทศสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลต่อรัฐบาล โดยเป็นสินค้าเกษตรเป็นส่วนใหญ่ของการส่งออกของกัมพูชาไปยังประเทศไทยในขณะที่การส่งออกของไทยไปยังกัมพูชาส่วนใหญ่ประกอบด้วยแหล่งพลังงาน ปุ๋ยการเกษตร ปูนซีเมนต์ อาหารและเครื่องสำอาง

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50717339/cambodias-exports-to-thailand-soar-115-percent/

ตลาดหลักทรัพย์กัมพูชายังคงเติบโตภายใต้การระบาดของ Covid-19

ตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา (CSX) ดูดีในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาแม้จะมีการระบาดทั่วโลกของไวรัส Covid-19 โดยดัชนี CSX ดีดตัวขึ้นสูงสุดที่ 700 จุด ตามข้อมูลภายในระยะเวลาสองเดือนดัชนีได้แสดงความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญเริ่มลดลงจาก 704.74 จุดในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์จนกระทั่งอยู่ที่ประมาณ 590 จุดในช่วงต้นเดือนเมษายน นับตั้งแต่กลางเดือนเมษายนที่ผ่านมามีการเติบโตที่แข็งแกร่งจนกระทั่งฟื้นตัวกลับมาเป็น 703.24 จุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของ PWSA, GTI และ PAS นั้นเพิ่มขึ้น 2.51% โดยมีระดับสูงถึง 6,000 riels, 4,000 riels และ 17,540 riels ตามลำดับจากข้อมูลของ CSX โดยมองว่าหลังจากการระบาดของ COVID-19 สิ้นสุดลงจะส่งผลทำให้ราคาหลักทรัพย์ในตลาดเพิ่มขึ้นอีก ขณะนี้มี 5 บริษัท ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คือ Sihanoukville Autonomous port, Phnom Penh Special Economic Zone, Phnom Penh Autonomous Port, Grand Twin International Cambodia and Phnom Penh Water Supply Authority.

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50717297/securities-market-grows-despite-the-pandemic/