การศึกษาทางไกลจะเป็นรากฐานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของสปป.ลาว

กระทรวงศึกษาธิการและกีฬาได้เริ่มผลิตโปรแกรมการศึกษาออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคมหลังจากที่รัฐบาลสั่งให้โรงเรียนและสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งปิดทำการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคมถึง 21 เมษายนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อของไวรัส Covid-19 โดยโปรแกรมการศึกษาทางไกลเหล่านี้คาดว่าจะออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติลาวตั้งแต่เวลา 8:00 น. ถึง 8:30 น. และมีกำหนดออกอากาศทุกวันตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ ผ่านช่องทางต่างๆทั้งจากสถานีโทรทัศน์ คลื่นวิทยุ และสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ทั้ง Facebook YouTube ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการจะมีการพัฒนาและผลักดันให้มีการเรียนออนไลน์กันมากขึ้นเพราะไม่เพียงแค่เพื่อแก้ปัญหาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส covid-19 แต่รัฐบาลสปป.ลาวมีเป้าหมายที่ต้องการวางรากฐานการศึกษาออนไลน์ให้มีคุณภาพเพื่อเป็นโครงสร้างที่ดีในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพมากขึ้นซึ่งการนำระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตมาใช้จะทำให้ประชาชนสปป.ลาวสามารถเข้าถึงได้ทั่วประเทศนั้นเอง

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Distance_71.php

การคาดการณ์ GDP ใหม่ของกัมพูชาไม่ดีนัก

ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ได้คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของกัมพูชาไว้อยู่ที่ 2.3% ในปีนี้และจะอยู่ที่ราว 5.7% ในปี 2564 ตามรายงานฉบับใหม่ของ ADB ซึ่งตีพิมพ์ในรายงาน “Asian Development Outlook 2020” โดย ADB กล่าวว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาจะลดลงเหลือ 2.3% ในปี 2020 อันเป็นผลโดยตรงจากการระบาดของ COVID-19 ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้การเข้าถึงตลาดส่งออกสำคัญของกัมพูชาลดลงเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าเศรษฐกิจของกัมพูชาจะฟื้นตัวกลับมาเติบโตอยู่ในระดับ 5.7% ในปี 2564 โดยสันนิษฐานว่าการระบาดใหญ่ในครั้งนี้จะสิ้นสุดลงและกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาเป็นปกติภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสมในการตอบสนองต่อวิกฤติดังกล่าว รวมถึงการให้การสนับสนุนค่าจ้างสำหรับคนงานภาคผลิตเสื้อผ้า การบรรเทาด้านภาษีและเครดิตสำหรับธุรกิจ โดย ADB กล่าวว่าภาคบริการของกัมพูชาคาดว่าจะหดตัวร้อยละ 1.7 ในปี 2020 เนื่องจากการท่องเที่ยวลดลง รวมถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมนั้นคาดว่าจะชะลอตัวลงถึง 6.5% ด้วยการชะลอตัวของการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพื่อการส่งออกและภาคการก่อสร้างที่เติบโตช้าลง

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50709859/new-gdp-prediction-is-not-optimistic/

มูลค่าทางการค้าระหว่างกัมพูชาและญี่ปุ่นอยู่ที่ 2.3 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562

การค้าระหว่างประเทศของกัมพูชาและญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 13% ในปีที่แล้วมาอยู่ที่ 2,292 ล้านเหรียญสหรัฐจากรายงานล่าสุดขององค์การการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) โดยการเพิ่มขึ้นนี้แสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในห้าประเทศผู้นำเข้าหลักจากกัมพูชา ซึ่งรายงานระบุว่าระหว่างเดือนมกราคมถึงธันวาคม 2562 กัมพูชาส่งออกสินค้าไปญี่ปุ่นมูลค่า 1,730 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 7.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนการนำเข้าของกัมพูชาจากญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 33.4% ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 562 ล้านเหรียญสหรัฐ จากรายงานของธนาคารแห่งชาติกัมพูชาแสดงให้เห็นว่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศในปี 2019 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 14.53 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562 เพิ่มขึ้น 12.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยการนำเข้ารวมของกัมพูชามีมูลค่าอยู่ที่ 22.19 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีที่แล้วคิดเป็นเพิ่มขึ้น 18.6% ในปีที่แล้ว ซึ่งญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ โดยสหรัฐฯเป็นอันดับแรก

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50709857/cambodia-and-japan-2-3-billion-record-trade-in-2019/

GRDP นครโฮจิมินห์ คาดเศรษฐกิจโต 14.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสแรก

ตามรายงานของสำนักงานสถิตินครโฮจิมินห์ เปิดเผยว่าผลผลิตมวลรวมในประเทศของนครโฮจิมินห์ (GRDP) ในไตรมาสแรกของปี 2563 อยู่ที่ 335.6 ล้านล้านด่ง (14.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หากจำแนกสาขาเศรษฐกิจ พบว่าภาคเกษตร ป่าไม้และประมง ขยายตัวร้อยละ 4.06, ภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ 3.13 ในอีกด้านหนึ่ง ภาคการค้าและบริการ ลดลงร้อยละ 1.23 เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งอัตราการเติบโตทุกภาคส่วนและสาขาเศรษฐกิจรวม หดตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเฉพาะภาคการค้าและบริการที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ทั้งนี้ สาขา 5 ใน 9 อุตสาหกรรมสำคัญ มีการขยายตัวในทิศทางลบ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ (12.85%), การศึกษาและการฝึกฝน (26.57%) และบริการที่พักและจัดงานเลี้ยง (31.69%)

