รัฐบาลอนุญาตให้ธุรกิจกลับมาเดินกิจการได้ปกติเปิดใหม่

รัฐบาลอนุญาตให้ธุรกิจกลับมาเดินกิจการได้ปกติเพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่ผู้จัดการโครงการและธุรกิจจะต้องปฏิบัติตามมาตรการเพื่อลดการแพร่กระจายของ Covid-19 อย่างเคร่งครัด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุนดร. Kikeo Chanthaboury ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะทำงานเฉพาะกิจที่รับผิดชอบในการจัดการกับผลกระทบทางเศรษฐกิจของ Covid- กล่าวว่า ” โครงการเหมืองแร่ 20 แห่ง, โครงการไฟฟ้า 13 แห่ง, โครงการรถไฟและทางด่วน, โรงงาน 20 แห่งในเขตพัฒนาที่ครอบคลุม ไชเชษฐาโรงงานเก้าแห่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษ สะหวัน-เซโน และโรงงาน 4 แห่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษจำปาสักสามารถดำเนินการต่อได้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโต” สถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติและศูนย์สถิติแห่งชาติสปป.ลาวคาดการณ์ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจะอยู่ในช่วง 3.3-3.6% ในปีนี้ซึ่งการคาดการณ์ใหม่นี้ถือเป็นอัตราที่ลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ถึง 7.2% ในปีนี้ลดลงมา 5.9% ซึ่งหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้นแล้ว รัฐบาลจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและเข้าสู่แผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจในแต่ละด้านต่อไป

ที่มา: http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt89.php

‘ฮอนด้าเวียดนาม’ เผยยอดขายในเดือน เม.ย. ดิ่งลงฮวบ

เหงียน ฮุย จุง (Nguyen Huy Trung) หัวหน้าแผนกความสัมพันธ์ภายนอกองค์กร เผยว่ายอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์และรถยนต์ ลดลงร้อยละ 72 และ 52 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ตามลำดับ เนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งการระบาดดังกล่าวส่งผลให้ผู้ผลิตต้องระงับการผลิต ตั้งแต่ต้นเดือนจนถึงวันที่ 22 เม.ย. ยิ่งไปกว่านั้น ตัวแทนจำหน่ายก็ต้องตกงาน สาเหตุจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) สำหรับยอดขายรถจักรยานยนต์ในเดือนนี้ อยู่ที่ 61,752 คัน และรถยนต์ 843 คัน ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่าเมื่อปลายเดือนเม.ย. กระทรวงวางแผนและการลงทุน (MPI) ได้รับคำเสนอมาแล้วเกี่ยวกับการดำเนินงานและคำแนะนำถึงปัญหาที่ผู้ผลิตรถยนต์เผชิญจากผลกระทบของเชื้อไวรัสโควิด-19

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/honda-vietnams-sales-plummet-in-april-413580.vov

IMF คาดการณ์การเติบโตของ GDP เวียดนาม ไว้ที่ 7% ในปี 2563

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจเวียดนามมีแนวโน้มชะลอตัวลงแตะที่ร้อยละ 2.7 ในปีนี้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ มาตรการควบคุมโรคเข้มงวดของเวียดนาม, ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกและอุปสงค์ในประเทศอ่อนแอลง คาดว่าอัตราการขยายตัวเฉลี่ยทางเศรษฐกิจของเวียดนามที่ระดับร้อยละ 7 ในช่วงปี 2561-2562 ‘บางภาคอุตสาหกรรม คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว การขนส่งและที่อยู่อาศัย’  อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจเวียดนามอาจกลับมาฟื้นตัวที่ระดับร้อยละ 7 ในปี 2564 ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการผ่อนคลายทางการเงินและการคลัง รวมถึงเวียดนามมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnams-gdp-to-grow-by-7-in-2020-imf-forecasts-413573.vov

ท่าเรือใหม่จะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนภาคท่องเที่ยวของกัมพูชา

การก่อสร้างท่าเรือสำหรับการท่องเที่ยวแห่งใหม่ในจังหวัดกัมปอตเสร็จสมบูรณ์แล้วกว่า 30% และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกลางปีตามที่สำนักงานการท่องเที่ยวจังหวัดกัมปอตได้รายงานไว้ โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ได้อนุมัติเงินกู้วงเงิน 8 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งท่าเรือแห่งนี้จะมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาในจังหวัดและจะมอบผลประโยชน์ทางด้านต่าง ๆ ให้กับชาวกัมปอต อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีการระบาดของ COVID-19 โครงการจึงล่าช้าออกไป ท่าเรือแห่งนี้จะอำนวยความสะดวกในการเดินทางไปตามชายฝั่งกัมพูชาและเพิ่มการไหลเวียนของนักท่องเที่ยวจากประเทศเวียดนามและประเทศไทย จากการศึกษาท่าเรือท่องเที่ยวจะสามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวกว่า 4,000 คนต่อวันที่ต้องการเดินทางผ่านจังหวัดกำปอต โดยปีที่ผ่านมาจังหวัดกำปอตได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวประมาณ 1.6 ล้านคนทั้งในและต่างประเทศ ในจำนวนนั้น 10% เป็นนักท่องเที่ยวต่างประเทศและส่วนใหญ่มาจากเวียดนาม สหภาพยุโรปและเอเชียแปซิฟิก ปัจจุบันกำปอตมีแหล่งท่องเที่ยว 17 แห่ง ชุมชนท่องเที่ยว 4 แห่ง

