ผู้ค้าข้าวในกัมพูชาเริ่มส่งออกข้าวไปยังตลาดจีนมากขึ้น

เจ้าหน้าที่ของจีนตกลงที่จะเร่งการตรวจสอบใบสมัครของ บริษัท ในกัมพูชากว่า 40 แห่ง ที่ต้องการส่งออกข้าวไปยังตลาดจีน โดยสำนักงานควบคุมคุณภาพตรวจสอบและกักกันโรค (AQSIQ) ของประเทศจีน และกระทรวงเกษตรของกัมพูชาพบกันเพื่อหารือเกี่ยวกับการส่งออกข้าวของกัมพูชาไปยังประเทศจีน ซึ่งประธานสหพันธ์ข้าวกัมพูชากล่าวว่าการส่งมอบข้าวไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงเก้าเดือนแรกของปีเพิ่มขึ้น 44% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยจากข้อมูลของ CRF กัมพูชาส่งออกข่าว 157,793 ตันไปยังประเทศจีนตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกันยายนคิดเป็นกว่า 39.6% ของการส่งออกข้าวทั้งหมดของกัมพูชา ซึ่งเมื่อปีที่แล้วไม่สามารถส่งออกข้าวได้ตามโควต้าที่ทางจีนกำหนดโดยส่งออกไปเพียง 170,000 ตันจากจำนวนโควต้าที่ได้รับอนุญาตที่ 300,000 ตัน อย่างไรก็ตามในปีนี้ CRF มั่นใจว่ากัมพูชาจะสามารถส่งออกข้าวได้เต็มจำนวนโควต้าที่ได้รับอนุญาต

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50653395/more-local-rice-traders-set-to-export-to-chinese-market/

รัฐบาลกัมพูชาจะซื้อ Cintri เพื่อแก้ไขปัญหาขยะภายในประเทศ

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนประกาศว่ารัฐบาลจะเข้าถือครองและจัดการ Cintri (กัมพูชา) ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ทำสัญญาเพื่อรวบรวมและจำกัดขยะในเมืองหลวง โดยมองเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงคือมีขยะเป็นจำนวนมากบวกกับปัญหารถติดและที่จอดรถไม่เพียงพอ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ขอให้กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังรวมถึงศาลาว่าการพนมเปญทำงานร่วมกับ Cintri ในการเข้าซื้อกิจการเพื่อให้เกิดบริการที่ดีขึ้น  โดยอดีตเมืองนี้มีขยะเพียง 500 ตันต่อวัน แต่ปัจจุบันสูงถึง 3,000 ตันต่อวัน เกิดจากการขยายตัวของเศรษฐกิจของเมืองอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะจัดการระบบในการทำงานใหม่โดยจะมี บริษัทเอกชนรายอื่นเข้ามาร่วมในการดำเนินการเพื่อไม่ให้เป็นการผูกขาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการให้ดีขึ้น โดยในทุกๆวัน กรุงพนมเปญสร้างขยะถึง 2-3 พันตันต่อวันซึ่งเป็นขยะพลาสติกกว่า 600 ตัน โดยรวมแล้วกัมพูชาสร้างขยะมากกว่า 10,000 ตันต่อวันหรือมากกว่า 3.6 ล้านตันต่อปี ซึ่งรวมถึงขยะมูลฝอยทุกประเภทในครัวเรือนและขยะอุตสาหกรรมอื่นๆ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50653397/government-will-buy-cintri-pm/

การลงทุนในอุตสาหกรรมสปป.ลาวซบเซา

อัตราการเติบโตของโรงงานในสปป.ลาวยังคงอยู่ในระดับปานกลาง แม้รัฐบาลจะปรับปรุงนโยบายและกฎระเบียบเพื่อดึงดูดนักลงทุน จำนวนโรงงานเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5 ต่อปี สปป.ลาวมีโรงงาน 13,148 แห่งในปี 59 ซึ่งรวมถึงหน่วยงานขนาดใหญ่ ขนาดกลางขนาดเล็กและครัวเรือน ปัญหาหลักในการประเมินในเชิงลึกของแต่ละอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถทำได้คือการรวบรวมข้อมูล อย่างไรก็ตามสถิติที่เก็บรวบรวมพบว่ามีโรงงานขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้โดยประมาณร้อยละ 80 เป็นธุรกิจครัวเรือน ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในการรักษาสิ่งแวดล้อมนั้นไม่เพียงพอ โรงงานหลายแห่งใช้พลังงานมากและปล่อยมลพิษทางอากาศในอัตราที่สูง โดยมีชาวต่างชาติเป็นเจ้าของบริษัท 354 แห่ง เป็นกิจการร่วมค้า 2,115 บริษัท และการลงทุนในประเทศ 10,679 บริษัท โรงงานขนาดใหญ่ 714 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 5.43  ขนาดกลาง 784 แห่งหรือร้อยละ 5.96 ขนาดเล็ก 6,707 แห่งหรือร้อยละ 51.01 และเวิร์กช็อปในครัวเรือน 4,943 แห่งคิดเป็น 37.6% ของทั้งหมด โรงงานผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและบริการมากกว่า 80 ประเภทและอีกหลายโรงงานเป็นโรงสีข้าวและโรงงานข้าวโพดหวาน ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมีตั้งแต่คอนกรีตจนถึงเฟอร์นิเจอร์ เพื่อดึงดูดนักลงทุนเพิ่มเติม รัฐบาลควรดำเนินการทบทวนและระบุมาตรการที่สามารถปรับปรุงบรรยากาศการลงทุน

