“สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ชู 5 อาชีพฟื้นเศรษฐกิจชุมชน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) ให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้สู่ชุมชน เนื่องจากปัญหาการกระจุกตัว ของแหล่งงานใหญ่ ที่มีไม่กี่จุดในประเทศ ทำให้ชุมชนหลายแห่งเกิดการว่างงาน ส่งผลให้การหมุนเวียนของเม็ดเงินกระจายตัวไม่ทั่วถึง จึงต้องมีการผลักดันความรู้ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน ตลอดจนเกิดผลิตภัณฑ์และงานบริการที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตในแต่ละพื้นที่ ล่าสุด ดีพร้อมได้จัดโครงการนักส่งเสริมอาชีพดีพร้อม ใน 5 อาชีพหมวดหลักๆ ได้แก่ การแปรรูปอาหาร การผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพร การตัดเย็บเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ของใช้ของตกแต่งและงานบริการ ซึ่งผู้เข้าอบรมสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประกอบเป็นอาชีพได้จริง ซึ่งโครงการนี้จะทำการเรียนการสอนที่ศูนย์ดีพร้อมเซ็นเตอร์ 13 พื้นที่ทั่วประเทศ โดย 6 เดือนแรกปีนี้ จะปั้นนักส่งเสริมอาชีพดีพร้อมได้ 15,600 คน สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้ 100 ล้านบาท

ที่มา: https://www.thairath.co.th/business/economics/2616648

เศรษฐกิจโตน้อยแต่จีดีพีเพิ่มมาก คลังคาดการณ์มูลค่าปีนี้ 18.67 ล้านล้านบาท

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ประมาณการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2566 คาดขยายตัว 3.8% และมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) รวมที่ 18.67 ล้านล้านบาท เติบโตมากกว่าปี 2565 ที่มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศอยู่ที่ 17.40 ล้านล้านบาท มีการขยายตัว 3% ลดลงจากที่คาดการณ์ที่ 3.2% ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 2566 มีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ 3.3-4.3% เป็นผลจากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่องฟื้นตัว ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศ 27.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 147% ต่อปี ขณะที่ปริมาณการส่งออกสินค้าจะชะลอตัวลงตามสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จะขยายตัว 0.4% ภายใต้ช่วงคาดการณ์ -0.1 -0.9%

ที่มา: https://www.thairath.co.th/business/finance/2614406

“FTA ไทย-อียู” “จุรินทร์” เล็งเสนอ ครม. เห็นชอบอีก 2 สัปดาห์

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการหารือทวิภาคีกับนายวัลดิส โดมโบรฟสกิส (H.E. Mr. Valdis Dombrovskis) รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ด้านเศรษฐกิจและกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า หรือรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของสหภาพยุโรป ว่าถือเป็นวันประวัติศาสตร์ของไทยกับสหภาพยุโรป ที่ได้มีการเจรจาจัดทำ FTA ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป ที่มีผลสัมฤทธิ์ที่ฝ่ายการเมืองของทั้ง 2 ฝ่าย มีข้อสรุปแสดงเจตจำนงร่วมกันในการเริ่มต้นให้แต่ละฝ่ายดำเนินกระบวนการภายใน เพื่อนำไปสู่การจัดทำ FTA ในส่วนของประเทศไทย จะนำเข้าหารือเดินหน้าเพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในการจัดทำ FTA ไทย-อียู ต่อไป ส่วนสหภาพยุโรป จะนำผลการหารือไปดำเนินการภายในของสหภาพยุโรปเพื่อขอคำรับรองจากสมาชิก 27 ประเทศต่อไป โดยตั้งเป้าจะดำเนินการตามกระบวนการภายในให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อประกาศนับหนึ่งการเริ่มต้นเจรจา FTA ไทยกับสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการต่อไป ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายตั้งเป้าจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในไตรมาสแรกของปีนี้ ทั้งนี้ สหภาพยุโรปเป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 ของไทย รองจากจีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ถือว่าเป็นคู่ค้าที่มีความสำคัญ โดยในปี 2565 การค้าระหว่างไทยกับอียู มีมูลค่า 41,038 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.87% สัดส่วนการค้าประมาณ 7% ของการค้ากับโลก และไทยส่งออกไปอียู มูลค่า 22,794 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (843,378 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 5.17% สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปอียู เช่น คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ รถยนต์และอุปกรณ์ แอร์และอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ยางพารา อัญมณีและเครื่องประดับ และไก่แปรรูป เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากอียู เช่น เครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ และยา เป็นต้น ปัจจุบันอียูมี FTA กับประเทศอาเซียน 2 ประเทศ คือ เวียดนามและสิงคโปร์ ถ้ากระบวนการทั้งหมดเป็นไปตามเป้าหมาย ไทยจะเป็นประเทศที่ 3 และถ้าประสบความสำเร็จไทยจะมีตลาดการค้าที่เราได้เปรียบคู่แข่งจากประเทศอื่นเพิ่มขึ้น 27 ประเทศ และจะเป็นแต้มต่อทางการค้าให้กับไทย รวมถึงเป็นการสร้างเงิน สร้างอนาคตให้กับประเทศต่อไป