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/ho-chi-minh-citys-grdp-estimated-at-1426-billion-usd-in-q1/171241.vnp

“ผู้ผลิตเมลามีนไทย” ขยายการลงทุนในเวียดนาม

ผู้ผลิตเมลามีนชั้นนำไทย “บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน)” กำลังเร่งผลักดันการลงทุนในเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่มีโอกาสในการเติบโตค่อนข้างสูง ตามรายงานของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ระบุว่าประธานกรรมการ คุณสนั่น อังอุบลกุล จะดำเนินการลงทุน 450 ล้านบาท (13.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปีนี้ เพื่อขยายธุรกิจไปยังเวียดนาม โดยจากเงินทุนทั้งหมดนั้น มูลค่า 300 ล้านบาท จะนำไปติดตั้งเครื่องจักรใหม่ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต PET preform และอีก 150 ล้านบาท ที่จะนำไปก่อสร้างโรงงานเมลามีนใหม่ในเมืองโฮจิมินห์ รวมถึงติดตั้งเครื่องจักรใหม่ในโรงงานแห่งนี้อีกด้วย ทั้งนี้ การก่อสร้างโรงงานเมลามีน จะเริ่มภายในอีก 1-2 เดือน และดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า ซึ่งตลาดปัจจุบันยังคงเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 คาดว่ายอดขายจะอยู่ที่ 8.62 พันล้านบาท ในปีนี้ ลดลงร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ถึงแม้ว่ามีความต้องการอาหารและเครื่องดื่มผ่านช่องทางการจัดส่งอย่างมาก และธุรกิจคาดว่ายอดขายในไตรมาสแรก จะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท ต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า แต่ที่สำคัญที่สุด คือ แนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนค่า จากอัตราของปีที่แล้ว

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/thai-melamine-maker-ramps-up-investment-in-vietnam/171250.vnp

เมียนมาอนุมัติสินเชื่อกองทุน COVID-19 สำหรับบริษัทขนาดเล็ก 400 แห่ง

คณะกรรมการลงทุนของเมียนมา (MIC) เผยมีการปล่อยสินเชื่อฉุกเฉินให้กับธุรกิจขนาดเล็กประมาณ 400 แห่งที่ประสบกับความเสียหายจากการแพร่กระจายของ COVID-19 ไปทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลางและเล็กรวมถึงโรงแรมและการท่องเที่ยว โดยวางแผนที่จะออกกองทุนชุดแรกในวันที่ 9 เมษายน2563 หลังจากวันหยุดเทศกาลตะจาน โครงการเงินกู้ประกาศเมื่อวันที่ 29 มีนาคมโดยสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งสหภาพเมียนมา (UMFCCI) และสำนักงานของรัฐและภูมิภาคเริ่มรับคำขอกู้ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคมกำหนดและส่งใบสมัครภายในวันที่ 9 เมษายน เพื่อหลีกเลี่ยงความแออัดผู้สมัครสามารถกรอกไปสมัครผ่านแอปพลิเคชันได้ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2563ผ่าน https://umfccicovid19loan.mitcloud.com

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/loans-approved-covid-19-fund-400-small-firms.html

รัฐบาลยกเลิกเทศกาลตะจานในย่างกุ้งและมัณฑะเลย์

เมียนมากำลังจำกัดการเคลื่อนไหวของผู้คนในเมืองใหญ่สองเมืองคือย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ในช่วงเทศกาลตะจาน(Thingyan) ระหว่างวันที่ 10-17 เมษายนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส COVID-19 เมียนมามีผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 จำนวน 21 รายและมีผู้เสียชีวิตหนึ่งรายและรัฐบาลกังวลว่าอาจเกิดการระบาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากที่มีการอพยพแรงงารจำนวนหมื่นคนในช่วงวันหยุด ในวันที่ 3 เมษายน 2563 คณะรัฐมนตรีมัณฑะเลย์ประกาศจำกัดการเดินทางเข้าและออกจะมีผลตั้งแต่วันที่ 7 เมษายนถึง 21 เมษายน 2563 หลังจากนั้นจะมีการตัดสินใจว่าจะขยายเวลาออกไปหรือไม่ ซึ่งร้านขายยาและสินค้าจำเป็นเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้เปิดได้

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/govt-cancels-annual-thingyan-celebrations-yangon-mandalay.html

