นายกฯ เตรียมประชุมเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ

นายกรัฐมนตรี นำนักลงทุนเข้าพื้นที่ EEC ติดตามความคืบหน้าเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ พร้อมรับรถไฟฟ้าโมโนเรลขบวนแรก โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง 1 ต.ค. 63 โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันที่ 1 ต.ค. นายกรัฐมนตรี พร้อมนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รวมถึงหน่วยงานร่วม จะเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดชลบุรี เพื่อติดตามความก้าวหน้าการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน EEC ในยุค New Normal ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในพิธีรับขบวนรถไฟฟ้าโมโนเรล ขบวนแรก โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ซึ่งเป็นโครงการภายใต้นโยบาย PPP Fast Track ของรัฐบาลที่มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมระบบรางของไทย โดยมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค (กลุ่มประเทศ CLMV) นักลงทุนไทยและต่างประเทศเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการลงทุน

ที่มา : https://tna.mcot.net/politics-551037

เศรษฐกิจไทยศักยภาพต่ำลง ซมพิษโควิด-19 ธปท.แนะรัฐปรับโครงสร้างทันที

ธปท.ชี้พิษโควิด-19 ทำเศรษฐกิจไทยศักยภาพต่ำลง การแข่งขันลด แต่ความเหลื่อมล้ำเพิ่มสวนทาง จี้รัฐปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจทันที ก่อน “ทุน” หมด พร้อมแนะหยุดมาตรการเบี้ยหัวแตก แจกเงินเหวี่ยงแห แต่เจาะกลุ่มที่จำเป็น นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงานสัมมนาวิชาการของ ธปท.ประจำปี 2563 ในหัวข้อ “ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทำอย่างไรให้เกิดได้จริง” ว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพิ่มความรุนแรงของความเหลื่อมล้ำในเศรษฐกิจ และสังคมไทย ความเปราะบางในระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งลดทอนความสามารถในการแข่งขัน มากขึ้น ส่งผลต่อศักยภาพการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ดังนั้น ต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจให้เกิดผลได้จริง และต้องทำทันที เพื่อรองรับชีวิตวิถีใหม่ เพราะธุรกิจหลังโควิด-19 จะมีการแข่งขันสูงขึ้น นอกจากนี้ ต้องลดพึ่งพาภาคเศรษฐกิจใดภาคหนึ่งมากจนเกินไป จากปัจจุบัน ที่พึ่งพาการส่งออกมาก โดยต้องกระจายทรัพยากร และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง โดยรัฐต้องสร้างแรงจูงใจให้เกิดการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ บนรากฐาน 3 ด้าน คือ 1.คนไทยและธุรกิจไทยต้องมีผลิตภาพสูง มีความสามารถในการแข่งขัน 2.ต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดี รับมือสถานการณ์ต่างๆ ที่ผันผวน ซับซ้อนและคลุมเครือในอนาคต 3.การกระจายผลประโยชน์จากการเติบโตเศรษฐกิจ ต้องทั่วถึง ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น  อย่างไรก็ตาม การดำเนินมาตรการหลังจากนี้ควรทำภายใต้แนวคิด 3 ด้านคือ 1.การเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะสั้น ต้องสอดคล้องกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ด้านที่ 2 การปฏิรูปโครงสร้างจะไม่เกิดขึ้นได้จริง หากไม่สามารถย้ายทรัพยากรจากภาคเศรษฐกิจหนึ่งไปสู่อีกภาคเศรษฐกิจหนึ่งได้ ดังนั้น รัฐต้องสนับสนุนการโยกย้ายทรัพยากรจากภาคเศรษฐกิจที่มีกำลังการผลิตส่วนเกินไปยังภาคเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงกว่า ส่วนด้านที่ 3 ยกระดับชนบท โดยให้ท้องถิ่นเป็นเป้าหมายสำคัญของการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ เพราะโควิดทำให้แรงงานย้ายกลับภูมิลำเนามากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งจะต้องทำให้แรงงานเหล่านี้ เปลี่ยนเป็นพลังพลิกฟื้นเศรษฐกิจในต่างจังหวัด.

ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/business/1940138

เวียดนาม, ไทยจะก้าวเป็นผู้ผลิตแล็ปท็อปชั้นนำของโลก

สำนักข่าวญี่ปุ่น Nikkei Asian Review ได้อ้างรายงานของ Market Intelligence & Consulting Institute (MIC) กล่าวว่าในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะผลิตแล็ปท็อปครึ่งหนึ่งของโลกในปี 2573 โดยคาดว่าเวียดนามและไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตสำคัญของภูมิภาค สำหรับบทความดังกล่าว ชี้ให้เห็นถึงต้นทุนแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้นในจีน ประกอบกับทั่วโลกต้องการที่จะลดการพึ่งพามากเกินไปในภูมิภาคเดียวและปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงก็ตกไปอยู่ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ ในปี 2562 ตลาด PC ทั่วโลกที่มีจำนวนอยู่ที่ 160 ล้านชิ้น ซึ่งกว่าร้อยละ 90 มาจากจีน และส่วนใหญ่จะผลิตสินค้าในไต้หวัน ในขณะที่ มีเพียงส่วนน้อยที่ผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น ระบุว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้กระตุ้นให้เกิดการสื่อสารทางไกลและเรียนออนไลน์มากขึ้น ในขณะเดียวกัน ความต้องการคอมพิวเตอร์ ‘Chromebook’ ก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

 ที่มา : https://vov.vn/en/economy/vietnam-thailand-to-emerge-as-leading-laptop-producers-781897.vov

“สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ดันไทยผงาดเครื่องมือแพทย์

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ 1 ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ให้แล้วเสร็จในปีหน้า หลังอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558-2562) และมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 4.09% จากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุที่ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในปีหน้า อีกทั้งโควิด-19 ได้ส่งผลให้สินค้าและเครื่องมือทางการแพทย์บางประเภทขาดแคลน โดยได้สั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) จัดทำร่างแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ระยะที่ 1 (ปี 2564-2570) พร้อมตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องมือแพทย์ในอาเซียนภายในปี 2570 สำหรับร่างแผนปฏิบัติการจะมุ่งแก้ปัญหาอุปสรรคและยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของประเทศไทย เพื่อผลักดันให้มีการพัฒนาขยายตัวอย่างรวดเร็วเนื่องจากเป็นแผนปฏิบัติการที่เริ่มปฏิบัติได้ทันที โดยแบ่งออกเป็น 3 มาตรการหลัก ได้แก่ 1.การส่งเสริมการผลิตและการลงทุนในเครื่องมือแพทย์ 2.การส่งเสริมช่องทางการเข้าสู่ตลาด ให้มีการใช้เครื่องมือแพทย์ที่ผลิตในประเทศให้มากขึ้น และ 3.การส่งเสริม/เตรียมความพร้อมด้านปัจจัยสนับสนุน มีการสร้างปัจจัยสนับสนุนในการยกระดับการผลิตเครื่องมือแพทย์.

ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/business/market-business/1939100

เวียดนามนำเข้ารถยนต์จากไทยพุ่ง 100% ในเดือนสิงหาคม

จากรายงานทางสถิติเบื้องต้นของกรมศุลกากรเวียดนาม เปิดเผยว่าในเดือนสิงหาคม จำนวนนำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในต่างประเทศ (CBU) พุ่งสูงขึ้นร้อยละ 85.6 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน (เพิ่มขึ้นมากกว่า 4,000 คัน) โดยส่วนใหญ่มาจากตลาดหลัก 3 แห่ง ได้แก่ ไทย 4,743 คัน รองลงมาอินโดนีเซีย 2,523 คัน และจีน 572 คัน คิดเป็นสัดส่วนรวมกันร้อยละ 90 ของปริมาณการนำเข้ารถยนต์ทั้งหมดของเวียดนามในเดือนนี้ ทั้งนี้ เวียดนามนำเข้ารถยนต์ในเดือนสิงหาคม อยู่ที่ 8,836 คัน เป็นมูลค่าที่ 202 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะเดียวกัน ในเดือนกรกฎาคม นำเข้ารถยนต์อยู่ที่ 4,761 คัน เป็นมูลค่าที่ 108 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ รถยนต์ที่นำเข้าจากไทยในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม ซึ่งอัตราการเติบโตมากกว่าร้อยละ 100 (มีเพียง 2,234 คัน ในเดือนกรกฎาคม)

ที่มา : https://customsnews.vn/automobiles-import-from-thailand-increase-by-100-in-august-15964.html

