สปป.ลาว-จีน ร่วมมือเพื่อพัฒนาการแพทย์แผนโบราณ

ยาแผนโบราณใน สปป.ลาว พร้อมที่จะได้รับการยอมรับในวงกว้างมากขึ้นในฐานะองค์กรเภสัชกรรมที่ดำเนินการโดยรัฐ ร่วมมือกับหน่วยงานของจีน 3 แห่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรักษาของยาแผนโบราณในประเทศ มุ่งส่งเสริมการวิจัยด้านการแพทย์แผนโบราณในประเทศลาว โรงงานเภสัชกรรมรัฐวิสาหกิจแห่งที่ 3 ได้ร่วมมือกับ Kmoeba (Zhuhai Hengqin) Biomedical Co., Ltd. ของจีน, Guangdong Engineering Center for Traditional Chinese Medicine และมหาวิทยาลัยชีหนาน ผู้ผลิตยาแผนโบราณใน สปป.ลาว ยังได้พัฒนาแคปซูลสมุนไพรเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 โดยใช้การวิจัยและพัฒนาจากพืชสมุนไพรในท้องถิ่น เช่น ฟ้าทะลายโจร เป็นตัวยาสำคัญ ทั้งนี้ แม้ว่าการแพทย์แผนโบราณต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการใช้ยาแผนโบราณและเพิ่มขีดความสามารถผ่านความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ

ที่มา : https://laotiantimes.com/2024/03/22/laos-china-collaborate-to-advance-traditional-medicine/

ก.พลังงานและการเหมืองแร่ สปป.ลาว เผยผลสำรวจกิจการเหมืองแร่ไร้มาตรฐาน

การสำรวจของกระทรวงพลังงานและการเหมืองแร่ สปป.ลาว ระบุว่า กิจการเหมืองแร่ส่วนใหญ่ไม่ได้ดำเนินการตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ลงนามไว้กับรัฐบาล และได้ร้องขอการขยายโครงการจำนวนมากเมื่อไม่เป็นไปตามกำหนดเวลาและเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังพบว่า บริษัทหลายแห่งไม่ได้ดำเนินธุรกิจอย่างมืออาชีพ ไม่มีการจ้างเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้อง และมีเงินทุนไม่เพียงพอ มีการใช้บริษัทนายหน้าทำหน้าที่จองที่ดินแล้วขายให้กับนักลงทุนรายอื่น ในบางกรณี บริษัทหนึ่งได้รับอนุญาตให้ดำเนินโครงการหลายโครงการ ซึ่งส่งผลให้การดำเนินงานไม่แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาที่กำหนด บริษัทบางแห่งไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่กำหนด เนื่องจากขาดช่างเทคนิค อุปกรณ์ และเงินทุน ขณะเดียวกันก็เกิดข้อพิพาทเรื่องที่ดินและขาดความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่น อีกทั้งบริษัทหลายแห่งไม่สามารถชำระค่าธรรมเนียมสัมปทานและภาระผูกพันทางการเงินอื่นๆ ตามที่ตกลงกัน สาเหตุมาจากการขาดความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทำให้การแจ้งหนี้ล่าช้า ในขณะที่หลายบริษัทประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางการเงินและชำระเงินล่าช้าเป็นประจำ

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_58_Ministry_y24.php

มันสำปะหลังเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของ สปป.ลาว ในเดือนมกราคม 67

มูลค่าการส่งออกของ สปป.ลาว ในเดือนมกราคม 2567 มีมูลค่า 561 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็น 749 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมันสำปะหลังเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่ง ภายใต้มูลค่า 94 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกท่าสำคัญอื่นๆ ได้แก่ แร่ทองคำและทองคำแท่ง มูลค่า 44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ มูลค่า 39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยางพารา มูลค่า 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ตลาดส่งออกหลัก คือ จีน โดยมีมูลค่าการค้าประมาณ 198 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเทศไทยและเวียดนาม มีมูลค่าประมาณ 134 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 129 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ ด้านการนำเข้า น้ำมันดีเซลเป็นสินค้านำเข้ามากที่สุด คิดเป็นมูลค่า 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผลิตภัณฑ์เคมี อุปกรณ์เครื่องจักรกล ยานพาหนะทางบก และเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็มีส่วนช่วยอย่างมากต่อการนำเข้าของประเทศ โดยตลาดนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ประเทศไทย มูลค่าการนำเข้า 309 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเทศจีน 298 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเวียดนาม สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นแหล่งนำเข้าที่สำคัญในอันดับรองลงมา