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50721748/new-port-will-boost-tourism/

เที่ยวบินปกติในกัมพูชายังไม่ถูกยกเลิก

ผู้ดำเนินการสายการบินของกัมพูชากล่าวว่าการเดินทางทางอากาศในท้องถิ่นจะใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีในการฟื้นฟูหลังจากการระบาดสิ้นสุดลงตามคำกล่าวของประธาน บริษัท กัมพูชาอังกอร์แอร์ โดยกล่าวว่าทางสายการบินได้รับผลกระทบจากการระของ COVID-19 ซึ่งอังกอร์แอร์ให้บริการเพียงหนึ่งเที่ยวบินภายในสองวันระหว่างพนมเปญและเสียมเรียบ โดยบริษัทได้เตรียมทรัพยากรเพื่อดำเนินการต่อทันทีเมื่อการระบาดใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุม ซึ่งบริษัทประมาณการว่าการเดินทางทางอากาศในท้องถิ่นจะใช้เวลาอย่างน้อย 12 ถึง 15 เดือนในการฟื้นตัวสู่ภาวะปกติ โดยการเดินทางโดยเครื่องบินขึ้นอยู่กับจำนวนนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ แต่ตอนนี้ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวทรุดตัวลงเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะสูญเสียทรัพยากรไปแต่ทางบริษัท ไม่สามารถปิดเที่ยวบินได้เพราะต้องการให้เที่ยวบินดำเนินต่อไป โดยสายการบินในภูมิภาคอื่น ๆ เริ่มทยอยนำเที่ยวบินสู่สนามบินนานาชาติของกัมพูชาในเดือนนี้อย่างช้าๆ ภายใต้แนวทางการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพอย่างเข้มงวด ตามรายงานของกระทรวงมีนักท่องเที่ยวภายในประเทศ 1.4 ล้านคนในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลง 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 38% มาอยู่ที่ 1.15 ล้านคน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50721798/regular-air-travel-not-lifting-off/

การท่องเที่ยวเมียนมาคาดฟื้นตัวได้ดีสุดในอีกสองปี

ผู้ประกอบการท่องเที่ยวกล่าวว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเมียนมาคาดว่าจะปิดตัวลงในช่วงที่เหลือของปีเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 การฟื้นตัวของภาคธุรกิจขึ้นอยู่กับความสามารถของประเทศในการควบคุมการแพร่กระจายของ COVID-19 ในขณะเดียวกันคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยลงในอีกสองปีข้างหน้า แม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะเริ่มดำเนินการอีกครั้งหลังจากเกิดวิกฤตการณ์ COVID-19 แต่จะมีเพียงนักเดินทางจากประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น นักท่องเที่ยวในประเทศอาจกลับมาภายในสิ้นปีนี้ แต่สำหรับทศกาลติงจัน (Thingyan) จะฟื้นตัวในปีหน้า

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/tourism-operators-expect-recovery-two-years-best.html

“โควิด” ฉุดความเชื่อมั่นดิ่งเหว คลายล็อกดาวน์สะพัด 2 แสนล้าน

ดัชนีความเชื่อมั่นไทยติดลบในรอบเกือบ 22 ปี หลังโควิด-19 ฉุดเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรก 2563 ติดลบ 10% เข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค ส่วนผลการคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 1 ช่วยเงินสะพัด 6-9 หมื่นล้าน ลุ้นเศรษฐกิจฟื้นไตรมาส 4 ายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเมษายน 2563 อยู่ที่ระดับ 47.2 ลดลงจากเดือนมีนาคม 2563 ที่อยู่ในระดับ 50.3 ซึ่งติดลบต่อเนื่องต่ำสุดในรอบ 259 เดือน หรือ 21 ปี 7 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 39.2 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำอยู่ที่ระดับ 46.0 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 56.4 โดยเป็นผลจากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่กระทบต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจ และรายได้โดยรวม และการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อบริหารจัดการและควบคุมสถานการณ์ ทั้งนี้การรีสตาร์ตธุรกิจส่งผลต่อธุรกิจ การจับจ่ายใช้สอยในประเทศ มาตรการช่วยเหลือของรัฐ การกระตุ้นเศรษฐกิจทางด้านการลงทุน จะส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เพราะจากปัญหาปัจจุบัน การล็อกดาวน์ทำให้เม็ดเงินหายไปจากระบบวันละ 10,000 ล้านบาท จากการชะลอจับจ่ายของประชาชนในทุกกลุ่มสินค้า การท่องเที่ยว สินค้าจำเป็น สินค้าฟุ่มเฟือย สำหรับแนวโน้มการปลดล็อกให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศเป็นสัญญาณที่น่าจะเกิดขึ้นได้ในไตรมาส 3 และถ้าสถานการณ์ของการปลอดเชื้อโควิด-19 ในเอเชีย และทั้งโลกดีขึ้น คาดว่าไตรมาส 4 นักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะเริ่มกลับมา 6 ล้านคน หรือเดือนละประมาณ 2 ล้านคน ขึ้นอยู่กับมาตรการของรัฐ โดยจะทำให้การท่องเที่ยวไทยฟื้นเร็วขึ้น