ไทย-สปป.ลาวร่วมทุนก่อตั้งบริษัทค้าเม็ดไม้ Wood Pellet แห่งแรกในสปป.ลาว

บริษัท ราชกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท บุรีรัมย์กรีนเอนเนอร์จี จำกัด (BGE) และ บริษัท สีพันโทนโบลาเวนดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัท สี่แผ่นดินราช – ลาว จำกัด เพื่อเปิดตัวโครงการ wood pellet ในสปป.ลาว ทุนจดทะเบียน 1.7 ล้านบาทหรือ 500 ล้านบาทตามรายงานของ RATCH Group โครงการดังกล่าวคาดว่าโรงงานเม็ดไม้จะเริ่มก่อสร้างในปี 2564 โดยจะเริ่มผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในต้นปี 2565 จะมีกำลังการผลิต 60,000 ตันต่อปี โครงการนี้จะครอบคลุมพื้นที่ 3,000 เฮกตาร์ในแขวงจำปาศักดิ์โดยมีแผนจะส่งออกเชื้อเพลิงชีวมวลให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ภายใต้สัญญาระยะยาวปัจจุบันความต้องการเม็ดไม้ในภาคอุตสาหกรรมมีเพิ่มขึ้นทั่วโลกและยังใช้เม็ดไม้ในโรงไฟฟ้าชีวมวลอีกด้วย อุตสาหกรรมเม็ดไม้ยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ดีจากความต้องของประเทศที่กำลังพัฒนาและพัฒนาแล้วอย่างยุโรปที่มีความต้องการสูงและเป็นคู่ค้าคนสำคัญ

ที่มา : https://laotiantimes.com/2020/09/23/first-wood-pellet-project-to-be-launched-in-laos/

ส่งออก ส.ค.ฟื้นติดลบแค่ 7.94% มูลค่าทะลุ 2 หมื่นล้านเหรียญในรอบ 5 เดือน

“พาณิชย์” เผยการส่งออกเดือน ส.ค. 63 ฟื้นตัวต่อเนื่อง มูลค่าเกิน 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในรอบ 5 เดือนอัตราการขยายตัวติดลบเหลือ 7.94% ส่วนยอดรวม 8 เดือนลบเหลือ 7.75% คาดแนวโน้มยังเป็นขาขึ้นลักษณะเหมือนเครื่องหมายถูก มั่นใจทั้งปีลบไม่เกิน 2 หลัก น่าจะลบ 5% ถึงลบ 8% โดย น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือน ส.ค. 2563 มีมูลค่า 20,212.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 7.94% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ ทั้งในแง่มูลค่าที่กลับมาส่งออกเกิน 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในรอบ 5 เดือนนับจากเดือน เม.ย. 2563 และการขยายตัวติดลบน้อยลง จากที่เคยลบสูงสุดถึง 23.17% ในเดือน มิ.ย. 2563 ถือว่าพ้นจุดต่ำสุดแล้ว ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 15,863.0 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 19.68% ทำให้เกินดุลการค้ามูลค่า 4,349.4 ล้านเหรียญสหรัฐ และยอดรวม 8 เดือนปี 2563 (ม.ค.-ส.ค.) มีมูลค่า 153,374.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 7.75% นำเข้ามูลค่า 134,981.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 15.31% เกินดุลการค้ามูลค่า 18,393.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนในต่างประเทศก็มีการส่งออกที่ลดลง เช่น ญี่ปุ่น ลด 16.6% สหภาพยุโรป 15 ประเทศ ลด 16.9% อาเซียน 5 ประเทศ ลด 16.5% CLMV ลด 9.3% เป็นต้น ทั้งนี้ มองว่าการส่งออกของไทยทั้งปีจะไม่ติดลบในระดับ 2 หลักอย่างที่หลายๆ ฝ่ายได้ประเมินเอาไว้ น่าจะติดลบ 5% ถึงลบ 8% โดยการส่งออกลบ 5% ต้องส่งออกให้ได้เดือนละ 20,145 ล้านเหรียญสหรัฐ และลบ 8% ต้องส่งออกให้ได้เดือนละ 18,298 ล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://mgronline.com/business/detail/9630000097477

หวั่นโควิดรอบ 2 จำกัดขนส่งสินค้าข้ามเมียนมาเหลือ 6 คัน

นายยงยุทธ นาคแดง รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก(ขบ.) เปิดเผยถึงการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-เมียนมาในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า ปัจจุบันปริมาณการขนส่งสินค้าบริเวณด่านพรมแดนแม่สาย จังหวัดเชียงรายลดลง เนื่องจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นในเมียนมา ทำให้ไทยต้องยึดมาตรการด้านสาธารณสุขเป็นหลัก ในขณะเดียวกัน ปริมาณการขนส่งสินค้าบริเวณด่านพรมแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีปริมาณการขนส่งสินค้าราว 1,000 เที่ยวต่อวัน แต่ปัจจุบันหลังเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ทางประเทศเมียนมามีการจำกัดปริมาณการเดินรถขนส่งสินค้าข้ามประเทศ ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งสินค้าด่านดังกล่าวเหลือเพียง 6 คันต่อวัน ขณะเดียวกันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างหนักในเมียนมา ทำให้ต้องควบคุมด้านความปลอดภัยในการเข้า-ออกประเทศ เพื่อลดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบ 2

