สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงเป็นผู้นำขีดความสามารถในการแข่งขันรายจังหวัด

รองประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนาม (VCCI) แถลงรายงานตัวชี้วัดขีดความสามารถในการแข่งขันรายจังหวัด (PCI) เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. พบว่าจังหวัดที่อยู่ในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง (Mekong Delta) เป็นภูมิภาคชั้นนำทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีการประเมินว่าภูมิภาคดังกล่าวมีความพยายามในการพัฒนาหรือส่งเสริมคุณภาพทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2558-2562 ดัชนีจังหวัด PIC ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 คิดเป็น 5.95 คะแนน จาก 59 คะแนนในปี 2558 จนถึงปี 2561 อยู่ที่ 64.99 คะแนน ทั้งนี้ ในกลุ่ม 20 จังหวัดและเมืองที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุด พบว่าบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง มี 5 จังหวัดที่ติดอันดับ ได้แก่ ดงทับ, วินห์ลอง, เบ็นเต๋, ลองอันและแคนโถ เป็นต้น นอกจากนี้ ในบริเวณณพื้นที่ดังกล่าวมีขนาดยุ้งฉางข้าวใหญ่ที่สุดในประเทศ ประกอบไปด้วย 12 จังหวัดและอีก 1 เมืองศูนย์กลางภูมิภาค

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/mekong-delta-leads-in-provincial-competitive-index/174954.vnp

ผู้บริโภคสปป.ลาวได้รับผลกระทบจากราคาอาหารที่จำเป็นเพิ่มขึ้น

จากการระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลให้มีกิจการปิดตัวลงมากมาย ทำให้มีแรงงานตกงานจำนวนมากจากตัวเลขอัตราการว่างงานในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 25 ซึ่งจากเดิมที่อยู่ที่ร้อยละ 3 ในปีที่แล้ว ไม่เพียงแค่ปัญหาดังกล่าวที่สปป.ลาวต้องเผชิญในปัจจุบัน  แต่ในปัจจุบันระดับราคาสินค้าที่จำเป็นปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะอาหารสดจำพวกผักเช่น หัวหอม ผักชี พริกและมะเขือ ราคาเพิ่มขึ้นไปเกือบ 2 ซึ่งเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรได้ให้ความเห็นว่า “เป็นการยากที่จะควบคุมต้นทุนผักและสินค้าจำเป็นอื่น ๆ ในตลาดเนื่องจากการปรับตัวเป็นไปตามกฎอุปสงค์และอุปทานโดยคาดว่าราคาสินค้าดังกล่าวจะปรับตัวลงมาในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพราะจะเข้าสู่ช่วงหน้าฝนซึ่งจะทำให้มีผลผลิตออกมาจำนวนมากจนส่งผลให้ระดับราคามีการปรับตัวลง” ถึงอย่างไรก็ตามรัฐบาลกำลังหารือถึงแนวทางในการช่วยเหลือผู้บริโภคหากราคามีแนวโน้มสูงขึ้นไปอีก

ที่มา : https://www.rfa.org/english/news/laos/prices-06162020154319.html

กระทรวงฯเรียกร้องมีการเปิดโรงงานแปรรูปเม็ดมะม่วงหิมพานต์

กระทรวงเกษตรป่าไม้และการประมงได้เรียกร้องให้บริษัทผู้ปลูกต้นมะม่วงหิมพานต์ในเสียมเรียบเริ่มลงทุนในโรงงานแปรรูป เนื่องจากรัฐบาลกำลังพิจารณาจัดตั้งศูนย์วิจัยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ โดยบริษัท Sophorn Theary Peanich Co Ltd. ซึ่งได้รับสัมปทานที่ดินทางเศรษฐกิจ (ELC) 4,000 เฮคเตอร์ ในจังหวัดเสียมเรียบตั้งแต่ปี 2549 โดยทำสัญญากับกระทรวงเกษตรใน 2017 ที่จะปลูกต้นมะม่วงหิมพานต์บนพื้นที่ปลูก 1,232 เฮกตาร์ ซึ่งรัฐบาลแนะนำให้บริษัทควรเริ่มขยายพื้นที่เพาะปลูก และจัดตั้งโรงงานแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเม็ดมะม่วงหิมพานต์ โดยกระทรวงฯกล่าวว่าหากบริษัทสามารถลงทุนในโรงงานแปรรูปเม็ดมะม่วงหิมพานต์ได้จะส่งผลให้ภูมิภาคกลายเป็นศูนย์กลางการแปรรูปเม็ดมะม่วงหิมพานต์ในอนาคตและจะสร้างงานให้มากขึ้นในจังหวัด ซึ่งรายงานจากกระทรวงเกษตรแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ 190,141 ตัน ไปยังตลาดต่างประเทศในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50734356/ministry-calls-for-cashew-nut-processing-factory/

