เมียนมาเริ่มส่งออกอะโวคาโดไปอังกฤษ

จากประกาศของสถานทูตเมียนมาในกรุงลอนดอน เมียนมาเริ่มส่งออกอาโวคาโดจำนวนครึ่งตันไปยังอังกฤษ ได้แก่สายพันธ์ Amara (พันธุ์ท้องถิ่น) Hass และ Buccaneer โดยสมาคมผู้ผลิตและส่งออกผักและผลไม้แห่งเมียนมา (MFVP) ได้เชื่อมโยงธุรกิจกับหอการค้าอังกฤษโดยในการส่งออกตัวอย่างสินค้าไป ทั้งยังได้รับความสนใจจากทั้งสิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน โดย 85% ของอาโวคาโดถูกส่งออกไปยังไทยเนื่องจากการค้าชายแดนหยุดชะงักไปตั้งแต่ปี 62 จึงไม่มีการส่งออกไปยังจีน ซึ่งราคาต่อตันในตลาดอังกฤษอยู่ที่ประมาณ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ และ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐในตลาดไทย

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-avocado-exported-britain-london-embassy.html

กัมพูชาส่งออกข้าวไปยังออสเตรเลียเพิ่มขึ้นในช่วง 10 เดือนแรกของปี

กัมพูชาส่งออกข้าวสารไปยังออสเตรเลียรวม 25,994 ตัน ในช่วง 1 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับข้าวอินทรีย์ (SRP: Sustainable Rice Platform) โดย CRF กล่าวว่าทางฝั่งกัมพูชายินดีเป็นอย่างมากที่รัฐบาลออสเตรเลียได้ให้การสนับสนุนภาคเกษตรกรรมของกัมพูชา นอกจากการส่งออกข้าวที่เพิ่มขึ้นแล้วบริษัทออสเตรเลียจำนวนหนึ่งยังให้ความสนใจในการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมการเกษตรในกัมพูชาอีกด้วย ซึ่งกัมพูชาส่งออกข้าวเปลือกทั้งสิ้น 536,305 ตัน ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.11 เมื่อเทียบรายปี สร้างรายได้ประมาณ 366.44 ล้านดอลลาร์

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50783475/cambodias-rice-exports-to-australia-up-by-53-percent-in-first-10-months/

ปริมาณผู้โดยสารทางอากาศที่เดินทางมายังกัมพูชาลดลงอย่างมาก

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ปริมาณผู้โดยสารที่เดินทางมายังกัมพูชาลดลงกว่าร้อยละ 78 ณ ที่สนามบินนานาชาติ 3 แห่ง ของกัมพูชาในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2020 เมื่อเทียบกับตัวเลขปีที่แล้ว โดยในปัจจุบันการจราจรจะจำกัดเฉพาะเที่ยวบินที่มาจากประเทศจีนไม่กี่เมือง โซล สิงคโปร์ และไทเป รวมถึงเที่ยวบินไปและกลับจากโฮจิมินห์ซิตี้ ของประเทศเวียดนาม ซึ่งมีบริษัทผู้ให้บริการเที่ยวบิน ได้แก่ Cambodia Angkor Air, Lanmei Air และ Sky Angkor Air โดยรัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวได้เข้าร่วมหารือเกี่ยวกับมาตรการ “Travel bubble” ที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังกัมพูชาซึ่งจัดลำดับว่านักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นส่วนสำคัญอันดับต้นๆ ซึ่งกัมพูชาได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศประมาณ 1 ล้านคน ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2020 ลดลงร้อยละ 74.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/783581/big-drop-in-passenger-traffic/

กัมพูชาลงนามข้อตกลง GREEN BELT สนับสนุนภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศ

กระทรวงการท่องเที่ยวและบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น Yamato Green Co Ltd. ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MoU) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาห่วงโซ่คุณค่า “Green belt” ที่ให้บริการภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศ ทั้งมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเกษตรกรกัมพูชาในการปรับปรุงเทคนิคการปลูกผักและพืชอื่นๆด้วยเทคโนโลยีของญี่ปุ่น โดยเชื่อว่าวิธีนี้จะช่วยให้เกษตรกรผลิตผักที่มีคุณภาพสูงและปลอดภัยสำหรับตลาดกัมพูชา โดยเฉพาะในโรงแรมและร้านอาหารในภาคการท่องเที่ยวรวมถึงส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่น ซึ่ง MoU มุ่งเน้นไปที่การให้บริการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งหมดรวมถึงภาคย่อยทางด้านการท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวเชิงเกษตรและการท่องเที่ยวในชนบท ตามรายงานของ General Directorate of Agriculture (GDA) ของกระทรวงเกษตรในปี 2019 กัมพูชามีพื้นที่เพาะปลูกผักราว 57,262 เฮกตาร์ทั่วประเทศและผลิตอาหารได้ประมาณ 682,012 ตันต่อปี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50783047/agreement-to-boost-green-belt-tourism-signed/

ประสิทธิภาพด้านพลังงานถือเป็นส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจกัมพูชาในอนาคต

เนื่องจากความต้องการพลังงานของกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีผู้เชี่ยวชาญจึงเรียกร้องให้มีการพัฒนาและดำเนินนโยบายที่ชัดเจน ซึ่งสนับสนุนให้ทั้งภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมมีส่วนร่วมในการฝึกฝนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สภาพแวดล้อม โดยคาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของกัมพูชาในระหว่างปี 2019-2040 ซึ่งคาดว่าการใช้พลังงานหลักทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากการคาดการณ์ความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกัมพูชาสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศระบุว่าการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการนำกัมพูชาไปสู่สังคมสถานะพลังงานสะอาด

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50783204/achieving-energy-efficiency-crucial-to-kingdoms-economy/

Xaignavong Group Sole Company Limited ตั้งเป้าขยายอุตสาหกรรมท่อเฟส 2

15 ปีที่ผ่านมาของการนำเข้าอุปกรณ์เกี่ยวกับท่อไปยังสปป.ลาวมีมูลค่ามหาศาล นาย Langkone ประธานและผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Xaignavong สังเกตเห็นว่ามีเงินตราต่างประเทศจำนวนมากไหลออกจากประเทศในขณะเดียวกันความต้องการสินค้าเหล่านี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเจตนารมณ์ในการลดการไหลออกของเงินตราต่างประเทศและช่วยสนับสนุนการพัฒนาที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาลในการปรับปรุงอุตสาหกรรมให้ทันสมัยจึงเกิดการก่อตั้ง Toyo Industry Lao Factory Company Limited หรือ Toyo Pipe Factory ในปี 2559 ภายใต้บริษัทแม่อย่าง Xaignavong Group Sole Company Limited ปัจจุบัน Xaignavong Group กำลังจะมีการลงทุน 20 พันล้านกีบในเฟสที่สองของการก่อสร้างโรงงานท่อ นาย Langkone ประธานและผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Xaignavong กล่าวกับเวียงจันทน์ไทม์สเมื่อวานนี้ว่าการก่อสร้างคาดว่าอุตสาหกรรม Toyo ใหม่จะแล้วเสร็จภายในแปดเดือนการผลิตทุกขั้นตอนจะทันสมัยเทียบเท่ามาตรฐานกอุตสาหกรรมท่อในภูมิภาคอาเซียนซึ่งในระยะสองจะมีการขยายพื้นที่ของโรงงานจาก 2 เฮกตาร์เป็น 3 เฮกตาร์ การลงทุนครั้งใหม่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในเวียงจันทน์และในประเทศอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญประการหนึ่งคือการสร้างโรงงานใหม่ในระยะที่สองจะสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่นทำให้ บริษัทต้องกำชับการดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้และปฏิบัติตามนโยบายการพัฒนาสีเขียว

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Xaignavong_224.php

เวียดนามเผยส่งออกมะม่วงไปยังสหรัฐ พุ่ง 2 เท่า

จากรายงานของหน่วยงานการค้าต่างประเทศ ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ระบุว่ามูลค่าการนำเข้ามะม่วงของสหรัฐฯ อยู่ที่ 2.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 99.9 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในขณะที่ ราคานำเข้าเฉลี่ยอยู่ที่ 2,064.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และการนำเข้าส่วนใหญ่เป็นผลไม้สดและผลไม้แช่แข็ง ทั้งนี้ ในแง่ของปริมาณ พบว่าเวียดนามเป็นตลาดนำเข้ารายใหญ่ที่สุด อันดับที่ 12 ของสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.3 ของยอดมูลค่าทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเวียดนามจำเป็นต้องติดตามเรื่องกฎระเบียบที่เข็มงวดเกี่ยวกับการทำฟาร์ม การบรรจุหีบห่อและแหล่งกำเนิดสินค้า นอกจากนี้ การส่งออกมะม่วงของเวียดนามไปยังสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้นนั้น นับว่าเป็นไปได้ยากมากในช่วงสถานการณ์ของการแพร่ระบาด COVID-19 ที่ส่งผลการส่งออกทั่วโลกลดลง โดยสหรัฐฯ เป็นผู้ซื้อผลผลิตทางการเกษตรของเวียดนามรายใหญ่ อันดับที่ 4 ในปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.7 ของการส่งออกรวม รองลงมา จีน สหภาพยุโรปและอาเซียน

ที่มา : https://vietnamtimes.org.vn/vietnams-mangoes-export-volumnes-to-us-doubles-25849.html