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/investment-lao-industry-stagnates-106623

เขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อแตน แขวงหลวงน้ำทา ดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น

เขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อแตน แขวงหลวงน้ำทาหวังที่จะดึงดูดนักลงทุนมากขึ้นโดยเฉพาะในด้านการศึกษาและการแพทย์ พิธีเปิดเขตอุตสาหกรรมการศึกษาและการแพทย์จัดขึ้นในวันศุกร์ที่ผ่านมา ประธานบริษัท the Yunnan Hai Cheng Industrial Group Stock กล่าวว่าเขตดังกล่าวแบ่งออกเป็นพื้นที่พัฒนา 4 แห่ง ได้แก่ การพาณิชย์ การธนาคารและการเงิน การขนส่ง การศึกษาและสุขภาพ และการท่องเที่ยว เมื่อเสร็จสมบูรณ์คาดว่าจะมีผู้คนราว 300,000 คนอาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นภาคการศึกษาและสุขภาพจึงมีความสำคัญ ในขณะเดียวกันโครงการนี้จะใช้เวลา 2-3 ปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ จะลงทุนประมาณ 500-600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะมีโรงเรียนนานาชาติและโรงพยาบาลเพื่อการรักษาโรคมะเร็งที่ทันสมัย จะมีศูนย์รวบรวมเซลล์ต้นกำเนิดและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยอื่น ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนในแขวงทางตอนเหนือของสปป.ลาวและพื้นที่ใกล้เคียง จนถึงปัจจุบันมีบริษัทต่างชาติมากกว่า 20 แห่งซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศจีนแสดงความสนใจในการลงทุนด้านการศึกษาและสุขภาพ ภาคการศึกษาและการแพทย์จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นส่วนสำคัญของการขยายเขตพื้นที่เศรษฐกิจ ภาคการศึกษาจะไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน แต่ยังรวมถึงวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยซึ่งจะกลายเป็นศูนย์แลกเปลี่ยนการศึกษาสำหรับสปป.ลาวและจีน

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/luang-namtha-sez-eyeing-more-investors-106715

เจ้าหน้าที่ของกัมพูชาควบคุมผู้ใช้รถบนท้องถนนที่ไม่มีประกันภัย

สมาคมประกันภัยกัมพูชา (IAC) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับ บริษัท ประกันภัยเกี่ยวกับการประกันภัยรถยนต์ โดยข้อตกลงดังกล่าวได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นระหว่างผู้ให้บริการประกันภัยกับผู้บริโภคภายในประเทศ ซึ่งข้อตกลงนี้มุ่งเน้นเฉพาะการชำระเงินสำหรับความเสียหายต่อยานพาหนะไม่ร่วมการประกันภัยสำหรับการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุร้ายแรง โดยบริษัท รถบรรทุกหลายแห่งไม่มีประกันภัยคุ้มครอง จากอุบัติเหตุรถบรรทุกกว่า 798 คันในปี 2561 มีเพียง 24% ที่ได้รับความคุ้มครอง ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีบทลงโทษกับบริษัทรถบรรทุกที่ไม่มีประกัน หากเกิดอุบัติเหตุและเจ้าของไม่มีประกันจะมีค่าปรับและอาจจะโดนยึดใบอนุญาตประกอบธุรกิจหรือถูกส่งเรื่องไปยังศาล รวมถึงผู้ใช้รถสันจรบนท้องถนนอื่นอีกด้วย โดยข้อตกลงจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่ง IAC จะฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับวิธีปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากข้อตกลง

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50652811/authorities-clamp-down-on-lack-of-vehicle-insurance/

รายได้กรมศุลกากรและสรรพสามิตกัมพูชาเพิ่มขึ้น 35%

รายรับที่กรมศุลกากรและสรรพสามิต (GDCE) เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเก้าเดือนแรกของปีเพิ่มขึ้นกว่า 35% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายนกรมฯเก็บภาษีเกือบ 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือเท่ากับร้อยละ 106 ของเป้าหมายของรัฐบาลตลอดทั้งปี ซึ่งการเติบโตอย่างรวดเร็วของรายได้เป็นผลมาจากผลประกอบการทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของประเทศและสถานการณ์ทางการเมืองที่มั่นคง โดยจากข้อมูลของ GDCE แหล่งที่มาของรายได้หลัก คือการนำเข้ายานพาหนะและเครื่องจักรคิดเป็น 52%  พลังงานรวมถึงปิโตรเลียมคิดเป็น 17% ของรายรับรวม ซึ่งส่วนใหญ่ของรายรับจะนำมาพัฒนาและลงทุนบนโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพารัฐบาลต่างประเทศ โดยภายในสิ้นปี 2562 คาดว่า GDCE จะสามารถจัดเก็บภาษีได้อีกประมาณ 800 ล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50652815/gdces-revenue-up-35-percent/