ธนาคาร SME อนุมัติ 2.3 ล้านดอลลาร์

SME Co-Financing Scheme (SCFS) ได้อนุมัติคำร้องขอกู้ยืมเงินจำนวน 13 ฉบับ โดยมีมูลค่าการอนุมัติของสินเชื่อรวม 2.338 ล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SME Bank แห่งกัมพูชากล่าวว่าการเบิกจ่ายทั้งหมดมีมูลค่า 1.908 ล้านดอลลาร์และคาดว่าจะมีการเบิกถอนเงินอีกจำนวน 4.3 แสนดอลลาร์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยปล่อยเงินกู้ยืมให้แก่ธุรกิจและกิจกรรมภายในประเทศหลายภาคส่วน เช่นการผลิตและการแปรรูปอาหาร, การผลิตสินค้าสำหรับภาคการท่องเที่ยว, การผลิตผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป, อะไหล่หรือชิ้นส่วนประกอบ รวมถึงการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ซึ่งโครงการ Co-Financing SME ของรัฐบาลมีวัตถุประสงค์ในการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุนและพัฒนา SMEs ท้องถิ่นในภาคต่างๆ ซึ่ง SMEs สามารถยืมเงินทุนหมุนเวียน 2 แสนดอลลาร์ และสำหรับเงินลงทุน 3 แสนดอลลาร์ ด้วยอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกินร้อยละ 7 ต่อปี ระยะเวลาการชำระคืน 7 ปีและหลักประกันขึ้นอยู่กับเกณฑ์ของ PFI แต่ละรายการ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50734391/2-3-million-approved-by-sme-bank/

การลงทุนในย่างกุ้งยังคงดำเนินต่อแม้จะการระบาด ของ COVID-19

การระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัสไม่ได้ทำให้นักลงทุนสนใจในย่างกุ้งลดลง ตั้งแต่ตรวจพบเชื้อ COVID-19 ในเมียนมาเมื่อเดือนมีนาคม ซึ่งมี 4  ธุรกิจที่ได้รับอนุมัติให้ลงทุน 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐในย่างกุ้ง การประชุมเชิงปฏิบัติการและโรงงานในยังดำเนินงานตามปกติและไม่ได้รับผลกระทบรุนแรง บริษัท 3 แห่งจากจีนและฮ่องกงและบริษัทท้องถิ่นแห่งหนึ่งได้รับอนุมัติให้ลงทุนในย่างกุ้ง ซึ่งการลงทุนคาดว่าจะสร้างตำแหน่งงานกว่า 656 ตำแหน่ง โดยผู้ผลิตเสื้อผ้าและรองเท้าเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในเขตย่างกุ้ง คณะกรรมการการลงทุนเขตย่างกุ้งจัดการประชุม 2 ครั้งต่อเดือนเพื่อตัดสินใจอนุมัติเงินลงทุนสูงสุด 5 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 6 พันล้านจัต

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/investments-yangon-continue-despite-pandemic.html

ยอดผู้โดยสารลดลงส่งผลกระทบต่อคนขับแท็กซี่อย่างหนัก

แท็กซี่ในเมียนมากำลังประสบปัญหาในการหาผู้โดยสารจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในย่างกุ้ง แม้เจ้าของอู่จะลดค่าเช่าลง (ประมาณ 50%) แต่จำนวนผู้โดยสารก็ลดลงอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นปี สำหรับค่าธรรมเนียมการเช่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันลดลงจาก 10,000 จัต เหลือ 5000 จัตต่อเดือน รถที่ใช้แก๊สจะมีการลดค่าธรรมเนียมจาก 15,000 จัตเหลือ 8,000 จัตต่อคัน คนขับ taxi รายหนึ่งเล่าว่าแต่ก่อนมีรายได้มากกว่า 40,000 จัตต่อวัน แต่ตอนนี้เหลือเพียง 20,000 จัตเท่านั้น

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/falling-demand-hits-taxi-drivers-hard.html

