กัมพูชามีอัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำที่สุดใน SEA

กัมพูชาสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น โดยเป็นประเทศที่อัตราภาษีต่ำที่สุดในภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่ง Trading Economics เป็นแพลตฟอร์มทางสถิติเศรษฐกิจออนไลน์แสดงให้เห็นว่ากัมพูชามีอัตราภาษีนิติบุคคลต่ำเป็นอันดับที่สามในภูมิภาครองจากบรูไนและสิงคโปร์ โดยอัตราภาษีนิติบุคคลของกัมพูชาในปัจจุบันอยู่ที่ 20% ซึ่งเท่ากับอัตราภาษีไทยและเวียดนาม โดยสิงคโปร์มีอัตราที่ต่ำที่สุดในภูมิภาคอยู่ที่ 17% รองลงมาคือบรูไนอยู่ที่ 18.5% ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในประเทศและต่างประเทศต่างกล่าวว่าเป็นเรื่องสำคัญที่กัมพูชาจะต้องเสนออัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำหรือให้มีการแข่งขันกันเกิดขึ้น ตามรายงานจากภาครัฐ FDI ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงได้รับประโยชน์จากเขตภาษีที่ต่ำโดย FDI เพิ่มขึ้นจาก 62 พันล้านดอลลาร์ในปี 2560 เป็น 77 พันล้านดอลลาร์ในปี 2561 เทียบกับกัมพูชา 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐสำหรับปี 2561

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50647262/cambodia-has-one-of-the-lowest-corporate-tax-rates-in-sea/

การลดลงอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวที่นครวัดในกัมพูชา

จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่อุทยานโบราณคดีอังกอร์ที่ตั้งอยู่ในเสียมเรียบยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องตามตัวเลขล่าสุดจาก Angkor Enterprise แสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 1.6 ล้านคนซื้อบัตรผ่านเข้าชมวัดตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายนลดลงกว่า 12% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วในปี 2561 ทำรายได้เพียง 74 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งลดลง 13% ส่งผลมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาเยือนเสียมราฐน้อยลง ทั้งปัจจัยที่น่าสนใจที่ประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะเวียดนามกำลังแสวงหานักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวเกาหลีใต้ ด้วยการลงทุนที่ใหญ่ขึ้นในแคมเปญเพื่อส่งเสริมแหล่งท่อวเที่ยว แต่ในทางตรงกันข้ามจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในกรุงพนมเปญและสีหนุวิลล์ทางแถบชายฝั่งกลับกำลังเพิ่มสูงขึ้น โดยเพื่อแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้กัมพูชาจำเป็นต้องเสริมสร้างคุณภาพการบริการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งขอให้ภาครัฐมามีส่วนร่วมในการปรับปรุงบริการในอุตสาหกรรม โดยเมื่อปีที่ผ่านมา Angkor Enterprise ขายบัตรผ่านประตูเพื่อเข้าชมนครวัดให้กับนักท่องเที่ยวถึง 2.5 ล้านคน คิดเป็นรายรับกว่า 116 ล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50647145/tourist-decline-continues-at-angkor/

เกษตรกรกัมพูชาเลิกปลูกพริกไทยท่ามกลางผลผลิตที่ล้นตลาด

การลดลงของความต้องการพริกไทยในกัมพูชา ทำให้เกษตรกรจำนวนมากในกัมปอตหยุดการเพาะปลูกลงในฤดูกาลหน้า โดยเกษตรกรหลายคนพบว่าเป็นการยากที่จะขายผลผลิตของพวกเขา ซึ่งคาดว่า 20-25% ของเกษตรกรรายย่อยทั้งหมดจะทำการหยุดการเพาะปลูกหลังจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวในปีนี้ เหตุเพราะมีผลผลิตมากเกินไปทำให้ผลผลิตล้นตลาด โดยได้เปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน เช่น มะม่วง และด้วยอีกเหตุผลคือคำสั่งซื้อที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพราะผู้ซื้อหันมาทำการเพาะปลูกเอง ซึ่งจากการตั้งข้อสังเกตที่มีการเพาะปลูกพริกไทยอยู่ที่ 290 ไร่ และเกษตรกรกว่า 445 คน จากจังหวัดกัมปอตและเคป โดยสร้างผลผลิตได้ที่ 100 ตันต่อปีแต่มีคำสั่งซื้อเพียง 70 ตันต่อปีจากผู้ซื้อ จึงทำให้เกิดอุปทานส่วนเกินส่งผลทำให้ราคาของพริกไทยทุกชนิดปรับตัวลดลง และจากข้อมูลของสมาคมพบว่า 50% ของพริกไทยที่ผลิตในกัมปอตส่งออกไปยังสหภาพยุโรปในขณะที่ 30% ถูกใช้ในการบริโภคภายในประเทศ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50647117/farmers-quit-pepper-amid-oversupply/

