สนค. ชี้ส่งออก2563 มีโอกาสบวก เปิดลิสต์ “30 สินค้าดาวเด่น”

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า แนวโน้มการส่งออก 2563 คาดการณ์จะกลับมาดีขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว โดย IMF คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 3.3 % ในปี 63 ท่าทีความพร้อมในการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของหลายประเทศ สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เริ่มผ่อนคลายจากการลงนามข้อตกลงทางการค้าระยะแรก (Phase-1 Deal) สถานการณ์ Brexit มีความชัดเจนแล้ว และมีช่วงเปลี่ยนผ่านจนถึงสิ้นปี 2563 ซึ่งจะยังไม่ส่งกระทบต่อผู้ประกอบการไทย และค่าเงินบาทเริ่มมีแนวโน้มอ่อนค่าลง  ทั้งนี้ สนค. จึงได้ทำการวิเคราะห์สินค้าที่มีแนวโน้มการส่งออกขยายตัวได้ดี และควรที่จะเร่งผลักดันการส่งออกเพิ่มมากขึ้นในปี 2563 โดยพบว่ามีสินค้ากว่า 30 รายการ ครอบคลุมทั้งสินค้าเกษตรและอาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม สำหรับสินค้าทั้ง 30 รายการ ในกลุ่มของสินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง นมและผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ เครื่องดื่ม สิ่งปรุงรสอาหาร และอาหารสัตว์เลี้ยง ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม เช่น เครื่องส่งวิทยุ โทรเลข โทรศัพท์ นาฬิกาและส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องสำอางสบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว  ผ้าแบบสำหรับตัดเสื้อ และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ส่วนการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศจีน ยังไม่น่ากระทบต่อการส่งออกไทยในระยะสั้น โดยเฉพาะกลุ่มอาหารที่มีมูลค่าสูงในตลาดจีน เพราะมีอุปสงค์ซื้อสินค้าอาหารไทยที่มีความปลอดภัยและคุณภาพดีอย่างต่อเนื่อง ทางด้านการรับมือกับผลกระทบจากการที่จะถูกสหรัฐฯ ตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่และเตรียมมาตรการรองรับในทุกกรณีอย่างรัดกุม และในด้านการรักษาตลาด มีแผนจัดกิจกรรมนำคณะภาครัฐและเอกชนบุกตลาดเป้าหมายกว่า 18 ประเทศ ในปี 2563 เพื่อรักษาฐานเดิมและขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพอย่างครอบคลุม และกระจายความเสี่ยงจากมาตรการการค้าของประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยมีตลาดเป้าหมายการจัดกิจกรรมในตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย บังคลาเทศ CLMV ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร รัสเซีย แอฟริกา แอฟริกาใต้ ตะวันออกกลาง บาห์เรน และออสเตรเลีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น

ที่มา: https://www.prachachat.net/economy/news-417259

“ไวรัสอู่ฮั่น”คาดลากยาว6เดือน ธุรกิจท่องเที่ยวไทยกระทบหนัก

 พิษไวรัสอู่ฮั่นเขย่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก หวั่นสถานการณ์แพร่ระบาดลากยาว 3-6 เดือน กระทบทัวร์ “อินบาวนด์-เอาต์บาวนด์” ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง “โรงแรม-สายการบิน”ได้รับผลกระทบหนักหนัก ททท.ผวานักท่องเที่ยวหนีเอเชีย โดยไทยได้รับผลกระทบจากการที่ นักท่องเที่ยวจีนที่เป็นนักท่องเที่ยวหลักยกเลิกทัวร์และการจองจากการแพร่ระบาดของไวรัส ผ่านมา ภาคเอกชนท่องเที่ยวได้ประชุมร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อประเมินสถานการณ์ รวมถึงทำแผนเสนอมาตรการต่างๆ ในเบื้องต้นควรหันมากระตุ้นตลาดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนเงินในประเทศ และเร่งทำตลาดท่องเที่ยวในกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศโดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV ประเทศที่กำลังพัฒนานักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีกำลังซื้อที่มากขึ้นทำให้เป็นตลาดที่น่าสนใจที่จะมาชดชเยแทนนักท่องเที่ยวจีน รัฐบาลควรมมีมาตราการท่องเที่ยวเพื่อ พยุงสถานการณ์ในขนาดนี้ให้ผ่านพ้นไป และสิ่งสำคัญควรมีมาตราคัดกรองโรคและควบคุมที่เข้มงวดเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้มาเยือน

