บริษัท สตาร์เทเลคอม (Unitel) เริ่มใช้ใบแจ้งหนี้ที่พิมพ์ด้วยตัวเองในการขายกิจกรรมการบริการ

ตามใบอนุญาตเลขที่ 3127 / TCT ที่ออกเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2020 กรมภาษีอากรได้ยอมรับคำขอของบริษัท สตาร์เทเลคอม (Unitel) ในการอนุญาตให้พิมพ์ใบแจ้งหนี้ด้วยตนเองสำหรับกิจกรรมการขายและบริการใบแจ้งหนี้ที่พิมพ์ด้วยตนเองคือใบแจ้งหนี้ที่ บริษัท สตาร์เทเลคอม พิมพ์บนคอมพิวเตอร์เครื่องบันทึกเงินสดหรือเครื่องจักรอื่น ๆ เมื่อขายสินค้าหรือให้บริการ การใช้ใบแจ้งหนี้ที่พิมพ์ด้วยตนเองจะช่วยสนับสนุนความพยายามของ Unitel ในการจัดทำใบแจ้งหนี้เชิงรุกด้วยการที่ยูนิเทลเป็นองค์กรที่มีศูนย์บริการจำนวนมากใน 18 สาขาทั่วประเทศการพิมพ์ใบแจ้งหนี้ด้วยตนเองจะช่วยให้ผู้นำควบคุม บริษัท ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้แผนกการเงินที่สำนักงานใหญ่ยังสามารถควบคุมการทำและการพิมพ์ใบแจ้งหนี้เพื่อลดต้นทุนและรองรับการผลิตและการดำเนินธุรกิจได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิถือเป็นต้นแบบบริษัทที่มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในอนาคตหากมีบริษัทในสปป.ลาวนำระบบดังกล่าวไปใช้จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาไปอีกขั้นของบริษัทในสปป.ลาว

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Unitel_228.php

สปป.ลาวจับมือพันธมิตรเปิดตัวระบบนวัตกรรมการเกษตร

องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ คณะผู้แทนสหภาพยุโรปและสถาบันวิจัยเกษตรและป่าไม้แห่งชาติ เปิดตัวโครงการใหม่เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการ ซึ่งโครงการพัฒนาขีดความสามารถในระบบนวัตกรรมการเกษตรของการขยายกรอบแพลตฟอร์มเกษตรเขตร้อน (TAP AIS) มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมทางการเกษตรเพื่อเพิ่มประสิทธิผลความสามารถในการแข่งขัน TAP-AIS เป็นโครงการระดับโลกที่เป็นส่วนหนึ่งของความริเริ่มของสหภาพยุโรป“ การพัฒนานวัตกรรมอัจฉริยะผ่านการวิจัยด้านการเกษตร (DeSIRA): สู่ระบบเกษตรและนวัตกรรมความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ”  จะนำไปสู่การส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงการเกษตรและระบบอาหารที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ โดยการพัฒนาขีดความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในระดับประเทศ ซึ่งรวมถึงการร่วมมือกันในการจัดการการผลิตที่ดีขึ้นและการเข้าถึงตลาดใหม่  การใช้เมล็ดพันธุ์ใหม่หรือสายพันธุ์ใหม่เพื่อผลิตมากขึ้นโดยใช้ยาฆ่าแมลงน้อยลง มีคุณภาพดีขึ้น ช่วยให้เกษตรกรหลุดพ้นจากความยากจ สร้างความมั่นใจและความปลอดภัยทางโภชนาการ ทั้งนี้โครงการ TAP-AIS ในสปป.ลาวยังมุ่งเน้นไปที่วิธีการในการพัฒนาและเสริมสร้างขีดความสามารถทั้งสามมิติสำหรับนวัตกรรมทั้งในระดับบุคคล ระดับองค์กรและสภาพแวดล้อม