ที่มา : https://www.thansettakij.com/business/economy/554278

โรงแรมเผยต่างชาติเที่ยวไทยฟื้นตัวดันอัตราเข้าพักเกิน 80%

นายศึกษิต สุวรรณดิษฐกุล นายกสมาคมโรงแรมภาคใต้ เปิดเผยว่า ยอดจองล่วงหน้าในเดือนกุมภาพันธ์นี้ มีเข้ามาประมาณ 60-70% แล้ว รวมถึงเดือนมีนาคมด้วย โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะใกล้จะหมดเดือนมกราคม ทำให้ยอดจองล่วงหน้าจะทยอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์อัตราเข้าพักฟื้นตัวขึ้นมาเกิน 80% เทียบกับเดือนธันวาคม 2565  เช่น กลุ่มตลาดที่มาท่องเที่ยวภูเก็ต 5 อันดับแรก ได้แก่ รัสเซีย (28%) อินเดีย (10%) ออสเตรเลีย (5%) บริติช (5%) คาซัคสถาน (4.3%) โดย 5 ชาตินี้เป็น 53%. ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาภูเก็ต และมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาช่วยเสริมบ้าง แต่ด้วยเที่ยวบินที่ยังมีจำกัด ทำให้ชาวจีนเข้ามาเที่ยวยังเป็นจำนวนที่น้อยอยู่ ซึ่งประเมินเฉพาะจำนวนเที่ยวบินจากจีนเข้าภูเก็ต เริ่มมีมากขึ้นแล้ว อาทิเช่น วันที่ 18 มกราคม ที่ผ่านมา มี 3 สายการบินเข้ามา, วันที่ 20 มกราคม มีเข้ามา 2 สายการบิน ทำให้ขณะนี้จำนวนผู้โดยสารที่สนามบินและเที่ยวบินฟื้นตัว 70% ได้แล้วเทียบกับปี 2562

ที่มา: https://www.matichon.co.th/economy/news_3786301

ค้าชายแดนท่าขี้เหล็ก เมียนมา-จีน-ไทย ทะลุ 10.154 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กระทรวงพาณิชย์เมียนมา เผย เดือนธันวาคม 2565 มูลค่าการค้าชายแดนท่าขี้เหล็กของเมียนมากับจีนและไทยมีมูลค่ากว่า 10.154 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นมูลค่าการส่งออก 4.636 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการนำเข้า 5.597 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสินค้าส่งออกหลักคือสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์จากป่า และสินค้าประมง เช่น ใบชาแห้ง ส้ม ไม้สักแปรรูป กุ้ง ฯลฯ ส่วนการนำเข้าจะเป็นสินค้าประเภท  สินค้าทุน วัตถุดิบอุตสาหกรรม และสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ปูนซีเมนต์ ยานพาหนะและอุปกรณ์ยานพาหนะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ วัสดุก่อสร้างที่ทำจากแก้ว อุปกรณ์จำหน่ายไฟฟ้าและติดตั้ง วัสดุก่อสร้างที่ทำจากแร่ วัสดุก่อสร้างเหล็กและเหล็กกล้า ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม น้ำมันพืช เคมีภัณฑ์ สีเคลือบเงา วัตถุดิบพลาสติก กระดาษ วัตถุดิบที่ทำจากเหล็กกล้า สบู่ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์กีฬา ฯลฯ

