การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติสู่แผนพัฒนา สปป.ลาว

กระทรวงแผนการและการลงทุนของสปป.ลาวจะให้ความสำคัญและรวมการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2564-2568) เพื่อลดผลกระทบและส่งเสริมการติดตามและคำเตือนขั้นสูงสำหรับภัยพิบัติ อธิบดีกรมวางแผนภายใต้กระทรวงการวางแผนและการลงทุนของสปป.ลาวกล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการประชุมเชิงปฏิบัติการให้คำปรึกษาเรื่องการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหารือเกี่ยวกับการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ เนื่องจากภัยพิบัติได้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาและการดำรงชีวิตของผู้คนโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำท่วม ภัยแล้งและแผ่นดินไหว ซึ่งประเทศได้รับผลกระทบในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะการพังของเขื่อนปิดกั้นช่องเขาส่วน D ที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน – เซน้ำน้อยน้ำท่วมในจังหวัดภาคกลางภาคใต้และภาคเหนือ รวมทั้งโรคสัตว์แมลงศัตรูพืชและการระบาดของ covid -19  ผู้เข้าร่วมได้รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับร่างแผน 5 ปีถัดไปตามข้อมูลของกระทรวงการวางแผนและการลงทุน ในระหว่างการประชุมผู้แทนกรมสวัสดิการสังคมภายใต้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมได้นำเสนอกฎหมายว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและยุทธศาสตร์ชาติเพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ

ที่มา : http://www.xinhuanet.com/english/2020-08/13/c_139287602.htm

จากเดือนมีนาคมมีสินเชื่อกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ในกัมพูชา

ภาคธนาคารเห็นการปรับโครงสร้างของเงินกู้ถึง 2.16 พันล้านดอลลาร์ ครอบคลุม 44,500 บัญชี ณ เดือนมิถุนายนปีนี้ ตามรายงานของสมาคมธนาคารแห่งกัมพูชา (ABC) โดยเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างจะไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการธนาคาร รวมถึงได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) ในการปรับโครงสร้างเงินกู้ โดย NBC กล่าวว่าธนาคารและสถาบันการเงินควรระบุลูกค้าที่คาดว่าจะประสบปัญหาทางการเงินอย่างชัดเจนก่อนที่จะปรับโครงสร้างเงินกู้ของผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้าง เพื่อช่วยเหลือต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงก่อน ซึ่งจากโครงสร้างเงินกู้ส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคการเกษตร การก่อสร้าง ธุรกิจขนาดเล็ก รวมไปถึงการกู้ยืมเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยจากข้อมูลของสมาคมการเงินรายย่อยกัมพูชาตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงวันที่ 9 สิงหาคมลูกค้าราว 266,820 ราย ยื่นขอปรับโครงสร้างเงินกู้เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ซึ่งลูกค้ามากกว่า 250,905 ราย ได้รับการอนุมัติสำหรับการปรับโครงสร้างเงินกู้คิดเป็นมูลค่ารวม 1.232 พันล้านดอลลาร์

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50754440/more-than-2billion-in-loans-restructured-from-march/

สมาพันธ์ข้าวกัมพูชากล่าวถึง FTA ระหว่างเกาหลี

ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างกัมพูชากับเกาหลี (FTA) คาดจะขยายศักยภาพการส่งออกข้าวของกัมพูชาตามข้อมูลของสหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) ที่เกิดขึ้นในการประชุมปรึกษาหารือกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ณ กระทรวงพาณิชย์ โดยการปรึกษาหารือมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมข้อมูลจากภาคเอกชนเพื่อสร้างรากฐานสำหรับการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างกัมพูชากับเกาหลี ซึ่งนอกจากการหารือถึงการขยายตลาดเพิ่มแล้วยังหมายถึงการสร้างการรับรู้ของข้าวที่ทำการปลูกและผลิตภายในประเทศกัมพูชาโดยเฉพาะข้าวอินทรีย์และข้าวกล้องให้เกิดการยอมรับในตลาดโลก