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Lao_228.php

กัมพูชาเตรียมการเจรจาด้านการค้าและการลงทุนกับสหภาพยุโรป

กัมพูชาและสหภาพยุโรป (EU) ได้จัดให้มีการหารือเตรียมการสำหรับการประชุมกลุ่มย่อยด้านการค้าและการลงทุน ครั้งที่ 11 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 26-27 พ.ย. โดยการเตรียมการดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ระหว่างการประชุมทางวิดีโอ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาเป็นประธานร่วมที่กระทรวงพาณิชย์ และหัวหน้าฝ่ายการค้าและการลงทุนของคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย โดยทางกระทรวงพาณิชย์กัมพูชาได้ทำการอัปเดตเกี่ยวกับปริมาณการค้าระหว่างกัมพูชาและสหภาพยุโรป ไปจนถึงผลกระทบจากโควิด-19 ต่อการค้าและการลงทุนของกัมพูชา ซึ่งในที่ประชุมยังพิจารณาถึงการแก้ไขกฎหมายการค้าและการลงทุนของกัมพูชา การเจรจาภายใต้กรอบการค้าเสรีทวิภาคีและพหุภาคี ทั้งความคืบหน้าของวาระการประชุมในองค์การการค้าโลก (WTO)

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50784381/cambodia-eu-trade-and-investment-talk-set-for-next-week/

แบงก์ชาติกัมพูชาอนุมัติการปรับโครงสร้างเงินกู้จนถึงกลางปี 2564

ขณะนี้ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) อนุญาตให้ธนาคารและกลุ่มไมโครไฟแนนซ์ดำเนินการปรับโครงสร้างเงินกู้สำหรับลูกค้าของตนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 และเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันในกัมพูชาจนถึงกลางปี 2564 โดย NBC กล่าวว่าหน่วยงานกำกับดูแลได้อนุญาตให้มีการปรับโครงสร้างเงินกู้ได้ถึงสามครั้งสำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งการปรับโครงสร้างเงินกู้ถือเป็นการช่วยเหลือลูกค้า โดยจะตรวจสอบความเป็นไปได้ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมอื่นในการทำธุรกรรมลง ซึ่งสถาบันการเงินทุกแห่งต้องดำเนินการตามประกาศและจะต้องติดตามการปรับโครงสร้างเงินกู้อย่างสม่ำเสมอตาม NBC กำหนด

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50784908/nbc-approves-restructuring-of-loans-until-mid-2021/

อุตสาหกรรมเครื่องดื่มของเวียดนาม พยายามหาทางออกจากวิกฤติที่คาดไม่ถึง

ในการประชุม ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน นาย Hoang Quang Phong รองประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนาม (VCCI) เปิดเผยว่าบริษัทเครื่องดื่มอย่าง Sabeco, Habeco, Carlsberg Vietnam และ Heineken Vietnam มีส่วนแบ่งทางการตลาดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในเวียดนาม รวมกันร้อยละ 90 แต่ด้วยปัจจัยลบจากการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้ธุรกิจดังกล่าวล้มเหลวไปสู่อุตสาหกรรมโดยรวมในไม่กี่ปีข้างหน้า และอีกปัจจัยหนึ่ง คือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงนโยบายของภาครัฐฯ ในปัจจุบัน ที่ล้วนส่งผลให้อุตสาหกรรมเครื่องดื่มในประเทศเข้าสู่วิกฤติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า คาดว่าการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มในปี 2562 มีสัดส่วนร้อยละ 15 ของ GDP และจะเพิ่มขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม “Sabeco” ผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม มีกำไรลดลงอย่างมากถึงร้อยละ 44 ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ แต่ผลการดำเนินงานเริ่มกลับมาฟื้นตัวในไตรมาสที่ 3 มีกำไรอยู่ที่ 63.34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ประเด็นของทางออกจากวิกฤต นาย Nguyen Van Viet กล่าวว่าในช่วงวิกฤตโควิด-19 ธุรกิจในท้องถิ่นส่วนใหญ่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่อุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีส่วนน้อยร้อยละ 2 ยังคงไม่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐฯ

ที่มา : http://hanoitimes.vn/vietnam-beverage-industry-struggles-to-find-way-out-of-unprecedented-crisis-314924.html

