‘เวียดนาม’ ชี้คำสั่งซื้อเริ่มกลับมาฟื้นตัว

บริษัท เอบีบี ฮาร์เวสท์ แพคเกจจิ่ง เปิดเผยว่าคนงานจำนวน 400 คน เริ่มกลับมาทำงานในโรงงานแล้ว เนื่องจากมีคำสั่งซื้อในไตรมาสที่ 2-3 ของปีนี้ และบริษัทต้องจัดส่งมอบในเดือน มี.ค. และ เม.ย. นอกจากนี้ ธุรกิจหลายแห่งมีการลงทุนเชิงรุกมากขึ้นและปรับปรุงอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อที่จะตอบสนองกับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน โรงงานปั้นด้ายแห่งหนึ่งในเกาะฟู้โกว๊ก จังหวัดเกียนซาง ได้มีการปรับปรังโครงสร้างธุรกิจและการพัฒนาอุปกรณ์ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและขีดความสามารถทางการแข่งขัน

ทั้งนี้ จากข้อมูลสถิติของกรมศุลกากรเวียดนาม รายงานว่าตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงกลางเดือน ก.พ. การค้าระหว่างประเทศ มีมูลค่าสูงถึง 84.74 พันล้านเหรียญสหรัฐ การส่งออก มูลค่า 44.42 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 19.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/export-orders-spring-back/280037.vnp

‘ผู้ประกอบการเวียดนาม’ แนะใช้ประโยชน์จากการย้ายห่วงโซ่อุปทาน

คุณ Phùng Anh Tuấn รองผู้อำนวยการของบริษัท Manutronic Vietnam JSC กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลก ส่งผลให้บริษัทและกลุ่มธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในเวียดนาม มีโอกาสที่จะอยู่ในห่วงโซ่อุปทานโลก และขยายกิจการทั้งการผลิตและการดำเนินธุรกิจ รวมถึงสร้างแรงงานมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้อุตสาหกรรมสนับสนุนในประเทศเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ เนื่องมาจากกฎระเบียบและข้อบังคับต้องเป็นไปตามมาตรฐานระดับสูงของพันธมิตรทางธุรกิจ

ในขณะที่คุณ Trâong Thị Chí Bình รองประธานสมาคมอุตสาหกรรมสนับสนุนเวียดนาม (VASI) กล่าวว่าธุรกิจอุตสาหกรรมของเวียดนามส่วนใหญ่เป็นวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลาง และดำเนินกิจการจากการจัดหาส่วนประกอบและชิ้นส่วนรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และรถจักรยานยนต์ อย่างไรก็ดี การผลิตชิ้นส่วนสำหรับสินค้าไฮเทค เช่น รถยนต์และเครื่องบิน จำเป็นที่จะต้องมีการเตรียมการในระยะยาว

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1650949/vietnamese-businesses-suggested-taking-advantage-of-global-supply-chain-shifts.html

อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นส่งผลให้ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้น

จากดัชนีราคาผู้บริโภคที่พุ่งสูงขึ้น ราคาอาหารเ เช่น Monhinga (ก๋วยเตี๋ยวปลาแบบดั้งเดิมพร้อมเครื่องเสริม) แป้งทอด ขนมปัง แป้งนาน และอื่นๆ มีราคาเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งในปีนี้ โดยราคาส่วนผสมที่สูง (ข้าวสาลี ไข่ ข้าว น้ำมัน และอื่นๆ) ในการทำอาหารเหล่านั้น กระตุ้นให้ผู้ขายต้องขึ้นราคาอาหารจากเดิมอย่างน้อย 300–500 จ๊าด ในทำนองเดียวกัน ราคาข้าวสาลีขยับขึ้นเป็น 155,000 จ๊าดต่อถุง จากเดิม 145,000 จ๊าดต่อถุง รวมทั้งราคาขายปลีกน้ำตาลก็เพิ่มขึ้นเป็น 4,300 จ๊าดต่อviss และราคาแป้งยังเพิ่มขึ้นเป็น 5,200-5,400 จ๊าดต่อviss จาก 4,800 จ๊าดต่อviss  อย่างไรก็ดี เนื่องจากราคาของชำในครัว ซึ่งรวมถึงข้าว ปลา เนื้อสัตว์ และผัก พุ่งสูงขึ้น ร้านแผงลอยริมถนนบางแห่งที่เสิร์ฟข้าวแกงพม่าก็ขึ้นราคาอาหารหนึ่งมื้อเป็น 3,000 จ๊าด ซึ่งส่งผลให้ภาคครัวเรือนมีภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/rising-inflation-sends-breakfast-costs-soaring/#article-title