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50754722/rice-federation-upbeat-about-cambodia-korea-fta/

เวียดนามแซงหน้าไทยด้านราคาส่งออกข้าว

สำนักงานส่งเสริมการค้าเวียดนามในประเทศไทย เปิดเผยว่าข้าวขาวหัก 5% ต่อตันในเวียดนาม ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 15 ดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าชนิดเดียวกันจากไทยในตลาดโลก ซึ่งเมื่อวันที่ 8 สิ.ค. ราคาข้าวอยู่ที่ประมาณ 478 – 482 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน โดยราคาส่งออกข้าวของไทยที่ลดลงนั้น เป็นผลมาจากค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ราคาส่งออกข้าวของกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านสูญเสียความันจากไทยในตลาดจากประเท562อน ความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ ในปัจจุบันตามระบบ FOB ชี้ให้เห็นว่าราคาข้าวหัก 5% ของไทยอยู่ที่ 460 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สูงกว่าข้าวอินเดียราว 90 ดอลลาร์สหรัฐ และสูงกว่าข้าวเวียดนามราว 8 ดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลไทยเร่งพิจารณาปรับนโยบายการส่งออกข้าว เพื่อที่จะฟื้นฟูการส่งออกเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ได้แก่ เวียดนามและอินเดีย โดยจะมุ่งเน้นในการตลาด การลดต้นทุนการผลิตและการวิจัยสายพันธุ์ข้าวใหม่ นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ไทยยังร่วมมือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าว เพื่อที่จะหาพาร์ทเนอร์รายใหม่ในการขยายตลาด อย่างไรก็ตาม กรมแปรรูปและพัฒนาตลาด ระบุว่าในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 3.9 ล้านตัน มูลค่า 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ด้านปริมาณ ลดลงร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน, ด้านมูลค่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน)

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnam-outstrips-thailand-in-rice-export-price-417219.vov

เวียดนามเผยยอดขายรถยนต์ลดลงในช่วง 7 เดือนแรก

สมาคมผู้ผลิตรถยนต์เวียดนาม (VAMA) เปิดเผยว่าในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายรถยนต์อยู่ที่ 131,248 คัน ลดลงร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งยอดขายรถยนต์ส่วนบุคคลลดลงร้อยละ 29, รถเชิงพาณิชย์และรถที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ ร้อยละ 23 และ 39 ตามลำดับ ทั้งนี้ ในเดือน ก.ค. ยอดขายรถยนต์อยู่ที่ 24,065 คัน ลดลงร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค. 2562 สำหรับยอดขายรถยนต์ที่ประกอบในเวียดนาม 16,088 คัน ขณะที่รถยนต์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ 7,977 คัน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขยอดขายดังกล่าว ไม่ได้สะท้อนถึงการบริโภคของตลาดรถยนต์ทั้งประเทศ เนื่องจากยังไม่รวมยอดขายของผู้ผลิตที่ไม่ได้เป็นสมาชิก VAMA ได้แก่ Audi, Jaguar, Land Rover, Mercedes-Benz, Subaru, Volkswagen, Volvo และ Hyundai Thanh Cong เป็นต้น

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/automobile-sales-down-in-first-seven-months-417210.vov