JICA สนับสนุนการพัฒนาสนามบินนานาชาติวัตไต

สำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (JICA) และกรมการบินพลเรือนของสปป.ลาวได้บรรลุข้อตกลงในการปรับปรุงสนามบินนานาชาติวัตไต JICA ซึ่งเป็นตัวแทนของกระทรวงโยธาธิการและการขนส่งได้ลงนามเพื่อดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนด้านเทคนิคเพื่อการปรับปรุงสนามบินอย่างต่อเนื่องรายละเอียดของโครงการจะมีการปรับปรุงอาคารสนามบินและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในรวมถึงการขยายรันเวย์และการพัฒนามาตรการต่างๆ ให้เป็นสากลและทันสมัยมากขึ้น ปัจจุบันสนามบินให้บริการผู้โดยสารประมาณ 1.8 ล้านคนต่อปีและคาดการณ์ไว้สำหรับปี 2020 จะมีผู้โดยสารมากกว่า 1.5 ล้านคน หากพัฒนาให้เต็มความจุท่าอากาศยานคาดว่าจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 3 ล้านคนต่อปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวของสปป.ลาวในอีกหลายทศวรรษที่จะมีการขยายตัวในอัตราที่สูงและเป็นปัจจัยที่สำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจของสปป.ลาว

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_JICA114.php

นายกรัฐมนตรีคาดการณ์เศรษฐกิจหดตัวมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.9 ในปีนี้

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศอาจหดตัวมาอยู่ที่ร้อยละ 1.9 ในปีนี้ เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 เป็นสำคัญ โดยการเติบโตของของประเทศขึ้นอยู่กับการส่งออกเสื้อผ้า, รองเท้า, การท่องเที่ยว, การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการเกษตร ซึ่งการส่งออกเสื้อผ้า, รองเท้าและการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการระบาดของ Covid-19 โดยนายกรัฐมนตรียังคงมองในแง่ดีว่าเศรษฐกิจของกัมพูชาจะกลับมาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ในปี 2564 เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์จากต่างประเทศ โดยคาดการณ์เงินเฟ้อจะอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ที่ร้อยละ 2.8 ในปีนี้และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยถึงร้อยละ 3.1 ในปีหน้าเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันระหว่างประเทศ ซึ่งธนาคารโลกกล่าวในรายงานล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่าเศรษฐกิจของประเทศมีแนวโน้มหดตัวระหว่างร้อยละ 1 ถึง 2.9 ในปีนี้ โดยถือเป็นอัตราการเติบโตที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ปี 2537 รวมถึงหน่วยงานจัดอันดับเครดิตของมูดี้ส์เมื่อเดือนที่แล้วคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจขยายตัวประมาณ 0.3% ในปี 2020 และ 6% ในปีหน้า

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50733913/pm-forecasts-economic-contraction-of-1-9-percent-this-year/

การค้าระหว่างกัมพูชากับไทยมีมูลค่าสูงถึง 3.1 พันล้านดอลลาร์ในรอบ 4 เดือน

การค้าระหว่างกัมพูชาและไทยมีมูลค่าสูงถึง 3.1 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 18.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยกัมพูชานำเข้าสินค้าจากไทย 2.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องจักร, สินค้าอิเล็คทรอนิคส์, เชื้อเพลิง, วัสดุก่อสร้าง, อาหาร, เครื่องสำอางและเครื่องใช้ในครัวเรือน ซึ่งกัมพูชาทำการส่งออกสินค้าไปยังไทยมูลค่า 687 ล้านดอลลาร์ จากการส่งออกสินค้าประเภทอัญมณีและผลิตผลจากฟาร์ม โดยทั้งสองประเทศกำลังมองหาการค้าทวิภาคีเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าให้ถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปีนี้เทียบกับ 9.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2562 และ 8.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2561 จากข้อมูลในอดีต

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50733994/cambodia-thailand-trade-hit-3-1-billion-in-four-months/

เวียดนามมียอดเกินดุลการค้า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพ.ค.

จากรายงานของกรมศุลกากรเวียดนาม เปิดเผยว่าในเดือนพ.ค. เวียดนามเกินดุลการค้า มีมูลค่าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเหตุนี้ ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ยอดเกินดุลการค้าสูงถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ข้อมูลเบื้องต้นของการค้าระหว่างประเทศ แสดงให้เห็นว่าในเดือนพ.ค. เวียดนามมีมูลค่าส่งออกอยู่ที่ 19.19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะเดียวกัน มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 18.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 0.9 อย่างไรก็ตาม ยอดส่งออกพุ่งสูงขึ้นไปยังตลาดส่งออกรายใหญ่ ได้แก่ จีน (2.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) รองลงมาสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปและอาเซียน เป็นต้น สำหรับสินค้าส่งออกที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, โทรศัพท์และชิ้นส่วน, เครื่องจักรและรองเท้า เป็นต้น นอกจากนี้ ตัวเลขทางสถิติในเดือนพ.ค. ชี้ให้เห็นว่าตลาดส่งออกเริ่มกลับมาฟื้นตัว ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnam-enjoys-us1-billion-in-trade-surplus-in-may-414911.vov