‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ชี้ผู้ส่งออกเวียดนามควรเดินหน้าขยายไปยังกลุ่มประเทศยูเรเซีย

จากข้อมูลสถิติของกรมศุลกากร เปิดเผยว่าจากวิกฤตความผันผวนของเศรษฐกิจและการเมืองโลก ยอดการค้าเวียดนามและยูเรเซีย มีมูลค่าสูงถึง 13.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 ลดลง 9.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ในขณะที่ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการค้าลดลง 6.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม นาย Ta Hoang Linh ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดยุโรป-อเมริกา ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า กล่าวว่าตลาดยูเรเซียยังคงมีศักยภาพอย่างมากต่อผลิตภัณฑ์ของเวียดนาม เนื่องจากเวียดนามส่งออกไปยังตลาดนี้ มีสัดส่วนเพียง 0.4% ของมูลค่าการนำเข้ารวม

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายมีการจัดตั้งหน่วยงานและจัดทำกรอบความร่วมมือทางการค้าต่างๆ ได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (EAEU), ตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรป-เวียดนาม (EVFTA) รวมถึงคณะกรรมการร่วม จำนวน 14 คณะ และคณะกรรมการระหว่างรัฐบาล

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/eurasia-a-promising-market-for-vietnamese-exporters-experts/272378.vnp

‘เวียดนาม’ เผยยอดส่งออกข้าวทำสถิติสูงสุดในรอบ 34 ปี

การส่งออกข้าวของเวียดนามในช่วงต้นปีจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2566 มีมูลค่า 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือปริมาณส่งออกราว 7.8 ล้านตัน ทำสถิติมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ปี 2534 ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าแนวโน้มการส่งออกข้าวในปีนี้จะสูงถึง 8 ล้านตัน ทำรายได้ราว 4.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ นายเหวียง เวินโด่น ผู้อำนวยการบริษัท เวียดฮุง กล่าวว่าความต้องการบริโภคข้าวในตลาดโลกยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและราคาส่งออกข้าวที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดีราคาข้าวเวียดนามไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผลผลิตขาดแคลน รวมไปถึงผู้ส่งออกข้าวเวียดนามกำลังรอฤดูกาลเก็บเกี่ยวใหม่ นอกจากนี้ สมาคมอาหารเวียดนาม ระบุว่าในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาข้าวไทยเพิ่มขึ้น 5% อยู่ที่ 632 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งสูงกว่าช่วงกลางเดือนที่แล้วประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnams-rice-exports-hit-record-high-since-1989/272379.vnp

ลาวแอร์ไลน์และเวียตเจ็ท ยกระดับความร่วมมือพร้อมถ่ายทอดวิทยาการในธุรกิจการบิน

สายการบินลาวแอร์ไลน์ประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับเวียตเจ็ท สายการบินราคาประหยัดชั้นนำของเวียดนาม โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนความพยายามร่วมกันในการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ความร่วมมือดังกล่าวครอบคลุมเป้าหมายสำคัญ ได้แก่ เทคนิควิทยาการด้านการบำรุงรักษาเครื่องบิน การขยายธุรกิจครั้งนี้สัญญาว่าจะมีการยกระดับมาตรฐานและประสิทธิภาพในการปฏิบัติการของทั้งสองสายการบินให้สูงขึ้น และทำข้อตกลงสำหรับร่วมบริการผู้โดยสารแบบข้ามสายการบินให้มีความราบรื่น โดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบซ้ำหรือจัดการสัมภาระระหว่างการหยุดพักระหว่างทาง ในขณะเดียวกัน ข้อตกลงการใช้รหัสร่วมกันจะทำให้สายการบินสามารถให้บริการเที่ยวบินในนามของกันและกันได้ โดยใช้รหัสเที่ยวบินของสายการบินพันธมิตร ทั้งนี้ ความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นไปตามสัญญาการซ่อมและบำรุงรักษาเครื่องบินที่ลงนามระหว่างสองสายการบินเมื่อดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเวียตเจ็ทมอบหมายให้สายการบินลาวซ่อมเครื่องบินถึง 17 ครั้ง

ที่มา : https://laotiantimes.com/2023/12/05/lao-airlines-vietjet-elevate-collaboration-in-passenger-comfort-technical-assistance/

แขวงไชยสมบูรณ์ สปป.ลาว ไฟเขียวพัฒนาการท่องเที่ยว

แขวงไชยสมบูรณ์ได้อนุญาตให้บริษัทท้องถิ่นสร้างสถานที่ท่องเที่ยวบนเนินเขาผากาใต้ ในเมืองอะนุวง โครงการมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 878 เฮกตาร์ ซึ่งรวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว 150 เฮกตาร์ การพัฒนาด้านการเกษตร 471 เฮกตาร์ และพื้นที่อนุรักษ์ 257 เฮกตาร์ ภายใต้สัญญาสัมปทาน 50 ปี โดยบริษัทจะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครอบคลุมในพื้นที่เทือกเขาสันภูหมอกและภูเขาภูตะกัน ในเขตหลงเฉิง ได้แก่ การก่อสร้างสวน บ้านจำลองของกลุ่มชาติพันธุ์ ถนนทางเข้า ร้านอาหาร จุดชมวิว สนามกีฬา ตลาดกลางคืน โรงพยาบาล ตลาดขายของที่ระลึก โรงแรมและที่จอดรถ นอกจากนี้ แขวงไชยสมบูรณ์ยังวางแผนที่จะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว ทั้งการสร้างจุดชมวิว จุดบริการ ที่จอดรถ ที่ตั้งแคมป์ และถนนทางเข้า