UMFCCI คาดปีงบฯ นี้ จีน รั้งประเทศลงทุนอันดับต้นๆ ในเมียนมา

จากข้อมูลของสมาพันธ์การค้าและอุตสาหกรรมแห่งเมียนมา(UMFCCI) ปีงบประมาณ 63-64 นักลงทุนจากจีนจะเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้วยเงินลงทุนจำนวนมาก ซึ่งจะมุ่งไปที่โครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ที่สนับสนุนโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) จีนลงทุนกว่า 3.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน 375 ธุรกิจในเมียนมาตั้งแต่ปีงบประมาณ 59-60  นอกจากจีนแล้วประเทศที่มีศักยภาพน่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา สหรัฐฯ กระตือรือร้นที่จะเร่งการลงทุนโครงการปัจจุบันของจีนบางส่วนในประเทศหลังจากการระบาดของ COVID-19 ซึ่งจะเพิ่มการลงทุนในภาคพลังงาน โทรคมนาคม การท่องเที่ยว และการผลิตก๊าซธรรมชาติ ในปี 63-64 เมียนมาตั้งเป้าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศไว้ที่ 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและ 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 64-65 โดยมีเป้าหมายในปีนี้เพื่อส่งเสริมและดึงดูดการลงทุนในภาคเกษตรกรรม การประมง อุตสาหกรรม และเทคโนโลยี

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/china-forecast-be-top-myanmar-investor-fiscal-year-umfcci.html

DHL Express เพิ่มการลงทุนในเอเชียรองรับอีคอมเมิร์ซขยายตัว

บริษัท DHL Express ลงทุนเกือบ 750 ล้านยูโรเพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายทั่วโลกในอีกสองปีข้างหน้า โดย 60 ล้านยูโรจะขยายเครือข่ายการบินในเอเชียแปซิฟิกและเปิดตัวเส้นทางบินตรงที่เชื่อมต่อศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคไปยังย่างกุ้งและเวียงจันทร์ของสปป.ลาว DHL คาดว่าปริมาณการจัดส่งในเอเชียแปซิฟิกจะสูงกว่าช่วงพีคของซีซั่นในปีที่แล้วถึง 30-40% ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัวและเส้นทางการบินใหม่จะได้ประโยชน์จากตลาดอีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโตและการค้าข้ามแดนในระยะยาว ตั้งแต่ต้นปี 63 DHL ประสบปัญหาการจัดส่งสินค้าออนไลน์ในเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้น 50% (ไม่นับรวมจีน) นอกจากนี้ยังลงทุน 25 ล้านยูโรเพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในบังกลาเทศซึ่งจะรวมสำนักงานและศูนย์บริการบนพื้นที่ 10,000 ตร.ม. โรงงานแห่งใหม่นี้จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 35% และคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 65 นอกจากนี้ยังจะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ ในออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ อีกทั้งเครือข่ายสายการบินใหม่จะขยายไปยังปักกิ่งและย่างกุ้ง

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/dhl-express-raises-investment-asia-e-commerce-expands.html

“สุพัฒนพงษ์” ชี้เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ลั่นปี’64 ปั๊มเศรษฐกิจเชิงรุก

“สุพัฒนพงษ์” ยิ้มรับ จีดีพี ไตรมาส 3 ฟื้นตัว มั่นใจไตรมาส 4 ดีขึ้นตามลำดับ ประชาชนให้ความร่วมมือตามนโยบายกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ท่องเที่ยวในประเทศ ลั่น ปี’64 ปีแห่งการลงทุน เร่งแผนปั๊มเศรษฐกิจเชิงรุก ลุยดึงดูดการลงทุนต่างชาติ วันที่ 16 พ.ย. 2563 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้แถลงตัวเลขเศรษฐกิจ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2563 อยู่ที่ – 6.4% นั้นเป็นการประเมินจากสถานการณ์เศรษฐกิจในไตรมาส 3 ดีขึ้นกว่าที่คาดไว้ และจะส่งผลให้ไตรมาส 4 ดีขึ้นตามลำดับและตามซีซั่น พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่า ปี2563 จะอยู่ที่ -6.7% จากเดิมที่หลายฝ่ายประเมินว่าอาจติดลบ 9-12% โดยถือว่าอยู่ในระดับดี เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และกรณีความกังวลงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐปี64 จะต้องได้ 98% ของงบประมาณรายจ่ายนั้น มองว่า รัฐบาลต้องเร่งรัดประคองรายได้จากภาคการท่องเที่ยว กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ และส่งออก อย่างไรก็ตาม ปีหน้า 2564 รัฐบาลจะเริ่มเปิดประเทศ โดยพิจารณาอย่างรอบคอบตามมาตรการป้องกัน ควบคุมจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งตั้งเป้าว่า ปีหน้าจะเป็นปีแห่งการดึงดูดการลงทุน ปฎิบัติตามแผนทำงานในเชิงรุก ประกอบกับการที่ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดการลงทุน เชื่อว่า จะทำให้เศรษฐกิจในประเทศขยายตัวได้ดีขึ้น เร็วขึ้น ทั้งนี้ ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนทุกคนร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเป็นสิ่งสำคัญด้วย ” เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงปลายปีนี้ ยิ่งประชาชนให้ความร่วมมือร่วมขับเคลื่อนโครงการต่างๆตามนโยบายรวมไทยสร้างชาติ กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ การท่องเที่ยวเริ่มกลับมาบ้าง ยิ่งส่งผลดี อาทิ โครงการคนละครึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ช่วงปลายปีนี้ขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และปีหน้าจะเริ่มแผนเชิงรุกเพื่อดึงดูดลงทุนต่างชาติ”

ที่มา: https://www.prachachat.net/economy/news-556760