หัวหน้าพรรคปฎิวัติประชาชนสปป.ลาวเรียกร้องให้นักการเมืองเพิ่มความรับผิดชอบทางการเมือง

นายทองลุน สีสุลธิ์ เลขาธิการพรรคปฎิวัติประชาชนสปป.ลาวคนใหม่ ได้เรียกร้องให้ผู้นำพรรคทุกคนเสริมสร้างความรับผิดชอบทางการเมืองและทำตัวเป็นแบบอย่างของผู้นำเพื่อปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากประเทศชาติ แม้ว่าสปป.ลาวจะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมหลายประการในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาสปป.ลาวยังคงดำเนินตามแนวคิดสังคมนิยม แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลกก็ตาม การกำหนดนโยบายของพรรคมีรากเหง้าจากประเพณีอันดีงามของพรรคและแรงบันดาลใจของประชาชนสปป.ลาวทุกเชื้อชาติเป็นรากฐาน สปป.ลาวได้ดำเนินนโยบายปรับปรุงใหม่เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศพร้อมทั้งส่งเสริมการลงทุนและการท่องเที่ยว สิ่งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเร่งโครงการลดความยากจนและการพัฒนาการศึกษาของสปป.ลาว ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจสปป.ลาวเติบโตในอัตราเฉลี่ยต่อปีที่ร้อยละ 5.8 เปอร์เซ็นต์ในขณะที่ GDP ต่อหัวก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตามความท้าทายต่อการเติบโตเศรษฐกิจยังรออยู่ข้างหน้าตามกลางบริบทของโลกที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งต้องอาศัยความมุ่งมั่นทางการเมืองที่แข็งแกร่งเพื่อเอาชนะปัญหาทางเศรษฐกิจ

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Party_11.php

ความร่วมมือจากหลายหน่วยงานในการพัฒนาภาคการผลิตยางกัมพูชา

WWF กัมพูชาและกรมการยางกระทรวงเกษตรป่าไม้และประมง (MAFF) ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อสร้างความร่วมมือในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานยางพาราให้เกิดความโปร่งใสและยั่งยืน โดยได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (BMZ) ของรัฐบาลเยอรมนี ผ่าน Welthungerhilfe ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีเพื่อการพัฒนาระดับโลกและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยในระยะเวลา 3 ปี ที่ผ่านมาองค์กร BMZ ได้มีส่วนร่วมและทำงานร่วมกับผู้มีบทบาทสำคัญที่เกี่ยวข้องจากภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกรรายย่อยในกัมพูชา ในเมืองมณฑลคีรี เพื่อส่งเสริมการผลิตยางพาราอย่างยั่งยืน ซึ่งมีส่วนช่วยในการปรับปรุงคุณภาพของคนในท้องถิ่น โดยผู้อำนวยการ WWF กัมพูชา กล่าวว่าการส่งเสริมการปลูกยางพาราของเกษตรกรรายย่อยอย่างยั่งยืนจะไม่เพียงสร้างงานและรายได้ให้กับชุมชนในท้องถิ่น แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อธรรมชาติอีกด้วย ซึ่งในปี 2020 กัมพูชาส่งออกยางพาราและต้นยางพารามูลค่ารวมกว่า 482.76 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแบ่งเป็นยาง 340,000 ตันและต้นยางพารา 158,400 ลูกบาศก์เมตร ตามรายงานของกระทรวงเกษตร

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50803833/rubber-production-to-receive-multi-agency-effort-to-improve/

โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 แห่ง ในกัมพูชากำลังจะเริ่มส่งกระแสไฟฟ้า

โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากพลังงานแสงอาทิตย์จะเริ่มส่งผ่านกระแสไฟฟ้าในกัมพูชาเร็ว ๆ นี้ จากสถานีใหม่ 4 แห่ง ที่มีกำหนดจะเชื่อมโยงกับกริดในต้นปีนี้ ขณะนี้โครงการทั้ง 4 โครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยส่วนใหญ่แล้วเสร็จกว่าร้อยละ 90 ซึ่งผู้อำนวยการใหญ่ด้านพลังงานของกระทรวงเหมืองแร่และพลังงานกล่าวว่าโครงการดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลกัมพูชาในปลายปี 2019 สำหรับการก่อสร้าง รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อื่น ๆ ทั่วประเทศ รวมขนาด 110 เมกะวัตต์ (mW) ทั่วกัมพูชา เพื่อช่วยตอบสนองต่อความต้องการในการใช้พลังงานของประเทศในไม่ช้า โดยปัจจุบันกัมพูชาผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ พลังงานลม โรงไฟฟ้าถ่านหิน การผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์และการนำเข้าพลังงานบางส่วน ซึ่งกัมพูชาผลิตไฟฟ้าได้เพียงร้อยละ 85 ของอุปสงค์ในประเทศ โดยมีการนำเข้าพลังงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ในปี 2019 เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 เมื่อเทียบเป็นรายปี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50803921/four-solar-power-stations-coming-online/

เวียดนามเอาชนะจีน อินเดีย ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตถัดไป

ตามรายงานของ Economist Intelligence Unit (EIU) เผยว่าเวียดนามเป็นจุดหมายปลางทางของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในเอเชีย หลังออกจากจีนและอินเดีย ด้วยเหตุนี้ เวียดนามจึงเป็นศูนย์กลางการผลิตด้วยต้นทุนต่ำในห่วงโซ่อุปทานของเอเชีย ซึ่งปัจจัยสำคัญในการเติบโตของประเทศนั้น ได้แก่ ข้อเสนอให้กับบริษัทระหว่างประเทศ เพื่อให้ธุรกิจสามารถจัดตั้งหน่วยงานในการผลิตสินค้าไฮเทค ด้วยค่าจ้างแรงงานที่ต่ำ และผลประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เป็นต้น อีกทั้ง หน่วยงาน EIU ระบุว่าเวียดนามมีคะแนนมากกว่าทั้งอินเดียและจีน เกี่ยวกับเรื่องนโนบาย FDI นอกจากนี้ การเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ FTA จะแสดงถึงจุดแข็งของความสัมพันธ์ทางการค้าของเวียดนาม และช่วยลดต้นทุนทางด้านการส่งออกอีกด้วย

  ที่มา : https://vov.vn/en/economy/vietnam-beats-china-india-to-become-next-manufacturing-hub-831078.vov

นักเศรษฐศาสตร์ คาดเศรษฐกิจเวียดนามเร่งตัวพุ่งในปีนี้

การขยายตัวของเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตค่อนข้างช้า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ประเมินว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะเร่งพุ่งสูงขึ้น แค่รอโอกาสที่จะกลับมา ดังนั้น รัฐบาลจึงตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้อยู่ที่ 6.5% เพิ่มขึ้น 2 เท่าของปีที่แล้ว นับว่าเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ สาเหตุจากยังคงมีความเสี่ยงจาก COVID-19 และความขัดแย้งทางการค้า รวมถึงความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองทั่วโลก อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผนและการลงทุน กล่าวว่าเวียดนามมีโอกาสอีกมากมายและเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ ประกอบกับโอกาสจากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และการหันมานำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ รวมถึงการก่อตั้งของอุตสาหกรรมใหม่และโมเดลธุรกิจ นอกจากนี้ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB), ธนาคารยูโอบี (UOB) และธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) คาดว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัว 6.3%, 7.1% และ 8.1% ในปีนี้ ตามลำดับ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/858071/vietnamese-economy-tipped-to-bounce-back-in-2021.html