กัมพูชาต้องมีนวัตกรรมมากขึ้นเพื่อสร้างความปลอดภัยจากการใช้จ่ายแบบไร้เงินสด

เนื่องจากมูลค่าการชำระเงินแบบไร้เงินสดเพิ่มขึ้นเป็น 9.9 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 ตามข้อมูลจากธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) โดยเชื่อว่าสามรถผลักดันนวัตกรรมใหม่ๆจนทำให้กัมพูชากลายเป็นสังคมไร้เงินสดได้ แต่ผู้ประกอบการมองว่าหากไม่มีการช่วยเหลือจากรัฐบาลนวัตกรรมเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นและไม่ทันต่อการเติบโตของการเปลี่ยนแปลงภายในกัมพูชา ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว VISA ประกาศแผนการรักษาความปลอดภัยของพวกเขา สำหรับกัมพูชาได้วางรากฐานสำหรับชุดความก้าวหน้าทางโลกไซเบอร์ซึ่งมีแนวโน้มของข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและมีการดำเนินการป้องกันเพิ่มเติมสำหรับผู้ค้าและผู้บริโภค ซึ่งการรักษาความปลอดภัยของระบบนิเวศการค้าถือเป็นสิ่งที่สำคัญและมองว่าเป็นความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างเครือข่ายการชำระเงินทั้ง ผู้บริโภค ภาคธนาคาร และภาครัฐ โดยหากอนาคตมีการใช้จ่ายแบบสังคมไร้เงินสดมากขึ้นแล้วจะสามารถสร้างความยืดหยุ่นระหว่างผู้ค้าและผู้บริโภคได้มากขึ้น รวมไปถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคชาวกัมพูชามากขึ้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50647100/more-innovation-needed-to-protect-cashless-payments/

ธนาคารชาติแห่งกัมพูชาเรียกร้องนโยบายการเงินสีเขียว

ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) ยังคงเรียกร้องให้สถาบันการเงินในกัมพูชาวางนโยบายเพื่อส่งเสริมด้านการเงินและการลงทุนที่เป็นมิตร โดยสิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศของสวิส (BIS) ได้เปิดตัวกองทุนเปิดสำหรับธนาคารกลางที่ลงทุนในพันธบัตรสีเขียว ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่เน้นลงทุนในโครงการที่สนับสนุนการลดสภาวะโลกร้อน โดย NBC ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะกรรมการที่ปรึกษา BIS ได้แสดงจุดยืนการสนับสนุนสำหรับความคิดริเริ่มนี้ เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนถูกมองว่าเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่อาจจะสร้างความไม่แน่นอนสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมทางสังคม ซึ่ง NBC สนับสนุนให้กับสถาบันทางการเงินทุกแห่งที่ร่วมมืออย่างจริงจังเกี่ยวกับนโยบายส่งเสริมการเงินสีเขียว โดย ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมสมาคมธนาคารในประเทศกัมพูชาได้ลงนามสองฉบับเพื่อบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับ “ ความร่วมมือทางการเงินที่ยั่งยืน” เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาความร่วมมือทางการเงินที่ยั่งยืนในภาคการธนาคาร

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/national-bank-cambodia-calls-green-finance-policies-105291

รอบเอเชีย: กัมพูชา

กระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชาได้เปิดตัวระบบออนไลน์เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของใบรับรองในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ระบบ e-certificate มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างคุณภาพการให้บริการโดยการต่อสู้กับใบรับรอง “ปลอม” ที่ใช้ในการโกงนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนกัมพูชา โดย Khmer Times ได้รายงานว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับการฝึกอบรมจากกระทรวงการท่องเที่ยวจังหวัดหรือโรงเรียนฝึกอบรมที่ลงทะเบียนจะได้รับใบรับรองพร้อมรหัส QR

ที่มา : หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์

มุมมองการตัดสินใจของกัมพูชาเกี่ยวกับสิทธิพิเศษทางการค้า

การสูญเสียเอกสิทธิทางการค้าของสหภาพยุโรปอาจกระทบกระเทือนต่อสภาวะเศรษฐกิจของกัมพูชา แต่ภาคอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและรองเท้าจะยังคงได้รับสถานะการค้าพิเศษ (EBA) จากสหภาพยุโรปซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญเป็นอันดับสองของประเทศและตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุด โดยรัฐบาลกัมพูชาและภาคธุรกิจด่างร่วมกันเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับการเพิกถอนสิทธิ บางรายกล่าวว่าโอกาสของการเปลี่ยนแปลงกำลังช่วยเร่งการยอมรับการปฏิรูปเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก ซึ่งหากมีการยกเลิกสิทธิอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มมากที่สุดทำให้แรงงานเสี่ยงต่อการตกงานและอาจจะนำพาเศรษฐกิจให้เติบโตชะลอตัวลง โดยจากข้อมูลของตัวแทนการค้าของสหรัฐ (USTR) กล่าวว่าไม่ว่าจะมี EBA หรือไม่ก็ตามภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศก็จะยังคงแข่งขันได้ ซึ่งสหรัฐฯยังคงเป็นตลาดส่งออกเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชาโดยมีมูลค่ารวม 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561