ค่าเช่าสำนักงานในกรุงฮานอยพุ่งสูงขึ้นในรอบ 6 ปี ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้

จากรายงานของบริษัทอสังหาฯ ซาวิลส์ (Savills) เปิดเผยว่าในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ค่าเช่าสำนักงานเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 6 ปี มีอัตราการเข้าพักอาศัยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากสำนักงานมีจำนวนน้อย (หรืออุปทานมีอยู่อย่างจำกัด) โดยค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 21 เหรียญสหรัฐฯต่อตารางเมตรต่อเดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยอัตราการเข้าพักอาศัยมีสัดส่วนร้อยละ 91 ลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากอยู่ในช่วงการเปิดตัวของโครงการใหม่ นอกจากนี้ จากตัวเลขสถิติของจำนวนธุรกิจจดทะเบียนใหม่ พบว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีธุรกิจเปิดตัวใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คิดเป็นจำนวนผู้ประกอบการกว่า 20,562 ราย

ที่มา :  https://e.vnexpress.net/news/business/industries/hanoi-office-rents-reach-6-year-high-in-q3-3999332.html

สหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดส่งออกสัตว์น้ำรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม

จากรายงานของกรมศุลกากรเวียดนาม (General Department of Vietnam Customs) เปิดเผยว่าเวียดนามส่งออกสัตว์น้ำไปยังสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 1.08 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ถึงแม้ว่ามูลค่าการส่งออกจะลดลงอย่างมากก็ตาม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยในเดือนกันยายน 2562 การส่งออกสัตว์น้ำ มีมูลค่า 731 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 10.1 เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว และลดลงร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (กันยายน 2561) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดส่งออกสำคัญ พบว่าการส่งออกอาหารทะเลไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ลดลง ในขณะที่ การส่งออกไปยังประเทศจีน ไทย และไต้หวัน (จีน) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทางด้านรายงานสถิติศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (ITC) ระบุว่าอาหารทะเลเวียดนามมีส่วนแบ่งการตลาดสูงในตลาดอังกฤษ ได้แก่ กุ้งแช่แข็งทุกประเภท (HS 030617) ปลาดุกแช่แข็ง (HS 030462) รวมไปถึงกุ้งแปรูปทุกประเภท ซึ่งข้อมูลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าสหราชอาณาจักรพยายามมองหาแหล่งอาหารทะเลที่มีความหลากหลาย เนื่องจากผลิตภัณฑ์ทางทะเลกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง จากตลาดที่มีโอกาสกำไรสูง

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/us-remains-vietnams-largest-aquatic-export-market-404970.vov

ญี่ปุ่นมองหาธุรกิจที่เน้นส่งออกในเมียนมา

ในอุตสาหกรรมท้องถิ่นซึ่งจะผลิตสินค้าและส่งออกไปยังอินเดีย จีน และไทย เนื่องจากมีประชากรจำนวนมากและติดมีชายแดนติดไทย อินเดีย และจีน โดยมีการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้านและผลิตสินค้าและขายในตลาดท้องถิ่น จากงบประมาณปี 32-33 ถึงวันที่ 30 ก.ย. 62 การลงทุนรวมของญี่ปุ่นใน 117 ธุรกิจเกิน 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้การลงทุนรวม 39 ธุรกิจในเขตเศรษฐกิจพิเศษติวาลา ได้รับอนุญาตมากกว่า 670 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนถึงขณะนี้การลงทุนรวม 150 ธุรกิจมีมูลค่าราว 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ญี่ปุ่นติดอันดับที่ 10 จาก 50 ประเทศที่ลงทุนและติดอันดับ FDI ในเขตเศรษฐกิจพิเศษติวาลา คิดเป็น 36% ของการลงทุนทั้งหมด ซึ่ง FDI รวม 19 ประเทศในเขตเศรษฐกิจพิเศษติวาลา สูงกว่า 1.86 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/japan-is-eyeing-export-oriented-businesses-in-myanmar

เมียนมาคาดปีหน้าการลงทุนน้ำมันและก๊าซเพิ่มขึ้น

การประชุมคณะกรรมการพัฒนาภาคเอกชนครั้งที่ 30 กับผู้ประกอบการเมียนมาเมื่อวันที่ 19 ต.ค.62 ที่ผ่านมา กระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่างประเทศคาดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซนอกชายฝั่งจะเพิ่มขึ้นในปี 63 เมื่อข้อเสนอได้รับการสำรวจและการผลิต กระทรวงไฟฟ้าและพลังงาน (MOEE) กล่าวกับ The Myanmar Times ว่าการผลิตก๊าซเชิงพาณิชย์จะเริ่มต้นที่การค้นพบครั้งที่ 6 ที่บล็อก Shwe Yee Htun-2 นอกชายฝั่งในปี 66 และสามารถผลิตก๊าซได้ที่บ่อ Shwe Yee Htun-2

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/more-oil-and-gas-investments-expected-next-year.html