รัฐยะไข่ทุ่มเงิน 2 พันล้านจัต สร้างค่ายผู้ลี้ภัย

รัฐยะไข่ใช้เงินไปประมาณ 2.2 พันล้านจัต เพื่อสร้างและดูแลค่ายผู้ลี้ เนื่องจากการสู้รบระหว่างเมียนมาและกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่เริ่มมีความรุนแรงขึ้น เป็นผลให้ผู้ลี้ภัยได้รับความเดือดร้อนและถูกขับออกจากพื้นที่เนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัย ดังนั้นงบประมาณ 1.5 พันล้านจัต ถูกใช้สร้างค่ายผู้ลี้ภัยเจ็ดแห่งใน โปนน่าจู้น(Ponnagyun), ระเต่ดอง (Rathedaung), เจาะตอ (Kyauktaw), มเยาะอู้ (Mrauk-U) และ มี่น-บย่า (Minbya) นอกจากนี้ยังใช้ในด้านดูแลสุขภาพ การศึกษา และความปลอดภัยสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจนกว่าจะได้กลับหมู่บ้าน เงินจำนวน 88 ล้านจัตถูกใช้ไปกับค่ายผู้ลี้ภัยในเขตเมืองเจาะตอ และ 423 ล้านจัตถูกใช้สร้างค่ายผู้ลี้ภัยใน Angu Village Group, มเยโบน (Myebon) และยังนำไปใช้ในการสร้างค่ายผู้ลี้ภัยในเมืองอ้าน (Ann ) อีกเช่นกัน รวมถึงการแบ่งปันอาหารเสื้อผ้า ห้องเรียน และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ สำหรับผู้ลี้ภัย

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/rakhine-expends-k2-billion-state-budget-refugee-camps.html

อคส.ลุยรีแบรนด์ข้าวถุง เป้ายอดปีนี้1,300 ล้าน

อคส.เดินหน้ารีแบรนด์ข้าวถุงครั้งใหญ่ ชูคุณภาพดีราคาถูก เน้นขายเข้าร้านธงฟ้า หลังรายได้ขายเข้าเรือนจำวูบกว่า 40% จากเสียภาพลักษณ์ทุจริตถุงมือยาง ทำส้มหล่นใส่ อ.ต.ก. เร่งกู้ตลาดคืน ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1,300 ล้านบาท ลุ้นตลาดจีนช่วยดันยอด 4,000 ล้าน นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เผยเดินหน้าต่อยอดในส่วนของงานปี 2563 แม้ว่ารายได้จะลดลงจากการจำหน่ายข้าว เข้าเรือนจำจะลดลงไปกว่า 40-50% จากเกิดกรณีทุจริตถุงมือยางช่วงปลายปีและอยู่ระหว่างการเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง ส่งผลให้เรือนจำหันไปซื้อข้าวจากองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.)เพิ่มขึ้น เบื้องต้นมีแผนจะทำข้าวถุงที่มีคุณภาพแต่ราคาถูกลงจากเดิม และปรับคุณภาพข้าวใหม่ มีการหาข้าวสายพันธุ์อื่นๆ มาทำตลาด เช่นจากกลุ่มเกษตรกรลพบุรี กลุ่มเกษตรกรบุรีรัมย์ เป็นต้น สำหรับช่องทางการจำหน่ายข้าวถุงแบรนด์ใหม่ของอคส. จะยังคงเน้นไปที่ร้านธงฟ้า ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และในอนาคตจะมีไปวางจำหน่ายตามหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ นครราชสีมา พิษณุโลก ส่วนข้าวหอมมะลิจะเน้นขายเข้าโมเดิร์นเทรด วิลล่ามาร์เก็ต  และมีแผนส่งทำตลาดออนไลน์ในจีนผ่าน T-Mall  ที่กระทรวงพาณิชย์มีเครือข่ายอยู่ ทั้งนี้ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไว้ที่ 1,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีรายได้ 1,260 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนหนึ่งมาจากการขายข้าวเข้าเรือนจำ หาก สามารถจำหน่ายข้าวเข้าเรือนจำทั่วประเทศได้จะทำให้มียอดขายแบบก้าวกระโดด ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 ไว้ที่ 1,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นปีละ 10% แต่หากการจำหน่ายข้าวถุงประสบความสำเร็จในตลาดจีน อคส.น่าจะมีรายได้แตะ 4,000 ล้านบาท ได้ในปี 2565 

ที่มา: https://www.thansettakij.com/content/Macro_econ/464255