‘ตลาดร้านสะดวกซัก’ มีศักยภาพเติบโตสูงในเวียดนาม

จากตัวเลขสถิติของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า รายงานว่าตลาดร้านสะดวกซัก (Laundromat) ในเชิงพาณิชย์ของเวียดนาม เดือน พ.ค. 65 มีมูลค่าทางการตลาด อยู่ที่ราว 205 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ด้วยอัตราการเติบโต 6% ซึ่งสูงกว่าอัตราค่าเฉลี่ยของเอเชียที่ 3.6% และจากข้อมูลสถิติแสดงให้เห็นว่าร้านซักรีดมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 15,136 แห่ง โดยร้านสะดวกซัก 96% ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจครัวเรือน นอกจากนี้ พฤติกรรมของผู้บริโภคใหม่ ค่าครองชีพของชนชั้นกลางเวียดนามที่ดีขึ้น และคนรุ่นใหม่ในเมืองใหญ่ ได้นำไปสู่เทรนด์ใหม่ของผู้บริโภค ด้วยเหตุนี้ ร้านสะดวกซัก จึงกลายเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการลงทุน เนื่องจากตลาดมีการเติบโตอย่างต่อจากความต้องการมากขึ้นและการแข่งขันที่ต่ำ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1593334/laundromat-market-growing-in-viet-nam.html

‘ตลาดหุ้นย่างกุ้ง’ เดือน ส.ค. เข้าสู่ภาวะตลาดหมี

การซื้อขายหุ้นลักษณะแบบรายใหญ่ในกลุ่มบริษัทจดทะเบียน 8 แห่งในตลาดหลักทรัพย์ย่างกุ้ง (YSX) ชี้ให้เห็นว่าปริมาณการซื้อขายหุ้นในเดือน ส.ค. 2566 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 509,827 หุ้น จากระดับ 958,368 หุ้น ในเดือน ก.ค. และมูลค่าลดลงเหลือ 1.3 พันจ๊าด ทั้งนี้ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ย่างกุ้ง มีจำนวน 8 ราย ได้แก่ บริษัท First Myanmar Investment (FMI), Myanmar Thilawa SEZ Holdings (MTSH), Myanmar Citizens Bank (MCB), First Private Bank (FPB), TMH Telecom Public Co Ltd (TMH), Ever Flow River Group Public Co, Ltd (EFR), Amata Holding Public Co, Ltd. (AMATA) และ Myanmar Agro Exchange Public Co, Ltd (MAEX)

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/ysx-sees-bear-market-in-august/#article-title

สปป.ลาว-เวียดนาม เตรียมเปิดให้บริการทางรถไฟระหว่างกันภายในปี 2028

บริษัท Petroleum Trading Lao Public Company (PTL), บริษัท Yooshin Engineering Corporation และ บริษัท Korea National Railway กำลังเร่งดำเนินการศึกษาออกแบบทางรถไฟระหว่างประเทศ สปป.ลาว-เวียดนาม โดยได้ลงนามในข้อตกลงระหว่างกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นแล้ว การรถไฟ สปป.ลาว-เวียดนาม จะสนับสนุนการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งที่ทันสมัยและได้มาตรฐานร่วมกัน เพื่อให้การขนส่งมีต้นทุนที่ต่ำที่สุด เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทั้งสองประเทศ โดยโครงการนี้จะเสริมสร้างความเชื่อมโยงให้กับ สปป.ลาว ในฐานะศูนย์กลางการขนส่งและการค้าภายในอาเซียน ซึ่งสอดรับกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาล และสอดรับกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศ ในการเปลี่ยนประเทศ สปป.ลาว จากประเทศที่ไม่มีทางออกทางทะเลให้เป็นประเทศที่มีทางเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาค รวมถึงโครงการย่อยหลายโครงการ เช่น ท่าเรือบกท่านาแลงและอุทยานโลจิสติกส์เวียงจันทน์ โดยโครงการดังกล่าวจะมีระยะทางประมาณ 500 กิโลเมตร ซึ่งคิดเป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างเวียงจันทน์กับอำเภอท่าแขกของแขวงคำม่วนรวมระยะทาง 312 กิโลเมตร และเชื่อมระหว่างอำเภอท่าแขกกับชายแดน สปป.ลาว-เวียดนาม เส้นทางรวม 139 กิโลเมตร ด้วยเงินลงทุนรวมอยู่ที่ประมาณ 5.5 พันล้านดอลลาร์

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/laos-vietnam-railway-set-to-operate-in-2028-2185982.html

NBC เตรียมขายเงินดอลลาร์ล็อตใหญ่ หวังแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน

ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) พร้อมสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานให้แก่สกุลเงินเรียล โดยจะเริ่มการแทรกแซงครั้งแรกในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของประเทศในวันนี้ (6 ก.ย.) ด้วยการขายเงินสกุลดอลลาร์มูลค่ารวม 50 ล้านดอลลาร์ เพื่อรักษาเสถียรภาพให้กับอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินเรียลและดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง NBC วางแผนที่จะขายเงินจำนวนดังกล่าวให้กับธนาคารที่ได้รับใบอนุญาต รวมถึงสถาบันการเงินรายย่อย และผู้แลกเปลี่ยนเงิน เพื่อลดสัดส่วนปริมาณเงินเรียลในระบบ โดยจะส่งผลทำให้เงินเรียลมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นระหว่างสกุลเงินเรียลต่อดอลลาร์สหรัฐในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ด้วยมูลค่าดังกล่าวจะถูกนำออกประมูล 4 ครั้ง ต่อธนาคารและสถาบันการเงิน โดยแบ่งเป็นครั้งแรก 10 ล้านดอลลาร์ ในวันนี้ 15 ล้านดอลลาร์ ในวันศุกร์ (8 ก.ย.) 10 ล้านดอลลาร์ ในวันพุธ (13 ก.ย.) และอีก 10 ล้านดอลลาร์ ในวันศุกร์ (15 ก.ย.) ด้าน Raymond Sia ประธานสมาคมธนาคารในกัมพูชา (ABC) เชื่อว่านโยบายดังกล่าวเพียงพอสำหรับการแทรกแซงตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของกัมพูชาในการรักษาเสถียรภาพของเงินเรียล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคในกัมพูชามากขึ้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501355329/nbc-to-sell-50m-to-intervene-in-foreign-exchange-today/

7 เดือนแรกของปี กัมพูชาส่งออกสินค้าไปยังญี่ปุ่นมูลค่ารวมกว่า 1 พันล้านดอลลาร์

องค์การการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) เปิดเผยข้อมูลการส่งออก ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ว่ากัมพูชาส่งออกสินค้าไปยังญี่ปุ่นมูลค่ารวม 1.09 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่กัมพูชายังนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นมูลค่ารวม 296 ล้านดอลลาร์ ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 1.2 โดยสินค้าส่งออกสำคัญของกัมพูชาไปยังญี่ปุ่น ได้แก่ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องสำอาง เครื่องใช้สำนักงาน และเครื่องหนัง สำหรับสินค้านำเข้าสำคัญของกัมพูชาจากญี่ปุ่น ได้แก่ เครื่องจักร รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ ผ้า และพลาสติก ซึ่งญี่ปุ่นถือเป็นคู่ค้ารายสำคัญของกัมพูชา โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการเปิดการเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระดับทวิภาคี เพื่อหวังผลักดันการส่งออก รวมถึงดึงดูดการลงทุนจากญี่ปุ่นมายังกัมพูชามากขึ้น ซึ่งปัจจุบันกัมพูชาได้ลงนามใน RCEP และ AJCEP รองรับการส่งออกและนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่น สำหรับเมื่อปีที่ผ่านมาการค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและญี่ปุ่นมีมูลค่ารวมสูงถึง 2.45 พันล้านดอลลาร์ ตามรายงานของ JETRO คิดเป็นการส่งออกของกัมพูชาส่งมูลค่า 1.93 พันล้านดอลลาร์ ไปยังญี่ปุ่นในปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 เมื่อเทียบเป็นรายปี ด้านการนำเข้าจากญี่ปุ่นมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 515 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 11.2

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501355347/kingdoms-exports-to-japan-top-1b/

“บีโอไอ” จัดงานจับคู่ธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอ, สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย, บริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ (ประเทศไทย) จะจัดงาน MIRA (Maintenance, Industrial Robotics and Auto mation) และ SUBCON EEC 2023 วันที่ 6-8 ก.ย.นี้ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาตินงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นงานเดียวที่รวบรวมเอาสินค้า และบริการอุตสาหกรรมจากบริษัทชั้นนำจากทั้งในประเทศและต่างประเทศมาจัดแสดง อีกทั้งเป็นพื้นที่เชื่อมโยงอุตสาหกรรมและจับคู่ธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน และคาดว่าจะเกิดการจับคู่ทางธุรกิจ 600 คู่ สร้างมูลค่า 2,000 ล้านบาท “การจัดงานครั้งนี้ มีความสำคัญต่อการพัฒนาผู้ประกอบการไทย ให้สามารถสร้างตลาดและเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานระดับโลก เพื่อสร้างฐานอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบอัตโนมัติที่จะผลักดันให้ไทยมีขีดความสามารถในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ บีโอไอจึงได้จัดกิจกรรมที่จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทต่างชาติสามารถเชื่อมโยงกับผู้ผลิตชิ้นส่วนที่อยู่ในประเทศให้มากที่สุด” นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธาน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า งานดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคตในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)

ที่มา : https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ/2723191

ผู้นำอาเซียน ชี้ วิกฤตเมียนมา ความขัดแย้งจีน-สหรัฐฯ และข้อพิพาททะเลจีนใต้ ยังเป็นปัญหาใหญ่