ที่มา : https://www.bangkokpost.com/business/1761524/cambodia-at-the-crossroads

กัมพูชาต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสหภาพยุโรป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกัมพูชากล่าวกับรัฐบาลของเยอรมันว่าทางกัมพูชาต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสหภาพยุโรปและรักษาซึ่งสถานะทางการค้าหรือ EBA ไว้เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาและศึกษาระบบการบริหารสาธารณะรวมถึงร่วมพูดคุยในเรื่องของการแก้ปัญหา EBA ระหว่างสหภาพยุโรปและกัมพูชาที่กำลังจะสิ้นสุดลง โดยย้ำว่ากัมพูชาต้องการที่จะรักษาไว้ซึ่งสิทธิทางการค้าและความสัมพันธ์ที่ดีกับสหภาพยุโรปและประเทศอื่นๆ รวมถึงย้ำชัดว่ากัมพูชาใช้หลักการปกครองเพียงหลักการเดียวคือปกครองแบบประชาธิปไตยแบบเสรีหลายพรรค ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาและสันติภาพที่เกิดภายในกัมพูชา โดยทางภาครัฐฯได้ทำการเคลื่อนไหวโดยการให้อดีตสมาชิกพรรคฝ่ายค้านกลับมาลงเวทีทางการเมืองได้ เพื่อไม่ให้สหภาพยุโรปเพิกถอน EBA แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50646867/cambodia-wants-good-relations-with-the-eu-sar-kheng/

การเติบโตของจีดีพีในปี 2652 ของกัมพูชา

แม้การผลิตภาคการเกษตรจะเพิ่มขึ้นช้ากว่าที่คาดการณ์ แต่เศรษฐกิจของกัมพูชาคาดว่าจะเติบโตที่ 7% ในปีนี้เหมือนเดิม จากการเติบโตที่แข็งแกร่งในภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอ การท่องเที่ยว การค้า และการก่อสร้าง ตามการคาดการณ์ของธนาคารพัฒนาเอเชีย(ADB) ซึ่งกล่าวว่าภาคอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและรองเท้ามีการเติบโตที่มั่นคงจากการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 10.6% ภายในปี 2019 แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ADB ย้ำว่าการเติบโตของ GDP อาจหดตัวลงที่ 6.8% ในปี 2020 และด้วยความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในสภาพแวดล้อมการค้าโลกและผลกระทบต่อการให้บริการเช่นการท่องเที่ยวกัมพูชาจำเป็นต้องเร่งกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงไปสู่ตลาดเฉพาะกลุ่ม ผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวและบริการที่มีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งสิ่งนี้จะต้องมีการลดความเสี่ยงที่เกิดจากการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ร้อนแรงเกินไป ร่วมถึงไปพัฒนาแรงงานให้มีทักษะและความสามารถให้มากขึ้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50646434/gdp-growth-dominated-by-traditional-sectors-in-2019-adb-says/

ความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของกัมพูชาดีขึ้น

กัมพูชากำลังรุกคืบในแง่ของความสามารถในการแข่งขันในเวทีการท่องเที่ยวทั่วโลก โดยในดัชนีการท่องเที่ยวและการแข่งขันการท่องเที่ยวฉบับล่าสุด (TCCI) ซึ่งจัดทำโดย World Economic Forum (WEF) ในเดือนนี้กัมพูชาอันดับสูงขึ้น 3 อันดับ ซึ่งปัจจุบันกัมพูชาอยู่ในอันดับที่ 98 ของโลก จากรายงานดังกล่าวประกอบด้วย 140 ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับตามสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ความปลอดภัยและความมั่นคง รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง ทรัพยากรธรรมชาติ นโยบายการท่องเที่ยว และปัจจัยอื่นๆ โดยรายงานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของกัมพูชาซึ่งหลายคนเห็นว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวและมีแผนที่จะเผยแพร่แผนยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวระบุว่ากัมพูชาเป็นอันดับ 3 ในอาเซียนสำหรับการเติบโตของการท่องเที่ยว ปีที่แล้ว โดยมีนักท่องเที่ยวขาเข้าเพิ่มขึ้นกว่า 11%

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50646421/cambodias-tourism-competitiveness-improves/