ที่มา : https://laotiantimes.com/2024/03/19/cassava-leads-lao-exports-in-january-2024-amid-trade-deficit/

รัฐบาล สปป.ลาว ประกาศแผนขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 10%

รัฐบาล สปป.ลาว ได้ประกาศแผนที่จะเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 10% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการเพิ่มรายได้งบประมาณของรัฐและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ โดยพระราชกฤษฎีกาที่ออกเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 ยังขาดรายละเอียดเฉพาะเกี่ยวกับวันดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าว ซึ่งอยู่ระหว่างการอนุมัติจากภาคส่วนต่างๆ ของรัฐบาล โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะปรับขึ้นนี้จะใช้บังคับกับธุรกรรมต่างๆ รวมถึงการนำเข้า สินค้าและบริการทั่วไป การนำเข้าแร่ ตลอดจนการผลิตและค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ

ที่มา : https://laotiantimes.com/2024/03/20/lao-government-to-raise-value-added-tax-rate-to-10-percent/

สปป.ลาว แสดงความยินดีกับนายวลาดีมีร์ ปูติน ที่ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซีย

นายทองลุน สีสุลิด ประธานาธิบดี สปป.ลาว แสดงความยินดีกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำรัสเซียอีกครั้ง ข้อความแสดงความยินดีระบุว่า “ในนามของประชาชน สปป.ลาว ทั้งหมด และในนามของข้าพเจ้าเอง ขอแสดงความยินดีอย่างสุดหัวใจต่อชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งและโอกาสที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซียอีกหนึ่งสมัย ผลการเลือกตั้งสะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจและความมั่นใจของชาวรัสเซียในความสามารถและความฉลาดในการเป็นผู้นำของท่าน ฉันเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าภายใต้การนำอันชาญฉลาดของท่าน สหพันธรัฐรัสเซียจะพัฒนาและเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้ทำงานใกล้ชิดกับท่าน เพื่อเสริมสร้างและเสริมสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรและความร่วมมืออันดีของเราต่อไป บนพื้นฐานความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ ความเข้าใจร่วมกัน ความไว้วางใจ และความช่วยเหลือระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและสหพันธรัฐรัสเซีย เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองของเรา ข้าพเจ้าขอใช้โอกาสอันมีความหมายนี้เพื่ออวยพรให้ท่านมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีความสุข และประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นในความพยายามอันสูงส่งของท่าน”

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_56_President_y24.php

รถไฟลาว-จีน ขนส่งผู้โดยสารแล้วกว่า 30 ล้านคน จีนตั้งเป้าหมายขนส่งให้มากขึ้นกว่านี้