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_237Xaysomboun_23.php

เอกชน ลุ้นดิจิทัลวอลเล็ตเดินหน้าได้ดัน GDP

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตได้น้อยกว่าที่คาด โดยในช่วง 9 เดือนแรกเติบโตได้เพียง ร้อยละ 1.9 ซึ่งการส่งออกยังชะลอตัวตามทิศทางประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะจีน การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัวอย่างต่อเนื่องและชะลอการผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลัง นอกจากนี้ รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 28 ล้านคน แทนที่จะเป็นราว 30 ล้านคน การใช้จ่ายต่อหัวก็ลดลงเหลือเพียง 4.3 หมื่นบาท จากที่เคยประมาณการ 4.55 หมื่นบาท และเศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มชะลอตัว จากภาวะการเงินที่ยังตึงตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตไม่ถึง ร้อยละ 5 เนื่องจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่เศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ ร้อยละ 2.8-3.3 และมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้น้อยกว่า ร้อยละ 3 เนื่องจากต้องเผชิญทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปัจจัยความเปราะบางในประเทศ เช่น หนี้ครัวเรือน หนี้ของภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs รวมถึงผลกระทบต่อการเข้าถึงสินเชื่อในระบบจากการเริ่มใช้มาตรการการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบของธปท.ที่เน้นเรื่องวินัยการไม่สร้างหนี้เกินกำลัง โดยมีปัจจัยบวกสำหรับปี 2567 ได้แก่ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยว 33 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นอีก 5 ล้านคนจากปี 2566 ทั้งนี้ หากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตดำเนินการได้เต็มวงเงิน 5 แสนล้านบาท ประเมินว่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ได้อีกอย่างน้อย ร้อยละ 1.0-1.5

ที่มา INN News : https://www.innnews.co.th/news/politics/news_650643/

เมียนมาร์มีรายได้ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการส่งออกข้าวในเดือนที่ผ่านมา

ในเดือนพฤศจิกายน เมียนมาร์มีรายได้ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการส่งออกข้าว ซึ่งสูงกว่าเดือนก่อนหน้า ตามข้อมูลที่เผยแพร่จากสหพันธ์ข้าวเมียนมาร์ ทั้งนี้ รายได้จากปริมาณการส่งออกข้าวอยู่ที่ 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 119,526 ตันในเดือนตุลาคม และ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 175,990 ตันในเดือนพฤศจิกายน ตามลำดับ โดยในปีงบประมาณนี้ มีการส่งออกข้าวจำนวน 759,673 ตันตั้งแต่เดือนเมษายนถึงพฤศจิกายน สร้างรายได้ให้เมียนมาร์กว่า 361 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ดี สหพันธ์ข้าวเมียนมาร์คาดว่าจะส่งออกข้าวได้ 2 ล้านตันในปีการเงิน 2566-2567 นอกจากนี้ ข้อกำหนดใบอนุญาตก่อนหน้านี้ในการสต็อกข้าวส่งออกล่วงหน้า 100% ปรับลดลงเหลือ 50% ตามการระบุของสหพันธ์ข้าวเมียนมาร์

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-earns-us-90-million-from-rice-export-last-month/#article-title

ยางมากกว่า 90,000 ตัน ของเมียนมาร์ส่งออกไปยัง 7 ประเทศ

ตามการระบุของ สมาคมนักวางแผนและผู้ผลิตยางเมียนมาร์ กล่าวว่า ในปีงบประมาณนี้ ยางมากกว่า 90,000 ตันถูกส่งออกไปยัง 7 ประเทศ โดยการผลิตยางร้อยละ 75 ถูกส่งออกไปยังประเทศจีน เช่นเดียวกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น และอินเดีย ทั้งนี้ สมาคมได้เริ่มวางแผนที่จะส่งออกไปยังจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และอินเดีย อย่างไรก็ดี ในช่วงปีงบประมาณ 2018-2019 ถึงปีงบประมาณ 2022-2023 รายได้จากการส่งออกยางอยู่ที่ระหว่าง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถึง 450 ล้านดอลลาร์โดยเฉลี่ย เมียนมาร์พื้นที่ปลูกยางพาราทั้งหมด มากกว่า 1.64 ล้านเอเคอร์ทั่วประเทศ และพื้นที่การผลิตประมาณ 950,000 เอเคอร์ ในขณะที่ผลผลิตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ประมาณ 400,000 ตันตามสถิติ โดยในรัฐมอญเป็นผู้ผลิตยางรายใหญ่ที่สุด ในขณะที่รายใหญ่เป็นอันดับสองคือเขตตะนาวศรี และใหญ่เป็นอันดับสามคือรัฐกะเหรี่ยง ยางพารายังปลูกใน เขตพะโค เขตย่างกุ้ง เขตอิรวดี รัฐฉาน รัฐคะฉิ่น เขตสะกาย ตอนบน และรัฐยะไข่ อีกด้วย

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/more-than-90000-tonnes-of-rubber-exported-to-7-countries/#article-title