ทีมา: https://www.prachachat.net/economy/news-462105

ความคืบหน้าร่างกฎหมายภาษีซ้ำซ้อนระหว่างกัมพูชาระ มาเลเซียและเกาหลีใต้

ข้อตกลงการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนของกัมพูชากับมาเลเซียและเกาหลีใต้ใกล้ที่จะบรรลุเนื่องจากรัฐบาลได้ส่งร่างกฎหมาย DTA กับทั้งสองประเทศไปยังฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อขออนุมัติร่างกฎหมาย ตามที่รัฐบาลร่างกฎหมาย DTA กับทั้งสองประเทศได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นหลัก ซึ่งผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายนโยบายภาษีและความร่วมมือด้านภาษีระหว่างประเทศ ณ กรมสรรพากรกล่าวว่า DTA ไม่เพียง แต่จะส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับธุรกิจในหมู่หุ้นส่วน แต่ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อปูทางสู่การเข้าถึง ข้อตกลงการค้า (FTA) กับพันธมิตรที่มีศักยภาพ โดยบริษัท DFDL หุ้นส่วนด้านภาษีและหัวหน้าฝ่ายภาษีของกัมพูชากล่าวว่าเครือข่าย DTA ที่แข็งแกร่งนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกัมพูชาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องการแข่งขันเพื่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเสริมว่า DTAs จะช่วยรัฐบาลในการต่อสู้กับการพังทลายของฐานภาษีของพวกเขาโดยการจัดเตรียมการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยหน่วยงานภาษีของผู้ลงนามที่เกี่ยวข้องกับ DTAs ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50723892/double-tax-draft-law-with-malaysia-and-south-korea-shows-progress/

พิษ COVID-19 อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยสู่จุดต่ำสุดในรอบ 9 ปี

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ปริมาณการผลิตรถยนต์ในปี 2563 อาจหดตัวลงประมาณร้อยละ 21-25 นับว่าต่ำสุดในรอบกว่า 9 ปี เนื่องจากการส่งออกที่อาจลดต่ำลงมากไปแตะระดับ 750,000 – 780,000 คัน จากปีก่อนส่งออกได้กว่า 1 ล้านคัน ซึ่งวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ไปทั่วโลกในปัจจุบัน ส่งผลต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไทยในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยทั้งในไทยและในระดับโลกอันเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อคำสั่งซื้อรถยนต์จากทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ยอดขายในประเทศก็มีความเสี่ยงที่จะลดลงไปแตะระดับ 800,000 – 820,000 คัน หรือหดตัวร้อยละ 19 – 21 จากปีก่อน ส่วนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์สู่ภาวะปกติอีกครั้งคาดว่า อาจเป็นช่วงกลางปี 64 หรือต้นปี 65 หลังเศรษฐกิจโลกจะทยอยฟื้นฟู นอกจากนี้ทำให้เห็นถึงปัญหาสำคัญในรูปแบบกระบวนการผลิตปัจจุบันซึ่งมีการพึ่งพิงฐานการผลิตเดียวมากเกินไปชัดเจนขึ้น ทำให้ค่ายรถและผู้ผลิตชิ้นส่วนอาจต้องพิจารณาปรับเปลี่ยนใหม่ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในอนาคต ด้วยการกระจายความเสี่ยงในการจัดหาชิ้นส่วนรถยนต์ในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้ แนวทางที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าค่ายรถและผู้ผลิตชิ้นส่วนจะนำมาใช้นับจากนี้อาจแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือการลดระดับระบบการผลิตแบบ Just In Time ลง ขณะที่อีกแนวทางเน้นลดการพึ่งพิงฐานการผลิตเดียวโดยการโยกฐานการผลิตออกสู่ประเทศที่เป็นฐานผลิตระดับยุทธศาสตร์ของภูมิภาค อาจจะทำให้เกิดทิศทางการจัดห่วงโซ่อุปทานการผลิตรูปแบบใหม่ที่ชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีโอกาสจะดึงดูดการลงทุนเข้ามาได้ แต่การเตรียมพร้อมรับมืออย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศใช้ระบบอัตโนมัติในกระบวนการผลิตมากขึ้นจะช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันกับประเทศฐานผลิตอื่น โดยเฉพาะกับอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังขยายตัว

ที่มา : https://news.thaipbs.or.th/content/292174