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่าบรรดาผู้นำชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมตัวกันที่กรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดประจำปี ซึ่งเป็นการหารือนัดสุดท้ายของกลุ่มประชาคมอาเซียนในปีนี้ ท่ามกลางความขัดแย้ง ที่เกิดขึ้นภายในกลุ่มประเทศสมาชิก จากปัญหาวิกฤตเมียนมา การขับเคี่ยวของ 2 มหาอำนาจของโลก อย่างจีนและสหรัฐฯ และประเด็นพิพาททะเลจีนใต้ ซึ่งประเทศสมาชิกต่างมีความเห็นไม่ลงรอยกันและยังไม่พบทางออกของปัญหาดังกล่าว

ที่มา : http://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?ref=A&id=dE5wSll0YWRqRlU9

‘เวียดนาม’ นำเข้ารถยนต์จากไทยและอินโดนีเซีย

กรมศุลกากรเวียดนาม ระบุว่าในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 เวียดนามนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศทั้งคัน (CBU) จำนวน 80,000 คัน มูลค่าประมาณ 1.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.4% และ 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตามลำดับ โดยเวียดนามนำเข้ารถยนต์จากไทย จำนวน 36,087 คัน เพิ่มขึ้น 45.2% คิดเป็นมูลค่า 762.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่เดือน ก.ค. เพียงเดือนเดียว เวียดนามนำเข้ารถยนต์จากไทย จำนวน 3,714 คัน มูลค่าประมาณ 84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไทยเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในตลาดเวียดนาม ทั้งนี้ แบรนด์รถยนต์นำเข้าจากไทยที่ได้รับความนิยมจากคนเวียดนาม ได้แก่ Toyota Corolla Cross, Camry, Corolla Altis, Fortuner, Ford Everest, Honda HR-V, Mazda CX-30 และ CX-3, Forester Subaru และอื่นๆ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1593292/cars-imported-from-thailand-indonesia-flood-viet-nam-market.html

‘สหรัฐฯ’ หวังยกระดับความสัมพันธ์กับเวียดนาม เสี่ยงจีนโกรธจัด!

สหรัฐฯ คาดหวังว่าจะยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนามขึ้นสู่ระดับสูงสุด ในขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเดินทางไปเยือนกรุงฮานอยในอีกหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจสร้างความไม่พอใจให้กับจีนและจะมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจ

ทั้งนี้ นายเล ฮอง เฮียป (Le Hong Hiep) นักวิเคราะห์ระดับสูงจากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS Yusof-Ishak Institute) ของสิงคโปร์ กล่าวว่าความเสี่ยงจะเพิ่มเป็น 2 เท่า จากการยกระดับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ ทำให้สหรัฐฯ และจีนมีความสัมพันธ์ที่แย่ลงไปอีก อย่างไรก็ดีผู้นำในระดับสูงของเวียดนาม มองว่าการเคลื่อนไหวในครั้งนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุด เนื่องจาก ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีนจะมีทิศทางที่แย่ลงในอนาคต

อีกทั้ง อเล็กซานเดอร์ วูวิง (Alexander Vuving) เจ้าหน้าที่อาวุโสศูนย์วิจัยความมั่นคงเอเชีย-แปซิฟิกของสหรัฐ กล่าวว่าสาเหตุที่ทำให้สหรัฐฯ ยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนาม เนื่องมาจากเศรษฐกิจเวียดนามมีความจำเป็นที่ต้องจัดหาเงินทุน เทคโนโลยีและการเข้าถึงทางการตลาด นอกจากนี้ เรื่องพลังงานก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยยกระดับความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนาม เพื่อผลักดันให้เวียดนามมีบทบาทสำคัญในตลาดพลังงานก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และพลังงานลมนอกชายฝั่ง ถึงแม้ว่าเผชิญกับความล่าช้าในด้านบริหารและการจัดหาเงินทุน

ที่มา : https://www.fijitimes.com/us-expects-to-upgrade-vietnam-ties-risks-china-anger/

‘เมียนมา’ เผยเดือน ส.ค. ยอดค้าชายแดนเมียวดี พุ่ง 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด่านชายแดนเมียวดี ไทย-เมียนมา สร้างมูลค่าการค้าชายแดนทะลุ 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือน ส.ค. ถึงแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ดินถล่มจากฝนตกหนัก เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ทำให้การค้าชายแดนต้องหยุดชะงัก อย่างไรก็ดี จากเหตุการณ์ดังกล่าว กรมทางหลวงของรัฐบาลกะเหรี่ยง ได้เร่งสร้างสะพานเบลีย์ที่เป็นส่วนต่อขยายของถนนที่ถูกดินถล่ม ในขณะที่ ถนนเมียวดี-กอกะเรก ทางหลวงสายเอเชีย กลับมาใช้งานได้ตามปกติในวันที่ 15 ส.ค. โดยให้รถบรรทุก 6 ล้อสามารถขับในเลนได้ นอกจากนี้ จากตัวเลขการค้าชายแดนเมียวดี เดือน ส.ค. พบว่ามีมูลค่าการส่งออก อยู่ที่ 15.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวนรถบรรทุก 1,457 คัน และการนำเข้า 40.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวนรถบรรทุก 2,327 คัน

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myawady-border-trade-tops-us55-mln-in-august/#article-title