ที่มา : https://www.thansettakij.com/content/450100

เล็งขยายลดภาษีน้ำมันเครื่องบินอีก6เดือน

สรรพสามิตเปิดทางลดภาษีน้ำมันเครื่องบินเหลือ 20 สตางค์ต่อลิตร อีก 6 เดือน กรณีการพิจารณาขยายเวลายกเว้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินในประเทศให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจสายการบินโลวคอสต์ว่า ล่าสุดผู้บริหารสายการบินโลวคอสต์ได้เดินทางเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาข้อเสนอของผู้ประกอบการในการขยายเวลาการยกเว้นภาษีดังกล่าวออกไป จากที่จะครบกำหนดในสิ้นเดือนก.ย.2563 อย่างไรก็ดี กรมสรรพสามิตเห็นว่าหากการปรับลดภาษีจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม และมีส่วนช่วยกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวได้มากขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ภาครัฐควรให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ สำหรับการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินที่จะสิ้นสุดในเดือน ก.ย. 2563 ภาษีน้ำมันอยู่ที่ 20 สตางค์ต่อลิตร จากเดิมลิตรละ 4.762 บาท

ที่มา: https://www.posttoday.com/economy/news/633556

เปิดเวทีรับฟังเอฟทีเอ ไทย-อียู 22ก.ย.นี้ เพิ่มโอกาสค้าขายสินค้าไทย

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นฟื้นการเจรจา FTA ไทย-อียู 22 ก.ย.นี้ หลัง “ไอเอฟดี” ศึกษาเสร็จแล้ว “อรมน” ชี้ปัจจุบันไทยมีสัดส่วนการค้ากับประเทศที่มี FTA รวม 62.8% ถ้าได้อียูที่มีสัดส่วนการค้า 7.9% จะทำให้การค้าของไทยกับประเทศที่ทำ FTA เพิ่มเป็น 70.7% ยิ่งสร้างโอกาสค้าขาย แย้มผลศึกษา สินค้าไทยมีโอกาสส่งออกได้เพียบ แต่ก็ต้องเปิดตลาดให้อียูเพิ่ม จับตาหากเจรจา ต้องรับมือกับประเด็นใหม่ๆ ด้วย นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้กำหนดจัดการสัมมนา “ไทยพร้อมหรือยังที่จะฟื้นการเจรจา FTA ไทย-EU?” ในวันที่ 22 ก.ย.2563 ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพฯ เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาประโยชน์และผลกระทบจากการฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) หลังจากที่กรมฯ ได้มอบสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (ไอเอฟดี) ดำเนินการเสร็จแล้ว โดยจะเชิญผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร นักวิชาการ และภาคประชาสังคม ร่วมวิพากษ์วิจารณ์ และแลกเปลี่ยนความเห็นต่อผลการศึกษาดังกล่าว รวมทั้งระดมความเห็นเรื่องการฟื้นการเจรจา FTA ไทย-อียู ก่อนที่จะรวบรวมความคิดเห็นเสนอระดับนโยบายประกอบการพิจารณาตัดสินใจการดำเนินการของไทยในเรื่องนี้ต่อไป ทั้งนี้ ผลการศึกษาในเบื้องต้น พบว่า การทำ FTA กับอียูจะช่วยสร้างโอกาสในการแข่งขันให้กับสินค้าไทยได้เพิ่มขึ้น โดยสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกไปอียู เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์อาหารอื่น เคมีภัณฑ์ ยาง และพลาสติก แต่ในทางกลับกัน ไทยจะต้องเปิดตลาดให้อียู ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการไทยนำเข้าสินค้าบางชนิดจากอียูเพิ่มขึ้น เช่น นมและผลิตภัณฑ์นม เครื่องดื่ม เมล็ดพืชน้ำมัน และสินค้าเทคโนโลยี เป็นต้น ขณะเดียวกัน ยังพบว่า FTA ที่อียูทำกับสิงคโปร์ เวียดนาม และประเทศอื่นๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการหยิบยกประเด็นใหม่ๆ รวมไว้ในการจัดทำ FTA ด้วย เช่น การยกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การเปิดตลาดจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ การเข้าเป็นภาคีความตกลงระหว่างประเทศ การยกระดับมาตรฐานแรงงาน และการปฏิบัติของรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของไทยต้องพิจารณาระดมความเห็นว่าไทยพร้อมที่จะเจรจากับอียูในเรื่องเหล่านี้หรือไม่ อย่างไร เพราะจะมีผลต่อการนำไปสู่การปรับกฎเกณฑ์ทางการค้าของไทย.

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/economic/796498