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/tachilek-border-trade-with-china-and-thailand-valued-at-us10-154-mln/

ลุ้นคลังขยับเป้าจีดีพีปี 2566 เพิ่มขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยตั้งแต่วันที่ 1-16 ม.ค.ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยอยู่ที่ 78 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับปีที่แล้ว เฉลี่ยอยู่ที่ 95.4 เหรียญ ดังนั้นในปีนี้อัตราเงินเฟ้อน่าจะลดลงและอยู่ในอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดไว้ในกรอบ 1-3% ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง จะทบทวนคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2566 ใหม่ และจะประกาศอย่างเป็นทางการวันที่ 27 ม.ค.นี้ โดยคาดว่า สศค.จะปรับเป้าจีดีพีไทยปี 66 ขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าคาดการณ์เดิมไว้ว่าปี 65 จะขยายตัวได้ 3.4% และปี 66 คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.8% ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปในปี 65 คาดว่าอยู่ที่ 6.2% และปี 66 อยู่ที่ 2.9% โดยปัจจัยบวกนอกจากเรื่องราคาน้ำมันดิบที่ลดลงแล้วคือ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศ ของจีน ที่เปิดให้คนจีนออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศได้ ซึ่งก่อนหน้านี้การคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในปีนี้ อยู่ที่ 21.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก ปี 65 ที่มีนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นการคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากจีนประมาณ 2.8 ล้านคน ส่วนปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อคือเงินบาทที่คาดว่าจะแข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกสินค้าของไทย ซึ่งมูลค่าการส่งออกของไทยในปี 66 จะขยายตัว 2.5% เท่านั้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว.

ที่มา: https://www.thairath.co.th/business/economics/2609673

เจพีมอร์แกนชูหุ้นไทย “น่าลงทุนที่สุด” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เปิดเผยว่า การที่ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ของ ไทย กลับมาฟื้นตัวได้ดีเกินคาดหลังจาก จีนเปิดประเทศ และมีแนวโน้มที่จะช่วยกระตุ้นการอุปโภคบริโภคของไทยให้ปรับตัวขึ้นนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ตลาดหุ้นไทย มีความ “น่าลงทุนมากที่สุด” เมื่อเทียบกับบรรดาตลาดหุ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ นายจักรพันธ์ พรพรรณรัตน์ หัวหน้าสายงานวิจัยหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กเผยแพร่วันนี้ (19 ม.ค.) ว่า ภาวะการซื้อขายที่คึกคักในตลาดหุ้นไทยก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไป และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตอย่างต่อเนื่องหลังจากราคาพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบชะลอตัวลงนั้น จะช่วยให้ตลาดหุ้นไทยทำผลงานโดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น ๆ ในภูมิภาคยกเว้นเวียดนาม

ที่มา : https://www.thansettakij.com/finance/stockmarket/553556

นักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้ากัมพูชาโตกว่า 1,059% ในปี 2022

นักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้ามายังกัมพูชาเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 1,059 ในปี 2022 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่จำนวน 2.28 ล้านคน โดยประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 37.5 และเวียดนามร้อยละ 20.4 ของจำนวนทักท่องเที่ยวดังกล่าว ซึ่งข้อมูลข้างต้นมาจากรายงานสถิติการท่องเที่ยวล่าสุดของกระทรวงการท่องเที่ยว ขณะที่ส่วนใหญ่เดินทางมาโดยรถยนต์ข้ามพรมแดนระหว่างเทศที่จำนวน 1.47 ล้านคน และเดินทางมาโดยเครื่องบินจำนวน 791,603 คน ซึ่งน้อยกว่า 99,829 คน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 70.4 แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาว สปป.ลาว ร้อยละ 4.1, อินโดนีเซีย ร้อยละ 3.3, มาเลเซีย ร้อยละ 2.4, ฟิลิปปินส์ ร้อยละ 1.3 และสิงคโปร์ ร้อยละ 1.2 เป็นตลาดสำคัญอื่นๆ ในอาเซียนรองจากไทยและเวียดนาม ขณะที่นักท่องเที่ยวขาออกอยู่ที่จำนวน 1.6 ล้านคนในปี 2022 คิดเป็นการเติบโตกว่าร้อยละ 1,252 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501221970/thailand-visitors-help-record-1059-jump-in-tourist-arrivals-in-2022/