บริษัทเยอรมันพร้อมลงทุนต่อไปในเมียนมา

บริษัท เยอรมันในเมียนมากำลังปรับลดการลงทุนและแผนการขยายธุรกิจเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 เมื่อเร็ว ๆ นี้คณะผู้แทนอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ของเยอรมันในเมียนมา (AHK) เปิดเผยรายงานการสำรวจแนวโน้มธุรกิจ – AHK World Business Outlook 2020 Results สำหรับเมียนมา – การวัดความเชื่อมั่นทางธุรกิจและผลกระทบของ coronavirus ที่มีต่อ บริษัท เยอรมันในเมียนมาร์ ผลการศึกษาพบว่าประมาณ 2 ใน 3 ของ บริษัท ที่ทำการสำรวจมีแผนที่จะลดการลงทุนเมื่อเทียบกับก่อนการระบาดของ COVID – 19 เนื่องจากความท้าทายและขาดความมั่นใจ มีเพียงร้อยละ 6.7 เท่านั้นที่วางแผนเพิ่มการลงทุนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จากรายงานคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเร็วที่สุดภายในปีหน้า  ร้อยละ46 ในการสำรวจคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะใช้เวลานานขึ้น มีเพียงร้อยละ6.7 เท่านั้นที่คาดว่าจะฟื้นตัวในปีนี้ มากกว่าสองในสามบริษัทมองว่าการขาดมาตรการสนับสนุนทางธุรกิจในการเอาชนะวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน ถึงกระนั้นมากกว่าร้อยละ 86 ระบุว่าพวกเขามุ่งมั่นที่จะให้เมียนมาเป็นที่ตั้งถาวรสำหรับธุรกิจ ปริมาณการค้ารวมระหว่างเมียนมาและเยอรมนีทะลุ 820 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2561-2562 ในปีนี้ส่งออกสินค้ามูลค่ารวม 620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าและสิ่งทอ ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องจักรและผลิตภัณฑ์ยา คณะกรรมการด้านการลงทุนและจดทะเบียนธุรกิจ (DICA) การลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทเยอรมนีในเมียนมาคือ Metro Wholesale ซึ่งมีช่องทางการค้าปลีกในประเทศประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/german-companies-myanmar-struggle-meet-investment-targets.html

สมาคมเมียนมา – อินเดีย เริ่มใช้ระบบนายหน้าในการนำเข้า-ส่งออกระหว่างประเทศ

สมาคมเมียนมา – อินเดียตอนบนเริ่มธุรกิจนายหน้าการค้าหลังจากเศรษฐกิจเมียนมากลับสู่สภาวะปกติหลังจากการระบาดของโควิด -19 เพื่อเชื่อมโยงผู้ค้าจากเมียนมาและอินเดีย แม้ว่าผู้ค้าจากอินเดียต้องการทำธุรกิจในเมียนมา แต่ยังไม่มีพันธมิตรหรือผู้เชื่อมโยงทางการค้า ดังนั้นหากผู้ค้าของอินเดียที่ค้าขายอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ หรือถั่วมา โดยสามารถจะเชื่อมโยงกับคู่ค้าในเมียนมาได้ ตั้งแต่การระบาดของ COVID-19 ในเดือนมีนาคมการค้าระหว่างสองประเทศหยุดชะงักลงและประตูพรมแดนที่รัฐชิน สะกาย และมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าหลัก ดังนั้นการค้าจึงดำเนินการผ่านเส้นทางเดินเรือเท่านั้น การค้าในปีงบประมาณ 2561-2562 มีมูลค่ารวม 201 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกมูลค่า 177.ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนการระบาดของ COVID-19 องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA)ได้ปรับปรุงถนนที่เชื่อมโยง Reed กับ Tiddim และ Kalay ในรัฐ Chin เพื่อเชื่อมโยงการค้า เมียนมาส่งออกถั่วพลูและถั่วเป็นหลักตลอดจนเสื้อผ้าและพลาสติกไปยังชายแดนของอินเดีย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2019 ในปีงบประมาณ 2562-2563 การส่งออกผ่านชายแดนจากสองเส้นทางนี้มีมูลค่าเพียง 34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/traders-broker-direct-imports-exports-between-myanmar-india.html

ประชาชนสปป.ลาวในต่างประเทศร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพประเทศ

ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาประชาชนสปป.ลาวอาศัยที่อยู่ในต่างแดนได้เดินทางกลับบ้านและมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ นายฮิมพรหมจันทร์สมาชิกแนวร่วมสปป.ลาวเพื่อการพัฒนาประเทศ(LFND)กล่าวในที่ประชุมในเวียงจันทน์ว่า “พวกเราแนวร่วมสปป.ลาวเพื่อการพัฒนาแห่งชาติ (LFND)ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกในการพัฒนาประเทศในช่วง 45 ปีที่ผ่านมา สปป.ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจของประเทศที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องรวมถึงการปรับปรุงมาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชน” ปัจจุบันประชาชนสปป.ลาวประมาณ 700,000 คนอาศัยอยู่ในเกือบทุกทวีป หลายคนออกจากสปป.ลาวตั้งแต่ปี 2518 และเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ถึงแม้จะไม่ได้อาศัยอยู่ในสปป.ลาวแต่ประชาชนกลุ่มนี้ก็มีส่วนร่วมในการระดมทุนเพื่อเป็นทุนในการก่อสร้างหรือซ่อมแซมโรงเรียนโรงพยาบาลและวัด รวมถึงมีการทำธุรกิจและถือหุ้นใน บริษัทต่างๆที่ดำเนินการในเวียงจันทน์และจังหวัดอื่น ๆ รัฐบาลสปป.ลาวได้ยืนยันนโยบายที่จะอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับของชาวสปป.ลาวที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศเพื่อให้พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศบ้านเกิดของตน

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_More156.php

กระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์สนับสนุนกฎหมายจัดตั้งสมาคมคุ้มครองผู้บริโภค

กระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ได้ออกกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของสมาคมคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภค ท่ามกลางความกังวลของสาธารณชนที่เพิ่มมากขึ้นว่านักธุรกิจบางรายกำลังปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคฉบับปี 2010 โดยสมาคมสามารถให้ความช่วยเหลือคำแนะนำทางเทคนิคสำหรับผู้บริโภคที่ไม่เห็นด้วยกับธุรกิจเกี่ยวกับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ยังสมาคมสามารถเป็นตัวแทนของผู้บริโภคในการไกล่เกลี่ยและฟ้องร้องทางกฎหมายต่อการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากสินค้าและผู้ให้บริการรวมถึงให้ข้อเสนอแนะสำหรับหน่วยงานต่างๆเพื่อให้สามารถปรับปรุงกฎระเบียบกฎหมายและกลไกต่างๆเพื่อปกป้องผู้บริโภคจากธุรกิจที่ไร้ศีลธรรมในสปป.ลาว ทั้งนี้ในการตัดสินใจของกระทรวงพาณิชย์ในการออกกฎระเบียบที่ครอบคลุมสมาคมคุ้มครองผู้บริโภคมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นรากฐานทางกฎหมายสำหรับองค์กรในการทำงานและให้บริการสาธารณะเป็นรากฐานสำคัญตัวหนึ่งที่จะมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในภายภาคหน้า

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Commerce156.php

กัมพูชามองถึงภาคการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

Impact Hub Phnom Penh ซึ่งได้รับทุนจาก Khmer Enterprise (KE) ภายใต้กระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก โดยกระทรวงการท่องเที่ยวกำลังจะเปิดตัวศูนย์ “Khmer Tourism for the Future incubator.” ซึ่งถือเป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความยืดหยุ่นและนวัตกรรมในภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากสถานการณ์ COVID-19 ที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งโปรแกรมนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การสนับสนุนบริษัทสตาร์ทอัพและธุรกิจอย่างเข้มข้น เพื่อพื้นฟูภาคการท่องเที่ยวในอีก 12 เดือนข้างหน้า รวมถึงเป็นการปูพื้นฐานเพื่อนำไปสู่อนาคตใหม่สำหรับภาคการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยโปรแกรมนี้ออกแบบมาสำหรับผู้ประกอบการที่มีต้นแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือธุรกิจที่มีศักยภาพที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศกัมพูชาในเชิงบวก

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50753983/re-imagining-sustainable-tourism/