ที่มา: www.prachachat.net

ทีเส็บ จับมือ 2 พันธมิตรจัดแคมเปญ Fly, Meet, Shop กระตุ้นนักเดินทางธุรกิจกลุ่ม CLMV

ทางผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการจัดประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล ได้ร่วมกับผู้บริหารจากสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส และบริษัท เซ็นทรัล ดีพาร์ทเม้นท์ สโตร์ จำกัด เพื่อรุกตลาดไมซ์ในกลุ่มประเทศ CLMV โดยจัดงานเปิดตัวแคมเปญ “Fly, Meet, Shop” เป็นครั้งแรกในกรุงพนมเปญ ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นตลาดการจัดประชุมสัมมนาและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลของบริษัทและองค์กรธุรกิจ (Meetings and Incentives-MI) จากประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ให้เลือกไทยเป็นสถานที่จัดงาน ต่อเนื่องจากผลสำเร็จของความร่วมมือระหว่างทีเส็บและบางกอกแอร์เวย์ส ในแคมเปญดังกล่าวและ “Fly and Meet Double Bonus Redefined” เจาะตลาด CLMV ในปี 2561 และ 2562 ตามลำดับ และคาดว่าเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่ม CLMV จะยังเติบโตในอัตราสูงถึง 6-7% ซึ่งทีเส็บได้นำเสนอจุดขายใหม่ของประเทศไทย 115 แห่งที่ได้ร่วมพัฒนากับ 5 เมืองไมซ์ทั่วไทยและเมืองใกล้เคียงผ่านโครงการ Thailand 7 MICE Magnificent Themes ที่มีศักยภาพรองรับนักเดินทางไมซ์ในปี 2563

ที่มา : https://www.prachachat.net/tourism/news-412966

B คาดปี 63 พลิกมีกำไรสุทธิ จากวางเป้ารายได้โตไม่ต่ำกว่า 20% พร้อมรุกโลจิสติกส์ CLMV กลุ่มอีคอมเมิร์ช

“บี จิสติกส์” ลั่นผลงานปี 63 เทิร์นอะราวด์ ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เหตุเทรนด์ธุรกิจโลจิสติกส์มาแรงและเติบโตสูง วางยุทธศาสตร์เจาะกลุ่ม CLMV พร้อมเพิ่มบริการเป็นที่ปรึกษาออกแบบก่อสร้าง-บริหารจัดการคลังสินค้า โดยประธารบริหารบริษัทบี จิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าแผนการดำเนินงานปี 63 ตั้งเป้าผลในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิจากธุรกิจหลัก (ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจง) ประกอบกับบริษัทให้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจภายใน ทั้งนี้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV  ซึ่งเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง และปัจจุบันธุรกิจโลจิสติกส์ถือเป็นรายได้หลักของบริษัทสัดส่วนกว่า 80% ของรายได้รวม ขณะเดียวกัน ในปี 2563 บริษัทยังได้ขยายขอบข่ายการทำธุรกิจที่ต่อยอดกับธุรกิจหลัก โดยเพิ่มการให้บริการ การเป็นที่ปรึกษาออกแบบก่อสร้างและบริหารจัดการคลังสินค้า ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป

ที่มา : นสพ.ข่าวหุ้น ฉบับวันที่ 14 ม.ค. 2563

ไทยแลนด์พลัสวัน จับคู่ญี่ปุ่น รุกตลาดแรงงาน CLMV

“ไทยแลนด์พลัสวัน” จับคู่ญี่ปุ่นรุกตลาด CLMV หวังช่วยกระตุ้นภาคเอกชนในประเทศทั้งรายเก่ารายใหม่ และนักลงทุนต่างชาติที่อาจหนีผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐ-จีน เข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม โดยศูนย์ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งโตเกียวร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมจัดงาน The 4th Business Connecting 2019 ในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์ไทยแลนด์พลัสวัน สู่ความเป็นไปได้ทางความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่น” เพื่อจับคู่ทางธุรกิจและตอกย้ำความร่วมมือของ 2 ประเทศ รวมไปถึงช่วยกระตุ้นภาคเอกชนในประเทศทั้งรายเก่าและรายใหม่และนักลงทุนต่างชาติที่อาจหนีผลกระทบของสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ทั้งนี้ ในงานดังกล่าว กำหนดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการทำธุรกิจในกลุ่มภูมิภาค CLMV ควบคู่ไปกับการขยายฐานการผลิตไปยังกลุ่มประเทศเหล่านี้