รถไฟลาว-จีน ขนส่งผู้โดยสารแล้วกว่า 30.2 ล้านคน และขนส่งสินค้า 34.24 ล้านตัน ณ วันที่ 12 มีนาคม 2567 และทางการรถไฟของจีนให้คำมั่นว่าจะเพิ่มปริมาณทั้งผู้โดยสารและสินค้าให้มากกว่านี้ โดยสินค้าที่ขนส่ง ประกอบด้วย สินค้าข้ามพรมแดนมากกว่า 7.8 ล้านตัน ซึ่งหมายความว่าทางรถไฟกำลังมีบทบาทโดดเด่นมากขึ้นตามลำดับ และจำนวนการเดินทางโดยรถไฟโดยเฉลี่ยต่อวันของผู้โดยสารบนเส้นทางรถไฟของจีนเพิ่มขึ้นจาก 35 ล้านคนในช่วงแรก เพิ่มมาเป็น 51 ล้านคนในปัจจุบัน ในขณะที่จำนวนผู้โดยสารที่ขนส่งทุกวันเพิ่มขึ้นจาก 20,000 คนเป็นสูงสุด 103,000 คน ในส่วนการรถไฟของ สปป.ลาว จำนวนรถไฟโดยสารโดยเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นจาก 4 ขบวนเป็น 12 ขบวน ในขณะที่จำนวนรถไฟโดยสารความเร็วธรรมดาเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 10 ขบวน จำนวนผู้โดยสารที่บรรทุกในแต่ละวันเพิ่มขึ้นจาก 720 คน เป็นสูงสุด 12,808 คน ทั้งนี้ เส้นทางรถไฟสายนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาโลจิสติกส์ การพาณิชย์ การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมอื่นๆ ควบคู่ไปกับเส้นทางดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_56_Laos_China_y24.php

สายการบินลาวแอร์ไลน์เตรียมเปิดเส้นทางบินใหม่ แขวงหัวพันและแขวงหลวงน้ำทา

สายการบินลาวกำหนดเที่ยวบินรายวันจากเวียงจันทน์ไปยังแขวงหัวพัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 และเพิ่มเที่ยวบินไปยังแขวงหลวงน้ำทา เป็น 2 เที่ยวบินต่อวัน เริ่มในวันที่ 31 มีนาคม 2567 โดยผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ของสายการบินลาว บอกกับหนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ไทมส์ว่า ในอดีตสายการบินเคยให้บริการ 2 เที่ยวบินต่อวันไปและกลับจากหลวงน้ำทา แต่ปัจจุบันถูกตัดเหลือเพียง 1 เที่ยวบินต่อวัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ลาวแอร์ไลน์จะกำหนดเที่ยวบินไปหลวงน้ำทา 2 เที่ยวเช่นเดิม นอกจากนี้ จำนวนเที่ยวบินระหว่างเวียงจันทน์ไปแขวงหัวพันจะเพิ่มขึ้นจาก 5 เที่ยวบินเป็น 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ก่อนที่สนามบินหนองขางจะเปิดใช้งานผู้คนส่วนใหญ่ในแขวงหัวพันเดินทางไปมาโดยใช้รถยนต์ซึ่งเป็นการเดินทางที่ยาวนาน เพราะภูมิประเทศเป็นภูเขา แต่สนามบินแห่งใหม่นี้จะทำให้การเดินทางไปแขวงหัวพันสะดวกขึ้น โดยคาดว่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้มากขึ้นจากปีที่แล้วที่มีนักท่องเที่ยว 45,000 คนมาเยือนแขวงหัวพัน สร้างรายได้มากกว่า 32 พันล้านกีบ

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_55_Lao_Airlines_y24.php

สะพานมิตรภาพไทย-สปป.ลาว แห่งที่ 5 มีกำหนดแล้วเสร็จในช่วงสิ้นปีนี้

สะพานมิตรภาพไทย-สปป.ลาว แห่งที่ 5 ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างแขวงบอลิคำไซ ในประเทศลาว กับจังหวัดบึงกาฬของประเทศไทย มีความคืบหน้าตามกำหนด และสะพานดังกล่าวจะเปิดให้สัญจรได้ในปลายปีนี้ โดยสะพานแห่งนี้มีความยาว 1,350 เมตร และจะช่วยส่งเสริมการเดินทางระหว่างลาวและไทย กระตุ้นให้เกิดการค้ากับประเทศอื่นๆ ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการฝั่ง สปป.ลาว กล่าวว่า สะพานจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2567 และงานดังกล่าวคืบหน้าไปอย่างราบรื่นหลังจากการประเมินการก่อสร้างแล้วเสร็จมากกว่า 80% ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นจากเงินกู้จำนวน 1.38 พันล้านบาท จากสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทย (NEDA) ได้รับการค้ำประกันโดยรัฐบาล สปป.ลาว โดยโครงการก่อสร้าง ประกอบด้วย การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำฝั่ง สปป.ลาว ระยะทาง 535 เมตร และการก่อสร้างถนนทางเข้าอาคารตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร และโครงสร้างอื่นๆ ในฝั่ง สปป.ลาว