‘สุริยะ’เยือนญี่ปุ่นหารือเมติ ตอกย้ำการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ์ เปิดเผยถึงผลการหารือกับนายนิชิมุระ ยาสึโทชิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม (METI) หรือ เมติ ระหว่างเยือนประเทศญี่ปุ่นวันที่ 11-15 มกราคม 2565 ว่าการหารือครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมระหว่าง 2 ประเทศ รวมทั้งยังเป็นการครบรอบ 1 ปี ที่ทั้ง 2 กระทรวงได้ร่วมกันปรับแนวคิดจาก “Connected Industries” มาสู่ความร่วมมือ Co-Creation for Innovative and Sustainable Growth ที่เน้นการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี เมื่อปลายปี 2565

โดยเฉพาะประเด็นการดำเนินโครงการพัฒนาทักษะบุคลากรซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความร่วมมือ Cooperation Framework on Human Resource Development for Realizing Industry 4.0 ขับเคลื่อน 3 ประเด็นหลักประกอบด้วย 1.แนวทางการร่วมกันพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้แก่บุคลากรในภาคอุตสาหกรรม 2.การขับเคลื่อนนโยบาย BCG ในสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมาย และ 3.การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่อุปทานผ่านแนวคิดการร่วมสร้าง (Co-Creation)

นอกจากนี้ ยังหารือในประเด็นการลงทุนภายใต้กรอบ AJIF (Asia-Japan Investing for the Future) มุ่งเน้นความเชื่อมโยงระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศต่างๆ จึงเน้นย้ำถึงความพร้อมของประเทศไทยในการต้อนรับนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ที่กำกับดูแลโดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park ในพื้นที่จังหวัดระยองมีพื้นที่ประมาณ 1,400 ไร่ เพื่อรองรับอุตสาหกรรม New S-Curve ในพื้นที่ EEC ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลกลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรกลุ่มอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ เป็นต้น ปัจจุบันก่อสร้างแล้วประมาณ 40% และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2567

ที่มา: https://www.naewna.com/business/704687

“คลัง” ชง ครม.ลดภาษีดีเซลอีก 3 เดือน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 17 ม.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอให้ขยายเวลามาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลออกไปอีก 2-3 เดือน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพประชาชน และภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมาตรการเดิมจะสิ้นสุดลงวันที่ 20 ม.ค.นี้ ซึ่งถือเป็นการต่ออายุมาตรการเป็นรอบที่ 6 โดยเบื้องต้นคาดว่าจะลดภาษีให้อีกลิตรละ 3-5 บาท เป็นเวลา 2-3 เดือน เริ่มตั้งแต่ 21 ม.ค.เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้กรมสรรพสามิต สูญเสียรายได้การจัดเก็บงบประมาณอีกไม่เกิน 20,000 ล้านบาท สำหรับการขยายเวลาปรับลดภาษีดีเซลครั้งนี้ จะต้องพิจารณารายละเอียดว่าจะปรับลดลงเท่าไร โดยจะปรับลดเหมือนกับครั้งแรก คือ ลิตรละ 3 บาท เป็นเวลา 3 เดือน หรือจะลิตรละ 5 บาท เป็นเวลา 2 เดือน เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ราคาพลังงานได้เริ่มผ่อนคลายลง ประกอบกับขณะนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีทางเลือกในการบริหารสภาพคล่องได้มากขึ้น.

ที่มา: https://www.thairath.co.th/business/oil/2603673