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/855088

ไทยผลักดันสินค้าจังหวัดนครพนมสู่ CLMV

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรี และนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เดินทางพบปะหารือด้านการค้ากับกลุ่มหอการค้าจังหวัดนครพนม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจการค้าชายแดน ซึ่งทราบว่าจังหวัดนครพนมมีศักยภาพมากอีกจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานตอนบน เช่น การค้าชายแดน การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ทั้งนี้ เมื่อ 2 ปีก่อน ได้รับทราบปัญหา  โดยเฉพาะการส่งออกชายแดน ซึ่งจังหวัดนครพนมถือว่าเป็นประตูไปสู่เวียดนาม และต่อไปจีน บริเวณมณฑลตอนใต้ ไทยได้ส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแดนที่นี่ รวมทั้งผัก ผลไม้ และอื่น ๆ ซึ่งสิ่งที่หอการค้าฯ อยากให้ช่วยคลี่คลายในเรื่องปัญหาการส่งออกผัก ผลไม้ไปที่ชายแดนแล้วข้ามไปจีนบริเวณด่านผิงเสีย ให้ช่วยเจรจาอำนวยความสะดวก นอกจากนี้ ทาง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ระบุว่าจังหวัดนครพนมได้เสนอให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยนำสินค้าไทย และสินค้าท้องถิ่นภาคอีสานไปทำโรดโชว์ (Road Show) ที่ตลาด CLMV และทางหอการค้าจังหวัดนครพนมเสนอไปที่โฮจิมินห์ ฮานอย และดานัง เนื่องมาจากเป็นเมืองใหญ่ของเวียดนาม ถ้าได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมฯ หอการค้าฯ รวมทั้งองค์กรอื่น ๆ โอกาสที่จะได้ตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นก็มีความเป็นไปได้สูง

ที่มา : นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 19 ธ.ค. 2562

“มหากิจศิริ”ซุ่มขอไลเซนส์ ดัน”ทาโก้เบลล์”รุก CLMV

“มหากิจศิริ” ซุ่มเจรจาขอสิทธ์ทาโก้ เบลล์ รุกตลาดซีแอลเอ็มวี หลังเปิดตลาดในไทยได้ดี ลั่นอีก 5 ปีผุดสาขาครบ 40 แห่งในไทย ด้านยัมเจ้าของทาโก้เบลล์ ลั่นโหมตลาดเอเชียแปซิฟิกนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีทีเอ และกรรมการ บริษัท สยามทาโก้ จำกัด ผู้บริหารร้านทาโก้ เบลล์ (Taco Bell) ในไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯมีความสนใจที่จะขอลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ร้านทาโก้เบลล์ ซึ่งเป็นอาหารจานด่วนสไตล์เม็กซิกันเพื่อทำตลาดในกลุ่ม CLMV ( กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และ เวียดนาม) เพิ่มเติม ซึ่งก็เริ่มมีการเจรจากันบ้างแล้วแต่ยังไม่เป็นทางการ หลังจากที่บริษัทฯรับสิทธ์ทำตลาดในไทยมาปีเศษแล้วประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยส่วนในปี 2563 ได้เตรียมที่จะขยายแบรนด์ทาโก้ เบลล์ เข้าไปเปิดตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มเติม โดยเบื้องต้นมองไปที่ประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย หลังจากที่เปิดตลาดไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ทั้งนี้ ร้านทาโก้ เบลล์ มีจำนวนสาขามากกว่า 7,000 แห่งในตลาดอเมริกา ส่วนตลาดนอกอเมริกามีประมาณ 580 สาขา กระจายในเกือบ 30 ประเทศทั่วโลก

ที่มา : https://mgronline.com/business/detail/9620000118260

“ไทยแลนด์พลัสวัน”จับคู่ญี่ปุ่นรุกตลาด CLMV

แนวโน้มเศรษฐกิจในกลุ่มภูมิภาค CLMV เติบโตอย่างรวดเร็ว ประกอบกับต้นทุนค่าจ้างแรงงานยังต่ำ และทรัพยากรประเทศยังคงอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติแห่เข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้กันมากขึ้น โดยจากคำแถลงการณ์ของ “รัฐพล รังสิตพล” อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ในด้านการค้าและการลงทุนอย่างยาวนาน ทั้งนี้ ศูนย์ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งโตเกียว ร่วมมือกระทรวงอุตสาหกรรมจัดงาน The 4th Business Connecting 2019 ในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์ไทยแลนด์พลัสวัน สู่ความเป็นไปได้ทางความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่น” ซึ่งเวทีนี้ กำหนดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทำธุรกิจในกลุ่มภูมิภาค CLMV ควบคู่ไปกับการขยายฐานการผลิตไปยังกลุ่มประเทศเหล่านี้ ได้เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการเรื่องแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิตที่มีราคาถูก พื้นที่ที่ตั้งโรงงาน และทรัพยากรธรรมชาติที่ยังคงสมบูรณ์ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้รับประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ การแปรรูปอาหาร เป็นต้น

