รัฐบาลเวียดนามเตือนการไฟฟ้าเสี่ยงขาดทุน $2.7 พันล้านในปีนี้หากไม่ปรับขึ้นราคา

รอยเตอร์ – การไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) จะขาดทุน 64,900 ล้านล้านด่ง (2,750 ล้านดอลลาร์) ในปีนี้ หากราคาค่าไฟฟ้าขายปลีกยังไม่เปลี่ยนแปลง รัฐบาลเวียดนามระบุในคำแถลงว่า หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าไฟขายปลีก จะทำให้มูลค่าการขาดทุนของการไฟฟ้าในปีนี้และปีก่อนรวมกันเป็น 93,800 ล้านล้านด่ง ทั้งนี้ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้พยายามที่จะปรับขึ้นราคาค่าไฟฟ้าขายปลีกเพื่อสนับสนุนการลงทุนในภาคการผลิตพลังงาน แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เผชิญกับแรงกดดันในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม การปรับราคาค่าไฟฟ้าใดๆ ก็ตามจะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับอัตราเงินเฟ้อ ชีวิตของผู้คนและเศรษฐกิจมหภาค นอกจากนี้ เวียดนามตั้งเป้าที่จะรักษาอัตราเงินเฟ้อให้ต่ำกว่า 4.5% ในปีนี้ ส่วนราคาผู้บริโภคในเดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้น 4.55% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ที่มา : https://mgronline.com/indochina/detail/9660000015316

ฉุดต้นทุนพุ่งธุรกิจทรุด! กกร.ห่วง “ค่าไฟ-ค่าแรง-ดอกเบี้ย” ขึ้น

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร.กังวลใจเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจ จากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าจาก 4 บาทต่อหน่วย เป็น 4.72 บาทต่อหน่วย ในงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.2565 เพราะจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน และต้นทุนการประกอบการ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม จะมีต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ย 20-30% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด และภาคบริการ เช่น ธุรกิจโรงแรมจะมีต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเกือบ 30% ของต้นทุนทั้งหมด นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมีต้นทุนด้านแรงงานจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ตั้งแต่ 8-22 บาทต่อวัน ที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค.นี้ รวมถึงการขาดแคลนแรงงานที่เป็นปัญหาสำคัญของภาคธุรกิจ และการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมเก็บเงิน สถาบันการเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตั้งแต่เดือน ม.ค.66 ที่จะส่งผ่านไปยังดอกเบี้ยเงินกู้ให้สูงขึ้น ภายใต้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้ กกร.ต้องติดตามภาวะของเศรษฐกิจโลกที่เผชิญความเสี่ยงจะชะลอตัวกว่าที่คาดอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังมองแนวโน้มดอกเบี้ยของไทย คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.25% ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ที่ระดับ 1.25% และมีโอกาสขยับขึ้นไปสู่ระดับ 1.5% ในช่วงเดือน มี.ค.66

ที่มา : https://www.thairath.co.th/business/economics/2494521