บริษัทผลิตเนื้อวัวของ สปป.ลาว เล็งส่งออกเนื้อวัวไปยังจีนมากขึ้น

กลุ่มบริษัท ดวงเจริญพัฒนา กำลังจัดตั้งฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ในแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดหาเนื้อวัวให้กับตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ซึ่งกลุ่มบริษัท ดวงเจริญพัฒนา ได้รับสัมปทานที่ดิน 5 แปลง จากรัฐบาล ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 3,687 เฮกตาร์ เพื่อปลูกหญ้าและเลี้ยงโค โดยประธานและผู้อำนวยการของบริษัท กล่าวว่า โครงการนี้เริ่มต้นในปี 2564 และได้ทำการทดลองเลี้ยงวัว 4 สายพันธุ์ จนถึงขณะนี้ บริษัทได้ส่งออกวัวไปแล้วมากกว่า 1,000 ตัว ส่วนใหญ่ไปยังจีน ไทย และเวียดนาม ทั้งนี้ กลุ่มบริษัท ดวงเจริญพัฒนา ได้สร้างงานให้กับคนในท้องถิ่นมากกว่า 300 ตำแหน่ง มีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจในแขวงบ่อแก้ว และส่งผลให้ สปป.ลาว สามารถสร้างรายได้มากกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการส่งออกสินค้าเกษตรในปี 2566 ซึ่งเกินเป้าหมายกว่า 20.18% สินค้าเกษตรหลักที่ส่งออก ได้แก่ กล้วย ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย วัว และกระบือ โดยจีนเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุด รัฐบาลลาวสนับสนุนให้เกษตรกรและผู้ผลิตเพิ่มการส่งออกเพื่อนำเงินตราต่างประเทศ ช่วยลดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่สูงในช่วงที่ผ่านมา

ที่มา : https://english.news.cn/asiapacific/20240223/1b37e1a966b24406a4d9d723b13ce70e/c.html

สปป.ลาว คาดว่าแขวงเวียงจันทน์จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้กว่า 9 แสนคนในปีนี้

แขวงเวียงจันทน์กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศมายาวนาน และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนประมาณ 9 แสนคน ภายในสิ้นปีนี้ เนื่องจากแขวงเวียงจันทน์มีข้อได้เปรียบมากมาย เช่น เป็นที่ตั้งของเมืองหลวง มีเมืองที่มีทรัพยากรการท่องเที่ยวมากมาย การผลิตทางการเกษตรที่แข็งแกร่ง ทรัพยากรธรรมชาติที่ดีต่อสุขภาพ และวิถีชีวิตที่หลากหลาย นับตั้งแต่เปิดประเทศอีกครั้งในปลายปี 2565 การท่องเที่ยวในแขวงเวียงจันทน์ก็ได้รับการฟื้นฟูอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามที่นายบุญจันทร์ มาลาวงศ์ ผู้ว่าเมืองวังเวียง กล่าวว่า ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 8 แสนคน มาเยือนแขวงเวียงจันทน์ และมากกว่า 6 แสนคน มาเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวในวังเวียง และผู้คนมากกว่า 2 แสนคน มาเยี่ยมชมเมืองมากกว่าจำนวนที่ตั้งเป้าหมายไว้ในปี 2566

ที่มา : https://kpl.gov.la/EN/detail.aspx?id=80798