ผลการดำเนินงานของธนาคารเวียดนามดีขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch Rating ในรายงานฉบับใหม่ เปิดเผยว่าผลประกอบการดำเนินงานของธนาคารเวียดนามในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ แสดงให้เห็นถึงคุณภาพสินทรัพย์ฟื้นตัวและความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามในไตรมาสที่ 3 ปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มดีขึ้น หลังจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่คาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ หน่วยงานดังกล่าว คาดการณ์ว่าผลประกอบการของธนาคารจะฟื้นตัวในปี 2564 จากการด้อยค่าของสินทรัพย์ลดลงและการเติบโตของสินเชื่อที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับปีที่แล้วในไตรมาสที่ 3

ที่มา : https://www.vir.com.vn/vietnamese-banks-performance-improves-with-economic-recovery-80916.html


การค้าเมียนมาหดตัว เซ่นพิษ COVID-19

5 สัปดาห์แรกของปีงบประมาณ 63-64 มูลค่าการค้าของเมียนมาลดลงประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอันเป็นผลมาจาก COVID-19 โดยในปีนี้มีมูลค่าการค้ามากกว่า 2.53 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับ 3.99 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว แม้จะมีแนวโน้มลดลงแต่กระทรวงพาณิชย์ได้เพิ่มเป้าหมายในปีงบประมาณปัจจุบันขึ้น 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็น 34,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยมีการส่งออก 16.2 พันล้านเดอลลาร์สหรัฐและการนำเข้า 18.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากรายงานของกระทรวงพาณิชย์ การส่งออกผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมได้รับผลกระทบที่รุนแรงที่สุดซึ่งประกอบด้วยการส่งออกที่ลดลง 70% ในปีนี้ การส่งออกเครื่องนุ่งห่มก็ลดลงเช่นกัน อย่างไรก็ตามการส่งออกสินค้าเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งสอดคล้องกับแผนในการกระตุ้นการค้าในปีนี้ โดยกำลังวางแผนเพิ่มการผลิตพืช เช่น ข้าวและข้าวโพดในการส่งออกเพื่อชดเชยสำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งออกลดลง ส่วนการนำเข้าก็ลดลงเช่นกันเนื่องจากความต้องการภายในประเทศลดลง

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-trade-volumes-soften-back-covid-19.html

เมียนมามีแผนปรับปรุงการภาคบริการเพื่อรับมือ COVID-19

กระทรวงโรงแรมและการท่องเที่ยวพยายามปรับปรุงบริการในภาคการท่องเที่ยวเพื่อให้เป็นไปตามแผนงานการฟื้นฟูยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวของเมียนมาที่ได้จัดทำขึ้นร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศเพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังการระบาดของโควิด -19 ทั้งนี้ธุรกิจต่างๆ จะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน COVID-19 เพื่อกลับมาเปิดการดำเนินการใหม่อีกครั้ง ซึ่งผู้ประกอบการกล่าวว่าภาคการท่องเที่ยวต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลในการฟื้นตัว คาดว่าจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งหลังจากยกเลิกข้อจำกัด โดยเริ่มจากการท่องเที่ยวในประเทศก่อน ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวกล่าวว่ากระทรวงจำเป็นต้องร่วมมือกับกระทรวงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-hotel-ministry-plans-improve-services.html