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ (Th)

เมียนมา ตลาดสุดท้ายของประเทศ CLMV

เมียนมาเป็นประเทศที่น่าสนใจ แม้ประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ ที่อยู่ห่างไกลออกไปยังเลือกที่จะเข้ามาลงทุน เช่น ประเทศสิงคโปร์ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้ามาที่นี่นานมากแล้ว ตั้งแต่ยุคประธานาธิบดี ลี กวนยู ยังมีชีวิตอยู่ เคยเดินทางมาเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ด้วยตนเอง อีกประการหนึ่งประเทศใน CLMV คือ เพื่อนบ้านเราที่อยู่ชายแดนติดกัน จึงน่าจะง่ายที่สุดในการค้าและการลงทุน หากจะเปรียบเทียบหรือวิเคราะห์ ระหว่างทั้ง 4 ประเทศแล้วประเทศกัมพูชา และสปป.ลาว (ซึ่งมีประชากรน้อย) หากจะไปแข่งขันกับประเทศที่มีเงินทุนหนา เทคโนโลยีสูง มีความฉลาด ขยันอดทน อย่างคนจีน ที่เข้าไปยึดหัวหาดไว้เกือบจะหมดแล้ว ไทยเราอาจจะสู้ได้ลำบาก ส่วนเวียดนามที่นั่นมีพัฒนามากเกือบจะล้ำหน้าไทยเราไปแล้ว อีกทั้งยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศก็เข้าไปแล้วทุกประเทศ ในช่วงนี้ใครที่เข้าไปลงทุนใหม่ๆ ต้องศึกษาให้ดีก่อน ดังนั้นประเทศเมียนมาเท่านั้น ที่เพิ่งเปิดประเทศได้ไม่นาน ไทยมีโอกาสสู้ประเทศอื่นๆ ได้อยู่แล้ว เพราะกำลังเร่งพัฒนาประเทศกันอยู่ เราต้องนึกย้อนไปในช่วงไทยเริ่มต้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 เมื่อปีพ.ศ.2504 เพียงแต่เขาจะเร็วกว่าเรา เพราะยุคสมัยและเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งมาในช่วงที่ยุค IT กำลังบูม หากไทยมองเห็นช่องก็จะมีโอกาสรวยได้เช่นกัน

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/605146

UPA ปิดดีลซื้อหุ้นน้ำประปาที่ลาว แย้มแจรจาร่วมทุนโซลาร์ฟาร์มเวียดนาม 50 MW

UPA ปิดดีลลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายหุ้นโครงการน้ำประปาแสนดินใน สปป.ลาว มูลค่ารวม 80.85 ล้านบาท บุ๊กรายได้ทันที สร้างรายได้ประจำ ส่งซิกแผนเจรจาร่วมทุนโซลาร์ฟาร์มเวียดนาม ขนาดกำลังผลิต 50 เมกะวัตต์ หวังหนุนผลประกอบการเทิร์นอะราวด์ ซึ่งบริษัทได้ลงทุนผ่าน บริษัท  เอไอดีซี  วอเตอร์ โฮดิ้ง (สิงคโปร์ ) พีทีอี แอลทีดี (AWH) ซึ่งจะเป็นผู้ถือหุ้น 60% ของบริษัท เอเชีย วอเตอร์ จำกัด ผู้เดียว (AWS) ผู้ดำเนินโครงการผลิตน้ำประปาแสนดิน จากการรับโอนโครงการน้ำประปาจากบริษัท เอเชีย ลงทุน พัฒนา และก่อสร้าง จำกัด ผู้เดียว (AIDC) สำหรับโครงการดังกล่าว ตั้งอยู่ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ได้เริ่มผลิตน้ำประปาในเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อเดือน มิ.ย. 2562 เพื่อจำหน่ายให้กับน้ำประปานครหลวงของสปป.ลาว มีระยะเวลาสัมปทาน 50 ปี กำลังการผลิตรวม 48,000 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน ขณะเดียวกัน ในช่วงที่ผ่านมา UPA ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนด้านพลังงานทางเลือกใหม่เพิ่มเติม โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาลงนามซื้อหุ้น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์) 1 โครงการ ในเวียดนาม

ที่มา : นสพ.ข่าวหุ้น ฉบับวันที่ 5 พ.ย. 2562