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_54_Fifth_y24.php

สปป.ลาว-สหภาพยุโรป ร่วมพัฒนาห่วงโซ่มูลค่าสินค้ากาแฟ ชา และผลิตภัณฑ์ป่าไม้

รัฐบาล สปป.ลาว สหภาพยุโรป (EU) ผู้แทนจากฝรั่งเศสและเยอรมนี ร่วมเปิดตัวโครงการ Global Gateway มูลค่าหลายล้านยูโร เพื่อพัฒนาห่วงโซ่มูลค่ากาแฟ ชา และป่าไม้ และสนับสนุนการเข้าถึงตลาด โครงการนี้มีขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าทางการค้า การลงทุน และการเชื่อมต่อในภาคการเกษตรและป่าไม้ที่ยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าที่ยั่งยืนและครอบคลุมของกาแฟ ชา และผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ ที่ สปป.ลาว กำลังทำการค้ากับสหภาพยุโรป เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงตลาดระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับโลก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเชื่อมต่อห่วงโซ่มูลค่าที่ดีขึ้นกับตลาดระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ ผ่านการฟื้นฟูทางหลวงหมายเลข 2 ที่เป็นเส้นทางไปสู่ประเทศไทยและเวียดนามที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากสหภาพยุโรป จำนวน 28 ล้านยูโร ฝรั่งเศส 4.65 ล้านยูโร เยอรมนี 11 ล้านยูโร และเงินกู้ที่ได้รับสัมปทานจากธนาคารเพื่อการลงทุนแห่งยุโรป 50 ล้านยูโร

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_54_LaosEU_y24.php

รัฐมนตรีสหภาพแรงงานและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 30

คณะผู้แทนเมียนมานำโดย ดร.คาน ซอ รัฐมนตรีสหภาพแรงงานและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 30 ซึ่งจัดขึ้นที่หลวงพระบาง สปป.ลาว ระหว่างวันที่ 8-9 มีนาคม 2567 รัฐมนตรี โดยการประชุมดังกล่าวมีนายมาลัยทอง คมมสิต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ สปป. ลาว เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีเศรษฐกิจจากอาเซียน และติมอร์เลสเต เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจ (SEOMs) และผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน สมาชิกสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน เลขาธิการอาเซียน รองเลขาธิการประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และเจ้าหน้าที่ ในช่วงแรกของการประชุม สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียนได้นำเสนอลำดับความสำคัญสำหรับปี 2567 และข้อเสนอแนะสำหรับการเสริมสร้างการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ส่วนในช่วงที่ 2 ของการประชุม รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้หารือและให้แนวทางกิจกรรมต่างๆ ที่จะดำเนินภายใต้เสาหลักเศรษฐกิจอาเซียน ตามผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 43 รวมถึง ลำดับความสำคัญสำหรับปี 2024 ประเด็นการลงนามข้อตกลงเศรษฐกิจอาเซียน ความคืบหน้าของการเจรจายกระดับความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน และ ความคืบหน้าของการเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจอื่นๆ อย่างไรก็ดี เขายังแสดงความจำเป็นที่จะต้องเร่งการเจรจาเพื่อให้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (3.0) ยกระดับการเจรจาให้แล้วเสร็จภายในปี 2567 เกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) นอกจากนี้ รัฐมนตรีสหภาพเมียนมาเน้นย้ำว่า กำลังทำงานร่วมกับประเทศสมาชิก ในฐานะประเทศสมาชิก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาหลักการของความเสมอภาค พันธกรณีร่วมกัน และความเป็นศูนย์กลางของอาเซียน

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/mifer-union-minister-attends-30th-asean-economic-ministers-retreat-meeting/