พาณิชย์ร่วมหารือรัฐมนตรีเอเปค หนุนปรับทิศทางการค้ารับมือโควิด

พาณิชย์ร่วมหารือรัฐมนตรีเอเปค หนุนปรับทิศทางการทำงานรับมือผลกระทบจากโรคโควิด-19  และยกระดับการทำงานขององค์การการค้าโลก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการค้าและการลงทุน นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจาก รมว.พาณิชย์ ให้เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีเอเปคครั้งที่ 31 ผ่านระบบทางไกล โดยในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการหารือในเรื่องการส่งเสริมความเชื่อมโยงของห่วงโซ่การผลิตโลก และรัฐมนตรีเอเปคได้รับรองรายงานการดำเนินงานของคณะกรรมการว่าด้วยการค้าและการลงทุน ประจำปี 63 เพื่อมอบหมายให้เขตเศรษฐกิจเร่งสานต่อการดำเนินการที่ยังไม่แล้วเสร็จให้สำเร็จตามเป้าหมายโบกอร์ต่อไป ทั้งนี้ ไทยได้ร่วมกล่าวโดยมีประเด็นสำคัญ คือ การเสริมสร้างระบบการค้าพหุภาคี ให้มีเสถียรภาพ ลดการหยุดชะงักทางการค้า และสนับสนุนการเจรจาภายใต้องค์การการค้าโลก อาทิ การอุดหนุนประมง และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นต้น  การสนับสนุนการดำเนินการตามเป้าหมายโบกอร์ แสดงถึงความคืบหน้าของการดำเนินงานในภาพรวมของเขตเศรษฐกิจเอเปค การให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งคำนึงถึงความแตกต่างของระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ โดยพร้อมสนับสนุนการดำเนินโครงการหรือข้อริเริ่มทางการค้า เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของสมาชิกเอเปคจนนำไปสู่การจัดทำความตกลง   และสนับสนุนการไหลเวียนของสินค้าจำเป็นในภูมิภาคเอเปคโดยจะต้องสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก และยินดีให้ความร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจเอเปคในการกำหนดแนวทางร่วมกันเพื่ออำนวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายบุคลากรที่จำเป็น เพื่อรองรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/808360

เวียดนามส่งออกพุ่ง ดันเศรษฐกิจโตแซงเพื่อนบ้านใน ASEAN

โดย Marketeer

ทัพปัจจัยบวกหนุนเศรษฐกิจเวียดนามปีนี้โตจนประเทศเพื่อนบ้านต้องอิจฉา โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่าปีนี้เศรษฐกิจเวียดนามจะโต 2.4% หลังสามารถสกัดการระบาดของโควิด-19 ได้เร็ว และยอดส่งออกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก ต่างจากชาติสมาชิก ASEAN ที่ยังไม่ฟื้นจากวิกฤตโควิด แม้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 จนต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์และปิดประเทศ ไม่ต่างจากเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศ ASEAN และอีกหลายประเทศทั่วโลก

ตามรายงานล่าสุดของ IMF ระบุว่า เวียดนามเป็นเพียงประเทศเดียวใน ASEAN ที่เศรษฐกิจกลับสู่ขาขึ้น โดยปีนี้เศรษฐกิจจะโต 2.4% และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะโต 1.6% แม้เป็นอัตราที่น้อยแต่ยังดีกว่าสิงคโปร์กับมาเลเซียที่จะหดตัว 6% และไทยที่ยัง ‘’ป่วยหนัก’’ GDP ถดถอยถึง 7.1%

การกลับสู่ขาขึ้นของ เศรษฐกิจเวียดนาม มาจากหลายปัจจัย โดยนอกจากสกัดวิกฤตโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังมีแรงหนุนจากตัวเลขส่งออก ไตรมาส 3 ปีนี้การส่งออกโต 11% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

สินค้า Made in Vietnam ที่ได้เป็น ’พระเอก’ ในไตรมาสที่ผ่านมาคือคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก ที่ยอดส่งออกโต 20% หลังเกิดการระบาดรอบใหม่จนหลายประเทศต้องกลับมาทำงานและเรียนที่บ้านกันอีกครั้ง ทั้งนี้ เวียดนามยังเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนส่งผลทางบวก โดยโรงงานในเวียดนามของ Foxconn และ Luxshare ที่ผลิต Smartphone และ Device เช่น ฟูฟัง ป้อนให้ Apple และ Samsung ต่างกลับมาเดินเครื่องผลิตเต็มตัว

ปัจจัยบวกทั้งหมดจะทำให้ปี 2021 เศรษฐกิจของเวียดนามขยายตัว 6.5% โดยแน่นอนว่าเมืองที่เงินลงทุนจากต่างชาติจะสะพัดและเงินในกระเป๋าของประชาชนจะเพิ่มขึ้นมากสุดคือ “Bac Giang” นั่นเอง

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://marketeeronline.co/archives/198699