ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีน ส่งผลธุรกิจให้มีการเติบโตสูงขึ้น

เมื่อเร็วๆนี้ สหรัฐฯ และจีน ลงนามในข้อตกลงการค้าเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างทั้ง 2 มหาอำนาจเศรษฐกิจ นับว่าเป็นข่าวดีต่อผู้ประกอบการเวียดนามที่จะรองรับกับความท้าทายและโอกาสในการทำธุรกิจที่จะเกิดขึ้น โดยหัวหน้าสถาบันเศรษฐกิจและนโยบายเวียดนาม (VEPR) ระบุว่าสหรัฐฯและจีนมีแนวโน้มที่จะหาทางจัดการกับความตึงเครียดทางการค้าเพิ่มมากยิ่งขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจีนที่ส่งสัญญาว่าจะปฏิบัติตามหลักเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ จากผู้เชี่ยวชาญด้านธนาคาร ระบุว่าในปัจจุบัน สหรัฐฯและจีนต่างถอยออกมาจากภาวะสงครามการค้า ซึ่งทางสหรัฐฯได้ถอดจีนออกจากรายชื่อผู้บิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยนแล้วและจีนจะซื้อสินค้าจากสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแต่ก็ยังลำบากว่าผลจะออกเป็นอย่างไร ซึ่งสงครามการค้าจะมีผลต่อเศรษฐกิจเวียดนามทั้งในแง่ที่ได้รับประโยชน์และเสียผลประโยชน์ เนื่องจากผลของการค้าทั้งสหรัฐฯและจีน จะทำให้เสียโอกาสในการขายทั้งสองประเทศดังกล่าว ในทางกลับกัน สินค้าจำนวนมากที่มาจากสหรัฐฯและจีน จะโอนย้ายมายังเวียดนามและสร้างแรงกดดันต่อธุรกิจในประเทศ แต่ในข้อตกลง CPTPP และ EVFTA จะส่งผลอย่างมากต่อเศรษฐกิจเวียดนามในระยะยาว

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/571326/us-china-trade-deal-forces-firms-to-grow.html

ยอดคำสั่งซื้อยานยนต์ ‘VinFast’ มากกว่า 67,000 คัน ในปี 2562

จากรายงานของบริษัทวินฟาสต์ (VinFast Trading and Production LLC) เป็นบริษัทในเครือวินกรุ๊ป (Vingroup) เปิดเผยว่าในปี 2562 ได้รับยอดคำสั่งซื้อยานยนต์มากกว่า 17,000 คัน และกว่า 50,000 คันสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ โดยบริษัทได้เปิดตัวสกูตเตอร์ไฟฟ้ายี่ห้อแรกชื่อ “Klara” ในเดือนพฤศจิกายน 2561 และในปัจจุบัน มีการวางจำหน่ายออกมาอีก 3 แบรนด์ รวมไปถึง Ludo, Impes และ Klara S. มีการผลิตสกูตเตอร์สูงถึง 45,118 คัน ทั้งนี้ ในปี 2563 VinFast ได้เปิดตัว ‘VinFast Lux V8’ เป็นการหยิบยืมพื้นฐานโมเดลทั้งสองรุ่นก่อน และจำหน่ายรถโดยสารไฟฟ้า รวมไปถึงทางบริษัทวางแผนที่จะส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ที่ตั้งโรงงานผลิตยานยนต์ของบริษัท VinFast อยู่ที่เขตเศรษฐกิจ Dinh Vu-Cat Hai Eco nomic Zone ซึ่งติดตั้งอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัย ประกอบกับมีการผลิตยานยนต์อยู่ที่ 250,000 คัน และจำนวนผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 500,000 คันต่อปี ในช่วงเฟสแรก

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/571324/over-67000-orders-for-vinfast-vehicles-in-2019.html

ธนาคารกลางกัมพูชาควบคุมและตรวจสอบภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด

          ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) กล่าวว่ากำลังติดตามการพัฒนาภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างอย่างใกล้ชิดเนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับธนาคารในด้านการเติบโตของสินเชื่อภายในประเทศ โดยสำนักงานเครดิตบูโรประเทศกัมพูชา (CBC) รายงานว่าสินเชื่อผู้บริโภค ณ เดือนกันยายน 2562 มีมูลค่ารวมถึง 7.65 พันล้านเหรียญสหรัฐและคิดเป็นสินเชื่อจำนอง 48.36% บัตรเครดิต 0.61% และสินเชื่อส่วนบุคคลอีก 51% ซึ่ง CBC กล่าวว่าหนี้จำนองที่ค้างชำระ 30 วันขึ้นไป ณ เดือนกันยายน 2562 มีเพียง 0.57% ของทั้งหมดขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลหรือสินเชื่อผู้บริโภคอยู่ที่ 1.75% และบัตรเครดิตอยู่ที่ 2.65% โดยเหล่านี้เรียกว่าสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) โดยธนาคารกลางเตือนว่าหากผู้บริโภคไม่ใช้เงินกู้ตามวัตถุประสงค์ทำให้การเพิ่มขึ้นของสินเชื่ออาจกลายเป็นความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงผู้ว่าการธนาคารกลางกล่าวว่าเศรษฐกิจของกัมพูชาอาจเผชิญความเสี่ยงในปีนี้เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบเนื่องจากสถานการณ์ทางภูมิศาสตร์ในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อภาคการตัดเย็บเสื้อผ้า นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากอุปทานส่วนเกินในภาคการก่อสร้างที่อาจนำไปสู่วิกฤตสินเชื่อ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50681542/central-bank-closely-monitoring-real-estate-and-construction

โครงการไทรอัมพ์สำหรับผู้ที่มองหาบ้านและที่อยู่อาศัยในราคาไม่แพง

โครงการ Triumph Commercial Center (TCC) ได้ประกาศอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกว่าจะมีโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่า 48 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตั้งเป้าไปที่กลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำและรายได้ระดับปานกลาง โดย TCC ได้รับความร่วมมือในการพัฒนาโครงการจาก Yunnan Shengmao Investment (Cambodia) Co Ltd ซึ่งคอมเพล็กซ์จำนวน 20 ชั้น ของ TCC ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 950 เหรียญสหรัฐต่อตารางเมตร หรือประมาณ30,000 ถึง 40,000 เหรียญสหรัฐต่อหน่วย โดย CBRE ผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และการลงทุนระบุว่าแนวโน้มของการใช้อาคารพัฒนาแบบผสมเพิ่มขึ้นในกัมพูชาเนื่องจากราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นในใจกลางเมือง ทำให้ชาวกัมพูชาหลายพันคนกำลังมองหาคอนโดมิเนียมที่ราคาไม่แพงเพื่อตอบสนองต่อความต้องการทั้งด้านความสะดวกสบายในการเดินทางและมีสิ่งแวดล้อมชุมชนที่น่าอยู่ ซึ่งจากการคาดการณ์ของ CBRE อุปทานคอนโดมิเนียมในปี 2563 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 55% หรือคิดเป็น 28,000 หน่วย ในบรรดานั้น 24% เป็นระดับไฮเอนด์ 46% เป็นระดับกลางและ 30% ถือว่าอยู่ในระดับราคาที่ไม่แพง

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50681541/triumph-for-those-seeking-affordable-homes

เมียนมาขาดดุลการค้าในรอบ 3 เดือนกว่า 670 ล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับปีก่อน

มูลค่าการส่งออกในช่วงสามเดือนครึ่งของปีงบประมาณนี้เกินกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วขณะที่ยอดขาดดุลการค้าลดลงกว่า 670 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.62 ถึง 10 ม.ค. 63 มูลค่าการค้ารวม 10.443 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะที่ปีที่แล้วมีมูลค่า 8.953 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ดังนั้นปีนี้มีจำนวนเกิน 1.489 พันล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการส่งออกในรอบระยะเวลาสามเดือนของปีงบประมาณนี้สูงถึง 5.061 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสูงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะเดียวกันมูลค่าการนำเข้าสูงกว่า 256.723 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นการขาดดุลการค้าอยู่ที่ 256.723 ล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วแตะระดับ 935.452 ล้านดอลลาร์ การขาดดุลการค้าในปีงบประมาณปัจจุบันคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีการขาดดุลการค้า 1.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 61-62 แม้ว่าการขาดดุลทางการค้าคาดว่าจะลดลงเหลือ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/trade-deficit-in-over-3-months-this-fy-falls-over-670m-compared-with-last-year