เอ็กซิมแบงก์ใจถึงพักต้น-ดอกยาว6เดือน ช่วยผู้ส่งออก

เอ็กซิมแบงก์ ใจถึงลุยพักหนี้ ทั้งต้น-ดอกยาว 6 เดือนช่วยผู้ส่งออก พร้อมให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำใช้หมุนเวียน ผ่อนยาว 7 ปี วงเงิน 20 นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกมาตรการดูแลลูกที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิดโดยให้พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน โดยขณะนี้ได้ติดต่อไปยังลูกค้าโดยตรงและได้พักต้นพักดอกไปได้แล้วกว่า 1,400 ราย วงเงินกว่า 30,000 ล้านบาท และหากรายใดทำประกันการส่งออกไปยังผู้ซื้อประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตามประกาศขององค์การอนามัยโลก จะยืดเวลาจ่ายเบี้ยคุ้มครองสูงสุดถึง 270 วัน นอกจากนี้ธนาคารยังช่วยเหลือผู้ส่งออก ที่เป็นลูกค้าและไม่ใช่ลูกค้าเอ็กซิมแบงก์ให้สามารถขอสินเชื่อระยะยาวดอกเบี้ยต่ำได้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกวงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท ชำระคืน 7 ปี  ดอกเบี้ย 2% ต่อปีในปีที่ 1-2 และฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน บสย. 2 ปีแรก แต่ถ้าต้องการวงเงินเกิน 20 ล้านบาท จะต้องขอกู้ไปลงทุน ลักษณะสินเชื่อระยะยาว 7 ปี ดอกเบี้ย 2% ต่อปีใน 2 ปีแรก วงเงินสูงสุดถึง 100 ล้านบาทได้…

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/767381

‘กรมเจรจาฯ’ แนะผู้ประกอบการเพิ่มแปรรูปผลไม้พร้อมใช้เอฟทีเอช่วยขยายตลาดช่วงวิกฤตโควิด-19

อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายประเทศมีความต้องการบริโภคอาหารที่เก็บไว้ได้นานโดยไม่เน่าเสียเพิ่มขึ้น จึงแนะนำให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในกลุ่มสินค้าผลไม้ปรับเปลี่ยนรูปแบบผลผลิต โดยเน้นการผลิตและส่งออกผลไม้แปรรูปมากขึ้น ที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ผลไม้กระป๋องและผลไม้แปรรูปของไทย ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพ รวมถึงมีศักยภาพในการผลิตและส่งออกสูงเป็นอันดับที่ 5 ของโลก ซึ่งความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ผลไม้กระป๋องและผลไม้ แปรรูปของไทยเติบโตได้ในตลาดโลก โดยปัจจุบัน 13 ประเทศคู่เอฟทีเอ ได้แก่ อาเซียน 9 ประเทศ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และฮ่องกง ได้ยกเลิกภาษีศุลกากรที่เก็บกับสินค้าผลไม้กระป๋องและแปรรูปทุกรายการจากไทยแล้ว เหลือเพียง จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และเปรู ที่ยังคงเก็บภาษีนำเข้าบางรายการ เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกผลไม้กระป๋องและแปรรูปของไทย ปีก่อนที่ไทยจะมีเอฟทีเอฉบับแรกกับอาเซียนในปี 35 จนถึงปัจจุบัน การส่งออกสินค้าผลไม้กระป๋องและผลไม้แปรรูปของไทยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 190 ประเทศคู่ค้าสำคัญ 5 อันดับแรก คือ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป อาเซียน ญี่ปุ่น และ จีน ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคสมัยใหม่ที่ต้องการความสะดวกในการดำเนินชีวิตมากขึ้น และในช่วงที่สินค้าผลไม้สดกำลังเผชิญปัญหาการส่งออกชะงักงันจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงถือเป็นโอกาสที่เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยจะเพิ่มการแปรรูปสินค้าผลไม้สด เป็นผลไม้กระป๋องและผลไม้แปรรูป

ที่มา : https://www.ryt9.com/s/beco/3111542

นครโฮจิมินห์ดึงดูดการลงทุน FDI ลดลง 33% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในช่วงไตรมาสแรก

จากข้อมูลของสำนักงานสถิตินครโฮจิมินห์ ระบุว่านครโฮจิมินห์ดึงดูดเม็ดเงินทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในวันที่ 20 มีนาคม ลดลงร้อยละ 33 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีจำนวน 290 โครงการใหม่ ด้วยเงินทุนจดทะเบียน 142.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ จำนวนโครงการใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมูลค่ารวมกันลดลงร้อยละ 50.7 สำหรับโครงการที่มีอยู่ มีมูลค่า 80.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าจากการซื้อหุ้น 829.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ การลงทุนเชิงพาณิชย์ใหม่ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 60 ของเงินทุนใหม่ทั้งหมดในโครงการใหม่ นอกจากนี้ จาก 37 ประเทศที่เข้ามาลงทุนในนครโฮจิมินห์ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกงและญี่ปุ่น เป็นต้น ในด้านการลงทุนในประเทศนั้น นครโฮจิมินห์มีจำนวนธุรกิจก่อตั้งใหม่ 8,100 ราย ด้วยเงินทุนจดทะเบียน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 30.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ที่มา :https://vietnamnews.vn/economy/674564/fdi-into-hcm-city-in-q1-drops-33-year-on-year.html