พาณิชย์ เร่งหารือจีน ดันตลาดกลางผลไม้

อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ จะดำเนินการเชื่อมโยงตลาดกลางสินค้าเกษตรที่จำหน่ายผลไม้ในความส่งเสริมของกรมฯ กับตลาดกลางผลไม้ของจีน เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผลไม้ไทยเข้าสู่ตลาดจีน ซึ่งเป็นการดำเนินการล่วงหน้ารองรับผลไม้ที่กำลังจะออกสู่ตลาด ทั้งลิ้นจี่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลำไย เป็นต้น การเชื่อมโยงตลาดกลางผลไม้ของไทยกับตลาดผลไม้ของจีน จะช่วยให้ผลไม้ไทยมีโอกาสในการส่งออกไปยังจีนได้เพิ่มขึ้น เพราะตลาดที่อยู่ในความส่งเสริมในปัจจุบันประมาณ 20 แห่ง ทั้งนี้กรมฯ มีแผนจะผลักดันให้มีการจัดตั้งศูนย์จัดชั้นคุณภาพสินค้าเกษตร (AGQC) จะให้บริการในด้านต่างๆ เช่น การคัดแยกคุณภาพสินค้า การตรวจสอบสารพิษสารตกค้าง การตรวจสอบโรคพืชและแมลง การบรรจุหีบห่อ และการเก็บรักษาคุณภาพสินค้า สำหรับผลไม้ที่ผ่านการตรวจสอบจากศูนย์ฯ จะได้รับตรา AGQCไปติดไว้ ทำให้ผู้ซื้อเชื่อมั่นได้ว่าเป็นผลไม้ที่ดี มีคุณภาพและไม่ต้องมีการตรวจสอบคุณภาพซ้ำอีกเมื่อสินค้าไปถึงปลายทางลดปัญหาผลไม้ช้ำเสียหาย เพราะเป็นสินค้าที่มีเงื่อนไขเรื่องเวลา การเก็บรักษา ส่วนมาตรการดูแลดูแลผลไม้ในภาพรวม กรมฯ ได้เตรียมมาตรการรับมือไว้แล้ว เช่น การดึงผู้ประกอบการและโรงงานมาทำสัญญาซื้อขายกับเกษตรกร การระบายผลไม้ผ่านห้างค้าส่งค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า และร้านธงฟ้า การจัดกิจกรรมส่งเสริมการบริโภคและจำหน่ายผลไม้ การเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการที่รับซื้อผลไม้ การดูแลโรงคัดและบรรจุผลไม้ (ล้ง) ให้รับซื้อเป็นธรรม เป็นต้น

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/862551?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=economic

สปป.ลาวเร่งการพัฒนาทรัพย์สินทางปัญญาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

เมื่อวันที่ 19 ม.ค.มีการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาและความคืบหน้าในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในขณะนี้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกำลังพยายามใช้ความรู้ทางปัญญาประดิษฐ์ในการพัฒนาเทคโนโลยีมากขึ้นเพื่อมาช่วยพัฒนาด้านการผลิตให้สปป.ลาวสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศโดยปัจจุบันรัฐบาลสปป.ลาวได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรด้านทรัพย์สินทางปัญญาและการใช้เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากระทรวงได้ร่วมมือกับองค์กรระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศเพื่อช่วยเหลือด้านการระดมทุนและการแลกเปลี่ยนบุคลากรในสาขานี้ซึ่งบางส่วนได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการประดิษฐ์และนวัตกรรมของญี่ปุ่น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติห้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาของประเทศในปีนี้กลยุทธ์ของกระทรวงจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความคิดทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการสร้างศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพื้นที่ชนบทเพื่อสร้างรากฐานที่ดีในการพัฒนาด้านนี้ต่อไปอย่างยั่งยืน

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/ministry-pursues-technological-development-112280

สปป.ลาวกำลังเผชิญกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

อัตราเงินเฟ้อยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งสัญญาณเตือว่ารัสปป.ลาวจำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อควบคุมราคาสินค้าและบริการเพื่อป้องกันไม่ให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นต่อไป โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย.5.34% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ซึ่งประมาณ 10% ทั้งนี้เพื่อรักษาเศรษฐกิจที่ดีรัฐบาลจำเป็นต้องชะลออัตราเงินเฟ้อเพื่อให้น้อยกว่าการเติบโตของ GDP ซึ่งคาดว่าจะเติบโตที่ร้อยละ 6.5 ในปีนี้ ณ ขณะนี้รัฐบาลได้กำลังพยายามรักษาเสถียรภาพของค่าคิปและเพิ่มผลผลิตเพื่อชะลอการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ เพราะหากอัตราเงินเฟ้อยังคงเพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อทั้งหารบริโภคในประเทศและด้านการค้าที่สามารถแข่งขันได้น้อยลงด้วย ส่งผลต่อการเติบโตของGDP โดยตรง

ที่มา http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Laos.php